สงครามปกป้องอภิชนาธิปไตย vs สงครามปกป้องประชาธิปไตย: ในนามต้านนิรโทษกรรม

สงครามปกป้องอภิชนาธิปไตย vs สงครามปกป้องประชาธิปไตย: ในนามต้านนิรโทษกรรม

จรรยา ยิ้มประเสริฐ
12 พฤศจิกายน 2556

เกริ่นนำ

สถานการณ์การเมืองไทยในปัจจุบัน คือการต่อสู้ที่ยังไม่จบของสงครามชนชั้น ระหว่างฟากรอยัลลิสต์ชนชั้นสูงที่จัดตั้งชัดเจนโดยพรรคการเมืองประชาธิปัตย์ ที่ก่อตั้งเมื่อวันจักรี 6 เมษายน 2489 ด้วยเป้าประสงค์หลัก คือ เพื่อการพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งวิถีอภิสิทธิชนและสิทธิประโยชน์ของชนชั้นสูง คนเมืองมหานครกรุงเทพ – กับฟากคน “ใส่เสื้อแดง” ซึ่งเป็นฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย ที่เป็นคนชั้นล่าง คนชนบทที่สุดทนกับการถูกทำนาบนหลังคน จากการถูกปล้นทรัพยากร และเข้าไม่ถึงงบประมาณและโครงการพัฒนาที่มีคุณภาพ ที่กว่า 70-80% ของงบประมาณแผ่นดิน ถูกดึงดูดไปหล่อเลี้ยงและเอาอกเอาใจให้กับวิถีการเมือง “คนชนบทเลือก คนกรุงเทพล้ม” กันมาหลายทศวรรษ
เมื่อมวลชน “ใส่เสื้อแดง” ของพรรคการเมืองรุ่นใหม่ ที่จัดตั้งโดยกลุ่มทุนตระกูลชินวัตรเมื่อต้นทศวรรษ 2540 – ที่แม้จะตั้งนายกรัฐมนตรีถึง 4 คน และถูกยุบพรรคกันมา 3 ครั้งในรอบเพียงสิบ 15 ปี จากพรรคไทยรักไทย สู่พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน – ยังไม่สลายไปและมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ขณะเดียวกันพรรคเพื่อไทย ก็ยังไม่สามารถนำชาติฝ่าวิกฤตการเมืองได้เมื่อผู้มีบทบาทนำในพรรคและนักการ เมืองส่วนใหญ่ในพรรค ยังเล่นการเมืองด้วยวิถี “เพื่อดำรงวิถีอภิสิทธิชน” โดยไม่ให้ “ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท” กันอย่างจริงจังมาจนถึงปัจจุบัน โดยละเลยและเผิกเฉยต่อความต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทางการเมืองไทยของคนเสื้อแดงและประชาชนทั่วไปที่รักประชาธิปไตย
กระนั้น มวลชนคนชั้นล่างชาวไพร่ที่ต้องการสถานภาพ “ประชาชนพลเมือง” ที่ได้รับการยอมรับว่าเท่าเทียมกับคนเมืองมหานครเมืองหลวง ต่างก็แสดงพลังสีแดงเพื่อปกป้องรัฐบาลในทุกครั้งที่ฝ่ายรอยัลลิสต์ ประชาธิปัตย์ประท้วงเพื่อไล่รัฐบาลที่คนเสื้อแดงเลือก … และนี่คือสถานการณ์การเมืองในขณะนี้
นี่คือภาพการเมืองบนท้องถนนของประเทศไทย ที่ขับเคี่ยวกันมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2549 มาจนถึงปัจจบุัน และก็ได้เดินทางมาถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อ ที่วัดกันที่พลังหนุนและความอึดของทั้งสองฝ่าย – ที่กำลังยึดถนนกลางเมืองหลวง และในศาลากลางจังหวัดฐานเสียงของแต่ละพรรคกันอีกครั้งมาตลอดร่วม 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยได้เพลี่ยงพล้ำในการผลักดันพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมที่ส่งผลย้อนกลับไปถึงปี 2547 เพื่อลบล้างผลพวงทางคดีทั้งหมดให้กับทักษิณ ชินวัตร นายทุนใหญ่และผู้มีอิทธิพลสูงสุดของพรรค อดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549
ซึ่งการเพลี่ยงพล้ำครั้งนี้ของเพื่อไทยได้เป็นบทเรียนครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์การเล่นการเมืองของตระกูลชินวัตร ที่จำต้องตื่นมาตระหนักอย่างจริงจังว่าประชาชนได้พัฒนาไปมาก และไม่ต้องการเห็นนักการเมือง “เล่นการเมือง” แต่ต้องการให้ปักหลัก “หลักการและความยุติธรรม” ให้บังเกิดขึ้นในสังคมไทยเสียที
ท้ายที่สุดด้วยพลังต่อต้านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฉบับสุดซอยถอยหลัง ไปยังพ.ศ. 2547 ถูกต่อต้านอย่างหนักจากประชาชนทุกภาคส่วนรวมทั้งฝ่ายหนุนเพื่อไทย – แม้ว่าจะด้วยเหตุผลต่างกันก็ตาม – พรรคเพื่อไทยก็ต้องยอมถอยสุดตัวด้วยการตีตกร่างพรบ. นิรโทษกรรมทั้งหมดทุกฉบับ
นั่นก็หมายความว่า พรรคเพื่อไทย ต้องรีบเร่งหามาตรการอื่นเพื่อนำนักโทษการเมืองที่ติดคุกมากว่า 3 ปีออกจากคุกให้ได้ เพื่อฟื้นคืนความเชื่อถือจากขบวนการคนเสื้อแดง และจากนักวิชาการและนักวิจารณ์การเมืองทั้งหลาย

การต้านนิรโทษกรรมของทุกกลุ่มคนในสังคมตอนนี้ มีนัยยะสำคัญยิ่งต่อพัฒนาการการเมืองของไทย

การนิรโทษกรรมครั้งนี้ถ้าผ่านไปได้สำเร็จหมายความว่ามันเป็นการนิรโทษกรรมครั้งที่ 24 ในประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทยในช่วง 80 ปี ที่ส่วนใหญ่เป็นการนิรโทษกรรมให้กับคณะปฏิวัติ และให้กับทหารที่เข่นฆ่าสังหารประชาชนกันมาครั้งแล้วครั้งเล่า
ประเด็นปัญหามันจึงไม่ใช่แค่เรื่อง … ไทยเคยมีนิรโทษกรรมมาแล้วตั้งหลายฉบับ ทำไมถึงยอมฉบับนี้ไม่ได้เช่นที่ฝ่ายหนุนพยายามถกเถียง … แต่มันเป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้ก็เพราะการนิรโทษกรรมครั้งนี้ จะถือเป็นการสูญเปล่าของช่วงเวลาหลายปี กับหลายชีวิตที่ถูกสังหาร กับความยุติธรรมพักไว้ก่อน กับการถดถอยทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพ และทำให้ประเทศไทยไม่สามารถสร้างบรรทัดฐานการเอาผิดทหารและรัฐบาลที่สั่งการ ให้มีการใช้ความรุนแรงกับประชาชนได้อีกครั้ง
นอกจากนี้รัฐบาลเพื่อไทย ก็ไม่สามารถตอบคำถามเรื่องความชอบธรรมในทุกด้านจากการดัน พรบ. นิรโทษกรรมครั้งนี้กันอย่างสุดลิ่มทิ่มประตูค้านทุกหลักการได้ – ไม่ว่าจะในทางกติกามารยาทของรัฐสภา ในทางตรรกะเหตุผล และความชอบธรรม นั่นหมายถึงการไม่สามารถปักหมุด “ความยุติธรรม” ในประเทศไทยได้
สิ่งที่เป็นผลพวงตามมาของการดันพรบ. นิรโทษกรรมสุดซอยคือ การใช้ประเด็นนี้สร้างความชอบธรรมในการฟื้นชีพขบวนการพันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปัตย์ โดยที่พรรคประชาธิปัตย์ทุ่มสุดตัวไม่ต้องแอบอยู่เบื้องหลังอีกต่อไป … และนั่นก็ทำให้การเมืองเป็นเรื่องจริง
การจัดตั้งมวลชนรอยัลลิสต์ของประชาธิปัตย์ เป็นเรื่องที่รัฐบาลและคนทั้งประเทศต้องลุกขึ้นมาติดตามอย่างใกล้ชิด และการต่อสู้ทางการเมืองบนท้องถนนครั้งนี้ เป็นเรื่องของทุกฝ่ายที่ต้องจับตาดูการประลองกำลังกันด้วยจำนวนมวลชนที่ทั้ง 2 ค่ายพรรคการเมืองใหญ่ – ค่ายพรรคขุนนางอำมาตย์ประชาธิปัตย์ที่ร่วมด้วยบรรดาชนชั้นสูงและอภิสิทธิชน คนเมืองหลวง กับค่ายทุนการเมืองใหม่เพื่อไทยที่อิงคะแนนเสียงจากชนบท ที่ยังเป็นมวลชนคนชนบท “ชาวไพร่” ใส่เสื้อสีแดง
ทั้งนี้ทั้งสองค่ายก็ถูกตีขนาบ ตรวจสอบและวิจารณ์จากหลายกลุ่มหลายฝ่ายเช่นกัน ที่ต่างก็ทุ่มสุดตัวกับการต่อสู้ทางการเมืองครั้งนี้ เพื่อยื้อยุดแย่งชิง/หรือช่วยกันผลักดันกงล้อการเมือง ให้ขึ้นสู่ยอดเขาให้สำเร็จให้จงได้
การเมืองบนท้องถนนครั้งนี้สามารถชี้ชะตาบ้านเมืองได้ ถ้าทหารไม่เข้ามาทำการปฏิวัติ หรือศาลรัฐธรรมนูญไม่เข้ามาอุ้มประชาธิปัตย์เช่นที่เคยทำเมื่อเดือนธันวาคม 2551
สงครามชนชั้นในเมืองไทย ได้สร้างความเจ็บปวดมายาวนานเกินพอแล้ว และประเทศไทยควรจะหลุดออกมาจากสงครามชนชั้นได้ตั้งนานแล้ว ถ้าเห็นแก่ประโยชน์สุขของประชาชนทั้งประเทศอย่างแท้จริง … ไพรสันติ จุ้มอังวะ คนงานเก็บเบอร์รี่ชาวชัยภูมิที่ใช้ชีวิตตั้งแต่อายุ 18 ปี  เดินทางทำงานในหลายประเทศเพื่อหาเงินเลี้ยงดูครอบครัว ได้สะท้อนภาพสงครามปกป้องอภิสิทธิชนของคนเมืองหลวงไว้อย่างชวนให้สะอึก
เปิดทีวีดูแทบทุกช่องมีแต่ข่าวความวุ่นวายทางการเมืองในเมืองหลวง การแก่งแย่งชิงดี แบ่งพรรค แบ่งพวก แบ่งสี แบ่งข้าง นี่หรือประเทศไทย ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้นแทบทุกปี ทุกรัฐบาลไป พวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่
อีกมุมหนึ่งของชนบท พวกเรากำลังดิ้นรน กระเสือกกระสนเพื่อปากท้อง เพื่อครอบครัว เพื่อความอยู่รอดกันอย่างปากกัดตีนถีบ ก่อนการเลือกตั้งแต่ละที พวกคุณก็บอกว่าจะแก้ไขจะปรับปรุง จะทำโน่น นี่ นั่น สุดท้ายก็เข้าไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจของตัวเองและพวกพ้อง  ปล่อยพวกเราประชาชนตาดำๆ สู้ชีวิตแสนยากเข็นต่อไป (ประชาไท, เสียงจากคนงานเก็บเบอร์รี่: ชีวิตต้องสู้ )
นี่ก็คือความจริงที่ทำคนไทยทั้งประเทศอึดอัดหายใจไม่ออก และต้องถูกผลักถูกดึงให้เดินหน้าและถอยหลังกันมาอย่างยาวนานตลอด ประวัติศาสตร์การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ระบอบ “ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ” เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ที่ถูกปฏิวัติเปลี่ยนแปลงมาสู่ระบอบ “ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” มาจนถึงบัดนี้ เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 เมื่อค่ายขุนนางสามารถโน้มน้าวใจทหารให้หนุนการปฏิวัติเพื่อโค่นอำนาจคณะผู้ประศาสน์การประชาธิปไตยได้สำเร็จ

จำต้องพูดถึงพรรคขุนนางประชาธิปัตย์

พรรคประชาธิปัตย์ที่มีกำเนิดเมื่อวันจักรี 6 เมษายน 2489 ด้วยจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นตัวแทนของราชวงศ์และขุนนางอำมาตย์ในรัฐสภา ก็ได้ทำหน้าที่อย่างแข็งขันสมกับอุดมการณ์ของพรรค เพื่อเอาชนะคู่แข่งทางการเมืองด้วยไพ่เหนือกว่าในฐานะสมาชิกราชวงศ์และบุคคลใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท ผู้พิทักษ์รักษาไว้ชื่อระบบ “อภิสิทธนาธิปไตยใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร” ที่กระทำทุกช่องทางเพื่อกุมบังเหียนการเมืองในประเทศ – ไม่ว่าจะด้วยเล่ห์เหลี่ยม กลอุบาย ทั้งในสภาและนอกสภา มาตลอด 67 ปีที่ผ่านมา
เป็นพรรคการเมืองที่อยู่ยั้งยืนยงและเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย ที่แทบจะไม่เคยชนะการเลือกตั้งได้เสียงข้างมากที่สุดจนสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เอง และนับตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา ไม่เคยชนะการเลือกตั้งได้เสียงข้างมากพอจะให้สามารถตั้งรัฐบาลได้ พรรคนี้จึงเป็นพรรคฝ่ายค้าน “ทุกรูปแบบ” ทั้งในสภา-นอกสภา ตามกติกา-นอกกติกา ไม่สนแม้จะออกหน้าสนับสนุนขบวนการล้มรัฐบาลพันธมิตรรอยัลลิสต์ หรือสนับสนุนให้ทหารทำรัฐประหาร 2549 และได้รับอานิสงส์อย่างหน้าชื่นตาบานเมื่อศาลรัฐธรรมนูญของชนชั้นสูงล้ม 3 พรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาลในปี 2551 เพื่อปูทางให้พรรคประชาธิปัตย์สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ พร้อมกับการประกาศใช้มาตรการ “เขตกระสุนจริง” เพื่อการปราบปรามคนเสื้อแดงในเดือนพฤษภาคม 2553 จนทำให้ผู้ประท้วงถูกยิงเสียชีวิตกว่า 100 คน และอีกร่วม 2,000 คนได้รับบาดเจ็บ โดยอีกกว่า 2,000 คนถูกจับกุม และยังคงอยู่ในคุก (ห้ามประกัน) จนถึงบัดนี้ร่วม 40 คน
เมื่อเลือกตั้งครั้งล่าสุด 3 กรกฎาคม 2554 พรรคประชาธิปัตย์แพ้การเลือกตั้ง กลายเป็นพรรคฝ่ายค้านตามระบอบการเลือกตั้งอีกครั้ง ตลอดสองปีที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ – เหมือนเช่นเคย – ทำหน้าที่อย่างเดียวคือ “ค้านทุกเรื่อง” และ “หาทางล้มรัฐบาล” ให้ได้ … เพื่อจะได้เป็นรัฐบาลอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อพรรคเพื่อไทยเพลี่ยงพล้ำเรื่อง พรบ. นิรโทษกรรมสุดซอย (ไม่ว่าจะด้วยเพราะถูกชนชั้นสูงหักหลัก หรือเพราะพรรคเพื่อไทยไม่มีหลักการที่ชัดเจนพอก็ตาม) พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเริ่มอับจนหนทางมากขึ้นเรื่อยๆ และก็สู้อย่างคนอับจนหนทางราวกับหมาจนตรอกมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ได้โอกาสใช้เรื่อง “การค้านนิรโทษกรรมให้ทักษิณ” ปลุกระดมมวลชนคนเคยใส่เสื้อเหลืองขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ซึ่งครั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์ทุ่มสุดตัว … ขนขุนพลและแกนนำพรรคหลายคน ถึงขั้นลาออกจากตำแหน่งในพรรค มาเป็นผู้ดำเนินรายในเวทีประท้วงที่ตั้งกระจายอยู่หลายจุดรอบๆ ทำเนียบรัฐบาล ยิ่งกว่านั้นแกนนำพรรคคนสำคัญส่งหนังสือลาออกจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร 9 คน เมื่อเช้าวันที่ 12 พฤศจิกายน 2556 ที่ผ่านมา
พรรคประชาธิปัตย์ตระหนักดีว่า การเล่มเกมการเมืองอิงแอบไม่ปล่อยกับ “ความรักและความเป็นเจ้าของสถาบันพระมหากษัตริย์”​ ของพรรคประชาธิปัตย์และอภิสิทธิชนคนชั้นสูงที่ออกหน้าโดยพรรคประชาธิปัตย์อย่างเปิดเผยครั้งนี้ เป็นโอกาสครั้งสุดท้ายของพรรค ที่จะยังคงสามารถเล่นเกมการเมืองในนามสถาบันฯ ได้เช่นนี้
พวกเขาจึงมีเป้าหมายเดียวคือ ต้อง “ชนะ” เท่านั้น และความต้องการ “ชนะเท่านั้น” ครั้งนี้อาจจะเดิมพันด้วยรัฐประหาร ด้วยเลือดเนื้อของประชาชนบนท้องถนน และด้วยการชะงักงันทางการเมือง และการพาประเทศถอยหลังไปอีก 10 หรือ 20 ปี หรือ 100 ปี … ซึ่งจะเป็นโศกนาฎกรรมอีกครั้งหนึ่งที่อีลีตเมืองไทยที่คุ้นชินกับการเมือง “อภิชนาธิปไตยใต้ร่มพระบรมโพธิสัมภาร” กระทำอย่างอำมหิตกับประเทศชาติและประชาชน โดยไม่ใส่ใจในความเสียหายทางตรงในด้านชีวิตเลือดเนื้อและทรัพย์สิน หรือในทางบรรยากาศการเมือง ทั้งในด้านการสั่นคลอนทางเสถียรภาพทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ และทางสังคม ที่จะเกิดขึ้นจากการชะงักงันของการเมืองเพียงเพื่อสนอง “อีโก้/อัตตา และโมหะจริต” ของพวกเขาเท่านั้น

“อภิชนาธิปไตย” ใต้ร่มพระบรมโพธิสัมภาร

นับตั้งแต่การประสบความสำเร็จของการปฏิวัติของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ “ทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” เมื่อ 16 กันยายน 2500 เมื่อจอมพลสฤษดิ์ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้รักษาการพระนคร โดยไม่มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการอันขัดกับรัฐธรรมนูญฉบับปี 2495 ที่ยังมีผลบังคับใช้อยู่ ณ ขณะนั้น
ประกาศพระบรมราชโองการตั้งผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร
ภูมิพลอดุลยเดช ปร.
เนื่องด้วยปรากฏว่า รัฐบาลอันมี จอมพลป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ได้บริหารราชการแผ่นดินไม่เป็นที่ไว้วางใจของประชาชน ทั้งไม่สามารถรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองได้ คณะทหารซึ่งมี จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นหัวหน้า ได้เข้ายึดอำนาจการปกครองไว้ได้ และทำหน้าที่เป็นผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร ข้าพเจ้าจึงขอตั้ง จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร ขอให้ประชาชนทั้งหลายจงอยู่ในความสงบ และให้ข้าราชการทุกฝ่ายฟังคำสั่งจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ประกาศมา ณ วันที่ 16 กันยายน พุทธศักราช 2500
(ที่มา http://www.kpi.ac.th/wiki/index.php/รัฐประหาร พ.ศ. 2500)
วิถีการเมืองของประเทศไทย ที่จิตวิทยาด้านความมั่นคงแห่งชาติแห่งยุคสงครามเย็น อยู่ภายใต้สโลแกน “จับเรียบ ฆ่าเรียบ เผาเรียบ” กับกลุ่มคนที่ถูกป้ายหัวว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงแห่งชาติและกษัตริย์ โดยมีพระชาวพุทธรอยัลลิสต์ ทำหน้าที่ให้ใบอนุญาตทางจิตสำนึกว่า “ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป”
ส่งผลให้นักศึกษาหลายร้อยคนถูกสังหารที่ธรรมศาสตร์ สามพันกว่าคนถูกจับ และจำนวนมากต้องหนีเข้าป่าเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 พร้อมกับคณะรัฐประหารที่แก้ไขกฎหมายหมิ่นพระมหากษัตริย์มาตรา 112 โดยการเพิ่มโทษจำคุกจาก 7 ปี เป็น 15 ปี
การเมืองไทยหลัง 6 ตุลาคม 2519 โดยเฉพาะในยุค 8 ปีของนายกรัฐมนตรีที่ชื่อพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ จึงเป็นการเมืองอภิชนาธิปไตย ภายใต้การอัดฉีดสโลแกน “ทหารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยุ่หัว, ข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, ประชาชนในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และรัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” พร้อมกับการโหมประชาสัมพันธ์และอัดฉีดงบประมาณไปกับนโยบายการพัฒนาประเทศ หลัก ด้วยโครงการ “ตามแนวพระราชดำริ” “สนองพระราชดำรัส” และ “เพื่อการเฉลิมพระเกียรติ” กันอย่างมาก จนทำให้รัฐบาลที่ตามๆ มา เคยชินกับการรอ “พระราชดำรัส”​ ก่อนที่จะคิดทำโครงการใดๆ เพื่อการพัฒนาประเทศชาติอย่างพอเพียง
ทั้งนี้ รัฐบาล ทุกหน่วยงานในสังคม ทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือเอกชน รวมทั้งในหมู่สถาบันการศึกษา ต่างก็ระมัดระวังอย่างยิ่งที่จะไม่ทำอะไร พูดอะไร หรือแสดงพฤติกรรมอะไร อันอาจจะทำให้ “ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท” กันอย่างล้นเกิน จนทำให้สถาบันพระประมุขกลายเป็นสถาบันอันศักดิ์สิทธิ์ที่ที่ผู้คนรอบข้าง อ่อนไหวกันอย่างดัดจริต กระทั่งว่าแม้ไม่มีเสียงพูดให้เข้าหู ก็ยังไปคาดเดาเอาเองว่า คนอื่นจะคิดหรือจะวิจารณ์สถาบันฯ
ซึ่งภายใต้วิถีการเมือง “เทิดทูนและพิทักษ์รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์” มันถูกบรรจุอยู่ในแผนงบประมาณที่มีความสำคัญอันดับต้นๆ มาตลอดต่อเนื่องทุกรัฐบาล และเพิ่มขึ้นทุกปีมานับตั้งแต่รัฐประหาร 2500 และนับตั้งแต่รัฐประหาร 2549 วงเงินงบประมาณเพิ่มขึ้นแตะระดับหมื่นล้านบาทแล้ว …ซึ่งเป็นตัวเลขแค่งบสนับสนุนตรงไปยังสำนักพระราชวังและโครงการพระราชดำริ ไม่รวมงบประมาณเพื่อการพิทักษ์รักษาและปกป้องสถาบันฯ ที่กระจายไปยังทุกหน่วยงาน ในเกือบทุกกระทรวง และงบในส่วนของสำนักนายกรัฐมนตรี
ผมได้เขียนไว้ตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 2553 ว่า …
จริงๆ แล้วถ้าจะสาวให้ลึกลงไปจะเห็นว่ากลุ่มอำมาตย์ มีบทบาทในสังคมไทยมาตลอด 60 ปี นับตั้งแต่รัฐประหารโค่นรัฐบาลฝ่ายปรีดี พนมยงค์ ได้สำเร็จในปี 2490 และเป็นกลุ่มอำนาจที่เล่นเกมการเมืองอย่างชาญฉลาดและรอบคอบ และแม้จะเผชิญหน้ากับประชาชนที่ลุกขึ้นเรียกร้องประชาธิปไตยและขับไล่ เผด็จการมาหลายครั้ง รวมทั้งให้การรองรับคณะรัฐประหารถึง 7 คณะ  ก็ยังสามารถเก็บเกี่ยวความดีความชอบมาได้อย่างต่อเนื่องและมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ
จำต้องย้ำเตือนกันอีกครั้งว่า สถิติการเมืองไทย 80 ปีที่ผ่านมา นั้นมีหน้าตาที่ขี้ริ้วขี้เหร่เช่นไร ด้วยจำนวนนายกรัฐมนตรี 28 คน รัฐประหารและการปฏิวัติกว่า 20 ครั้ง การลุกขึ้นสู้ของประชาชนและถูกปราบปรามอย่างเหี้ยมโหดหลายครั้ง (2492 – 2495 – 2516 – 2519 – 2535 – 2552 – 2553) รัฐธรรมนูญ 18 ฉบับ และมีนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งเพียงคนเดียวที่อยู่ครบเทอม (ทักษิณ 1, 2544-2548)
ตัวเลขประชาชนที่ต้องเสียชีวิตเพราะการเมืองปกป้องชนชั้นสูงในประเทศไทย จริงๆ แล้วมันไม่น้อยเลย ผมได้ลองทำการศึกษา บันทึก และร้อยเรียงชื่อและจำนวนผู้เสียชีวิตในประเทศไทยอันเนื่องมาจากการปิดกั้นเสรีภาพและการปราบปรามคนคิดต่าง นับเนื่องมาตั้งแต่สังหารรัฐมนตรีค่ายสังคมนิยม สังหารชาวบ้านดุซงญอเกือบทั้งหมู่บ้าน อุ้มหายฮัจยีสุหลง จิตร ภูมิศักดิ์ ถีบลงเขาเผาถังแดงกว่า 3,000 คนที่พัทลุง การปราบปรามตลอดช่วงสงครามเย็นที่ไม่สามารถประเมินได้ จากการสังหารและเข่นฆ่าเพราะทำกิจกรรมการเมืองและจากการใช้กำลังปราบปรามประชาชนที่ประท้วงทั้ง 5 ครั้งรวมกันก็มีตัวเลขผู้เสียชีวิตนับพันคน  และอีกหลายพันคนเสียชีวิตจากนโยบายของรัฐที่อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ใช้ความ รุนแรงต่อประชาชนได้โดยไม่ต้องรับโทษ ที่ให้ท้ายโดย พรบ. คอมมิวนิสต์ กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ พรบ. ความมั่นคง และพรก. ฉุกเฉิน เป็นต้น
ตลอด 60 ปีที่ผ่านมาอำมาตย์ประชาสัมพันธ์มอมเมาลัทธิประชาธิปไตยแบบไทยว่า การเลือกตั้งไม่สำคัญเพราะชาวบ้านเลือกแต่คนเลว คนโกงบ้านโกงเมือง รัฐประหารในนามปกป้องราชบัลลังก์กระทำได้ เพื่อช่วยจัดการนักการเมืองคอรัปชั่น และมอบอำนาจคืนให้พระมหากษัตริย์ช่วยคัดสรรคนดีเข้ามาบริหารบ้านเมือง แนวคิดเรื่อง ‘ประชาธิปไตยคนดี’ ‘แต่งตั้งโดยคนดี’ จึงได้ค่อยๆ กัดกร่อนทำลายความเชื่อเรื่องหลักการประชาธิปไตยตัวแทน และความสำคัญของการเลือกตั้งไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ (จรรยา, 2553)

บทเรียนฟินแลนด์ ประวัติศาสตร์ที่ชำระแล้ว

แน่นอนว่ามีบทเรียนการต่อสู้เพื่อยุติการเมืองเผด็จการ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ และอภิสิทธนาธิปไตย ที่เกิดขึ้นทั่วโลกตลอดช่วงร้อยกว่าปีที่ผ่านมา ที่นักวิชาการและคนไทยได้เรียนรู้และพยายามนำมาศึกษาเปรียบเทียบและเตือนสติ สังคม ไม่ว่าจะบทเรียนฝรั่งเศส อเมริกาอังกฤษ รัสเซีย  จีน เขมร เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เกาหลี เนปาล หรืออาร์เจนตินา หรือประเทศอื่นๆ
เนื่องจากผมอยู่ที่ฟินแลนด์แม้จะไม่ได้ศึกษาอย่างจริงจังเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ฟินแลนด์ แต่จากการพูดคุยกับผู้คนและอ่านเอกสารประกอบพอสังเขป ก็เห็นว่าบทเรียนของฟินแลนด์ก็น่าสนใจเพื่อเป็นกรณีศึกษากับเมืองไทยในช่วง นี้ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บทเรียนของประเทศนี้ ได้มีการชำระประวัติศาสตร์กันเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่ประเทศไทยยังรอคอยประวัติศาสตร์ที่ชำระสะสาง
ประวัติศาสตร์ฟินแลนด์นี่ไม่ว่าจะฟังจากใครหรือจากการอ่านเอกสาร มันไม่ซับซ้อน และไม่ต้องอ่านเงื่อนงำอะไรมากเลย มันเป็นประวัติศาสตร์ที่บันทึกข้อเท็จจริงรอบด้าน เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้คนทั้งประเทศต้องเดินหน้าอย่างระมัดระวังและใช้เหตุใช้ผล
การเป็นประเทศเล็กที่รอบล้อมด้วยประเทศใหญ่ ฟินแลนด์ตกอยู่ในอาณานิคมของสวีเดนหลายร้อยปี แต่สวีเดนก็ถูกรัสเซียตีให้ล่าถอยและเข้ามาผนวกเอาฟินแลนด์เป็นหนึ่งจังหวัด ของรัสเซียและส่งเจ้าเมืองจากรัสเซียมาปกครองได้ประมาณหนึ่งร้อยปี แต่เมื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่งปะทุ และเมื่อเลนินนำการปฎิวัติโค่นซาร์ได้สำเร็จในปี 1917 ก็เกิดสูญญากาศทางการปกครองที่ฟินแลนด์ สงครามกลางเมืองระหว่างชนชั้นล่างและชนชั้นสูงที่ฟินแลนด์ก็ปะทุขึ้น เพื่อแย่งชิงอำนาจนำทางการเมืองในประเทศพร้อมกับประกาศอิสรภาพจากรัสเซีย
การปะทุแห่งสงครามชนชั้นที่ฟินแลนด์ จนเป็นสงครามกลางเมืองเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 27 มกราคม – 5 พฤษภาคม 2461 (1918) เมื่อฝ่ายซ้ายที่ประกอบไปด้วยขบวนการคนงานคนจนในเขตตอนใต้ของฟินแลนด์ นำโดยพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย” ได้จัดตั้งกองกำลังหรือเรียกว่า “ทหารแดง” ได้ปะทะกับกองกำลังจัดตั้งโดยฝ่ายขวาหรือที่เรียกว่า “ทหารขาว” ที่เป็นพวกชนชั้นสูงและเกษตรกรในเขตตอนเหนือของประเทศ ทั้งนี้ทหารแดงได้รับการสนับสนุนจากรัสเซีย ส่วนทหารขาวได้รับการสนับสนุนจากเยอรมัน แต่เมื่อเยอรมันส่งกองกำลัง 13,000 คนพร้อมอาวุธเข้ามาช่วยฝ่ายขวา ก็ทำให้ฝ่ายแดงถูกตีพ่าย หลังการสู้รบเป็นเวลาประมาณ 4 เดือน แต่การต่อสู้ครั้งนี้ก็กลายเป็นโศกนาฎกรรมที่สร้างความเจ็บปวดให้กับคนใน ประเทศฟินแลนด์มาจนถึงบัดนี้ ด้วยจำนวนผู้เสียชีวิตจากการสู้รบร่วมสองหมื่นคน (ทั้งสองฝ่าย แต่ฝ่ายแดงเสียชีวิตเยอะกว่าฝ่ายขาวมาก) และจากการเจ็บปวดและอดตายในช่วงถูกจับขังคุกอีกจำนวนมาก ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 37,000คน จากจำนวนประชากรทั้งประเทศในขณะนั้น 3 ล้านคน
เมื่อการสู้รบยุติ ทหารฝ่ายขาวและกองทัพเยอรมันได้จับกุมฝ่ายแดง 80,000 คน แต่เด็กเล็กและผู้หญิงจำนวนหนึ่งถูกปล่อยตัว เหลือที่ถูกคุมขังประมาณ 74,000 – 76,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่จะถูกส่งเข้าคุกการเมืองที่อยู่กันอย่างแออัดและแน่นขนัดโดย ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกและอาหารเพียงพอ ทำให้มีนักโทษตายเป็นจำนวนมากจากการเจ็บป่วยและอดอยาก ส่งผลให้ผู้เสียชีวิตจากสงครามกลางเมืองนี้ มีจำนวนสูงถึงเกือบสี่หมื่นคนดั่งเช่นที่กล่าวมาแล้ว
ผลทางกระบวนการยุติธรรมคือ ประมาณ 70,000 คนถูกตัดสินว่ามีความผิด ในจำนวนนั้น 555 คนมีความผิดถึงโทษประหาร และถูกประหารชีวิตจริงไปถึง 133 คน และศาลก็ได้เปิดเผยที่ศาลว่ามีผู้บริสุทธิ์ถูกคุมขังเช่นกัน
นักโทษส่วนใหญ่พ้นโทษหรือได้รับอภัยโทษภายในสิ้นปี 2461 หลังจากถูกดำเนินคดีการเมือง โดยยังเหลือที่ถูกคุมขัง ณ สิ้นปีจำนวน 6,100 คน และถูกขังอยู่จนถึงสิ้นปี 2462 จำนวน 4,000 คน (3,000 คนได้รับอภัยโทษในเดือนมกราคมปี 2463 และขณะเดียวกันก็มอบสิทธิพลเมืองกลับคืนให้กับนักโทษ 40,000 คน) 500 คน ได้รับการปล่อยตัวในปี 2466 และในปี 2470 นักโทษที่เหลืออยู่ 50 คนสุดท้ายได้รับการนิรโทษกรรมโดยรัฐบาลพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย
ในปี 2516 รัฐบาลฟินแลนด์ได้จ่ายค่าชดเชียให้กับอดีตนักโทษ 11,600 คน ที่ถูกคุมขังในช่วงสงครามกลางเมือง
อนึ่ง หลังจากฝ่ายขาวชนะสงครามก็ได้มีการเชิญเจ้าชาย Frederick Charles จากเยอรมันเพื่อมาเป็นกษัตริย์ปกครองฟินแลนด์ แต่ระยะเวลาทดลองเรียนรู้การเมืองภายใต้กษัตริย์ก็มีระยะเวลาเพียงช่วงสั้นๆ เจ้าชายก็สละราชบัลลังก์ พร้อมกับการประกาศวิถีการเมืองระบอบ “สาธารณรัฐ” ของรัฐสภาฟินแลนด์ในปี 1919 (2462) ภายใต้การบริหารของนายกรัฐมนตรีในระบบรัฐสภาเดียว ที่มีการเลือกตั้งทุก 4 ปี โดยมีประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้งทุก 6 ปี เป็นประมุขของประเทศ
ในปี 2000 ทางฟินแลนด์ได้มีการแก้กฎหมายลดทอนอำนาจประธานาธิบดีที่เพื่อให้ไม่ซ้ำซ้อน และคานอำนาจกับบทบาทของนายกรัฐมนตรีมากเกินไป
(ที่มา: http://en.wikipedia.org/wiki/Finnish_Civil_War, and  http://en.wikipedia.org/wiki/History_of_Finland)
ในปัจจุบัน ศิลปิน นักเขียน นักวิชาการ และผู้คนฟินแลนด์ เริ่มนำเสนอเรื่องราวแห่งสงครามกลางเมืองกันมากขึ้น ทั้งในรูปแบบงานศิลปะ ข้อเขียน วรรณกรรมหรือการแสดง กระนั้น เรื่องราวความเจ็บปวดครั้งที่สุดของประวัติศาสตร์ชาติฟินแลนด์ ก็ยังถูกเล่าอย่างรวบรัดให้กับคนงานเก็บเบอร์รี่ฟังในวันที่มีการสอน ประวัติศาสตร์แรงงานฟินแลนด์ให้กับพวกคนงานที่วิทยาลัยการศึกษาแรงงานเมื่อ วันที่ 7 ตุลาคม ที่ผ่านมา – อาจด้วยไม่มีเวลาลงลึกในรายละเอียดก็เป็นได้
บทเรียนของการสู้รบระหว่างประชาชนสองค่ายแนวคิดครั้งนี้ แม้ว่าขบวนการแรงงาน คนฝ่ายซ้ายหรือฝ่ายแดงที่ชูธงสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์จะพ่ายแพ้ในการสู้รบ แต่พรรคการเมืองสังคมนิยมประชาธิปไตยก็เป็นพรรคแนวหน้า ก็ได้ทำหน้าที่ต่อสู้ทางรัฐสภา เพื่อออกกฎหมายสร้างหลักประกันให้กับคนฟินน์ และดูแลคนงานและคนฟินแลนด์ตั้งแต่เกิดจนตายจนนำฟินแลนด์ขึ้นสู่คำนิยาม “การเมืองระบบรัฐสวัสดิการ” ได้สำเร็จในยุคแห่งความรุ่งโรจน์จนถึงทศวรรษที่ 2520 เมื่อค่ายสังคมนิยมประชาธิปไตย ถูกค่ายทุนนิยมเสรีนิยมใหม่ตีโต้และแย่งครองพื้นที่ทางการเมืองมากขึ้น
ในปัจจุบันคนในประเทศฟินแลนด์ก็เริ่มพูดคุยเรื่องการปกป้องระบบ “รัฐสวัสดิการ” ของพวกเขาจากการถูกทำลายจากวิถีการเมืองทุนเสรีเช่นกัน

ขอกล่าวนิดหนึ่งถึงขบวนการสหภาพแรงงานและฝ่ายซ้ายที่ฟินแลนด์

ขณะนี้พวกขบวนการซ้ายและสหภาพแรงงานที่ดูเหมือนว่าจะถูกค่ายเสรีนิยมโลกา ภิวัตน์ตีให้ตกไปอยู่ชายขอบมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังคงมีพลังอยู่พอสมควรและยังคงต่อสู้กันอย่างไม่หยุดหย่อนเพื่อปกป้อง สวัสดิการและสิทธิประโยชน์ (ที่ต่อสู้ให้ได้มาเมื่อยามรุ่งเรืองในทศวรรษ 2500 – 2510) จากการพยายามของนายจ้างที่จะเลิกจ้างงานได้เสรี ลดเงินเดือน ลดสวัสดิการ และจากนโยบายแปรรูปและเปิดการค้าเสรีของรัฐบาล ตามแรงผลักดันของกระแสเสรีนิยมที่กำกับโดยทุนที่รุกคืบอย่างหนักที่ฟินแลนด์เช่นกัน
นักวิชาการแรงงานที่วิทยาลัยเพื่อการศึกษาแรงงานกล่าวย้ำในวันนั้นว่า “ความเป็นรัฐสวัสดิการของฟินแลนด์ เกิดจากการต่อสู้ให้ได้มาด้วยขบวนการแรงงาน” และ “ไม่มีอะไรได้มาโดยไม่ได้ต่อสู้เพื่อให้ได้มาด้วยตัวของเราเอง” และ วิทยาลัยการศึกษาแรงงานก็ยังจัดกิจกรรมและชั้นเรียนให้กับสมาชิกและตัวแทนสหภาพแรงงานที่ฟินแลนด์ ต่อเนื่องเกือบทุกวันเป็นปีที่ 63 แล้วในปัจจุบัน แม้ว่าเกือบจะถูกปิดไปเมื่อ 6 ปีก่อนเพราะไม่มีงบประมาณ แต่สหภาพแรงงานทั่วฟินแลนด์ก็ระดมเงินเพื่อรักษา “วิทยาลัยเพื่อการศึกษาแรงงาน” แห่งนี้เอาไว้ได้สำเร็จ
อนึ่ง การให้การสนับสนุนการต่อสู้ของคนงานเก็บเบอร์รี่ชาวไทยจากสภาแรงงานฟินแลนด์ เป็นนิมิตหมายที่ดียิ่ง ที่แสดงว่าสหภาพแรงงานที่นี่ไม่ได้สุขสบายแต่ตัวและเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับการละเมิดสิทธิแรงงานและสิทธิมนุษยชนของคนงานจากชาติอื่นที่ถูกนำพาเข้ามาทำงานที่ฟินแลนด์
จรรยาเข้าร่วมกิจกรรม “นักโทษการเมืองในห้องขัง” กับศิลปินที่ฟินแลนด์เมื่อ 12 พฤษภาคม 2555

ประเทศไทย ประวัติศาสตร์ที่รอการชำระ

ประวัติศาสตร์ฟินแลนด์เมื่อชำระแล้ว มันก็เปิดให้คนในประเทศสามารถเผชิญหน้ากับปัญหาร่วมสมัยที่ไม่เคยปล่อยให้ ประชาชนหยุดพัก ดังนั้นการพูดถึงประวัติศาสตร์ได้อย่างตรงไปตรงมา และการสามารถเรียนรู้จากมันด้วยเคารพว่ามันเป็นอดีตที่ผ่านมาแล้ว ที่สามารถนำมาใช้เตือนสติหรือแก้ไขปัจจุบันวิสัย ให้ประเทศชาติสามารถเดินหน้าสู่อนาคตได้อย่างสง่างามและซื่อตรง – เป็นความจำเป็นยิ่งของประเทศไทย ณ​ ยามนี้
ตราบใดที่ประเทศไทยยังไม่สามารถชำระประวัติศาสตร์ และเปิดให้ผู้คนสามารถวิพากษ์วิจารณ์ และ/หรือวิเคราะห์สังคมและการเมืองกันได้อย่างตรงไปตรงมา – ด้วยความกริ่งเกรงว่าจะทำให้ “ระคายเคืองต่อเบื้องพระยุคลบาท” กันอยู่เช่นนี้ – ตราบนั้นประเทศไทยก็ยังคงอยู่ในสภาวะการเมืองติดลบไปเรื่อยๆ และไม่สามารถเซ็ทศูนย์ หรือ Set Zero เพื่อเริ่มเดินหน้าประเทศไทยได้ และประเทศของเราจะถูกปล่อยทิ้งให้อยู่กับสภาวะติดลบถูกทิ้งท้ายไปเรื่อยๆ ตามพลวัตน์ของการพัฒนาของโลกที่ขับเคลื่อนไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา

จำเป็นต้องพูดถึงสถาบันกษัตริย์

ในการชำระประวัติศาสตร์ มันมีข้ออ่อนไหวในสังคมปัจจุบันที่ทั้งสังคมจะต้องร่วมมือกันเพื่อแก้ไข ทั้งนี้เพราะสถานภาพระบอบการปกครองไทยภายใต้ระบอบ “ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ที่เริ่มต้นขึ้นนับตั้งแต่ปี 2490 นั้น ทำให้สถาบันพระประมุข – สถาบันกษัตริย์ของไทย – ได้รับการปกป้องและคุ้มครองอย่างแข็งขันด้วยรัฐธรรมนูญ “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้” และด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี”
นอกจากนี้ สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยยังถูกปกป้องด้วย:
  • คณะองคมนตรี 19 คน (ที่มาจากอดีตประธานศาลและตุลาการ 6 คน อดีตนายพลทหารจากทุกเหล่าทัพ 7 คน จากเชื้อพระวงศ์และอดีตข้าราชการใกล้ชิด 6 คน) ทั้งนี้ทุกคนเป็นผู้ชายหมดและมีอายุเฉลี่ยประมาณ 75 ปี
  • ด้วยข้าราชบริพารกว่า 4,000 คน
  • ด้วยข้าราชการกว่าล้านคน
  • ลูกจ้างรัฐวิสาหกิจอีกห้าแสนคน
  • ด้วยสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่เป็นกลุ่มธุรกิจที่มั่งคั่งที่สุดในประเทศไทย
  • ด้วยกองทหารรักษาพระองค์กว่า 50,000 นาย
  • ด้วยกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ
  • ด้วยรัฐสภาที่ไม่อาจจะกระทำการพิจารณาเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ได้แม้แต่น้อย
  • ด้วยพสก นิกรจำนวนไม่น้อยที่ได้รับข้อมูลด้านเดียวมาตลอด 60 ปี จนเทิดทูนบูชาพระมหากษัตริย์กันอย่างล้นเกิน จนไม่สามารถจะรับฟ้งข้อมูลด้านอื่นโดยสงบสติอารมณ์ได้ต่อไป … 
    • ฯลฯ
การเมือง “พูดความจริงไม่ได้” ที่อาจจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2489 วันที่ในหลวงอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ถูกปลงพระชนม์​ ที่ยังคงเป็นปริศนาพูดไม่ได้เพราะกลัวว่าจะ “ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท” มาตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ได้สร้างคุณค่าใหม่ในสังคมไทย ให้บิดเบี้ยวและผิดเพี้ยนไปจากหลักศีลธรรม จริยธรรม และความยุติธรรมเช่นที่มันควรจะเป็น มาสู่การพ่วงท้ายเติมต่อคำว่า “แบบไทยๆ” เข้าไป เพื่อแสดงว่า “มันไม่สามารถเป็นจริงได้” ในบริบทของสังคมไทย​ ที่วิถีชนชั้นนั้นยั่งรากลึกและนำมาสู่การเสพติดจนยากจะปลดปล่อย
สังคมชนชั้น หลายมาตรฐาน ที่กระบวนการยุติธรรมทั้งระบบพร้อมจะผ่อนปรนโทษฑัณฑ์ในสถานเบาที่สุดให้กับ ชนชั้นสูงด้วยความเชื่อว่า “เป็นคนดี” ไว้ก่อน แม้โกงก็มองไม่เห็น ส่วนคนยากจน กระบวนการยุติธรรมทั้งประเทศ พร้อมจะตัดสินโทษฑัณฑ์พวกเขาด้วย “บทลงโทษสูงสุด” ไว้ก่อน ทั้งนี้ คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เป็นคดียกเว้นที่ศาลพร้อมใจกันอ้างคำว่าเป็นคดีร้ายแรง  “นำมาซึ่งความเสื่อเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นที่เทิดทูนและเคารพสักการะ กระทบกระเทือนจิตใจปวงชนผู้จงรักภักดี” 
แม้จะรับรองคณะรัฐประหารและรัฐบาลของคณะรัฐประหารนับ 10 คณะ กษัตริย์ในฐานะประมุขของชาติ ก็ทรงอยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมืองทุกชนิด ด้วยประการฉะนี้ สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย ในด้านหนึ่ง จึงมีอำนาจ บารมี ทรัพย์สิน และกองกำลัง มากที่สุดและน่าเกรงขามมากที่สุด … มากกว่ารัฐบาลที่ได้รับเลือกตั้งมาบริหารประเทศ
แต่ในอีกทางหนึ่ง มันก็เหมือนดาบสองคม ที่ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยติดกับดักแห่งวิถี “สมมติเทพ” อยู่กับโบราณกาลแห่งพระราชประเพณี พระธรรมเนียม และคำราชาศัพท์ที่ต้องมีพจนานุกรมแปลกลับเป็นภาษาไทย และถูกสรรเสริญเทิดทูน ให้ทรงอยู่ห่างจากประชาชนมากขึ้นเรื่อยๆ
อ้อ! นับตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา มีอีกหนึ่งข้อยกเว้นในสังคม “แบบไทยๆ” คือ ทักษิณ” คือ คนเดียวในประเทศไทยที่เลวร้ายที่สุด โกงมากที่สุด และเป็นคนที่สร้างให้เกิดความเลวร้ายทุกอย่างในประเทศนี้
สถานการณ์เช่นนี้เป็นสถานการณ์ที่จำต้องเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเมื่อในโลกศตวรรษที่ 21 นั้นอ่อนไหวอย่างยิ่งต่อการให้คุณค่าแห่งความเป็นคนว่ามีศักดิ์ศรีและสิทธิเสมอกัน
การปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ให้อยู่ลอยลำอยู่เหนือการเมือง เหนือการปกครอง และเหนือเกล้าเหนือกระหม่อมประชาชนจนเกินไปเช่นที่เป็นอยู่ในประเทศไทย ณ ขณะนี้ ทำให้สถาบันกษัตริย์เปราะบางต่อการถูกใช้เป็นเครื่องมือของกลุ่มผลประโยชน์ เพื่อใช้ในการรังแกและเหยียบย่ำประชาชนของพระองค์มากยิ่งขึ้น
ดังนั้น หนึ่งในวิธีการที่จะลดสภาวะสุ่มเสี่ยงของการปะทะระหว่างกลุ่มประชาชนที่อยู่ กับการโหมโฆษณาประชาสัมพันธ์ “ปกป้องสถาบันฯ” และ “รักในหลวง” อย่างรุนแรงตลอดช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา กับประชาชนคนรากหญ้าที่รู้สึกถูกบีบคั้นด้วยความคิดว่า “คนชนบทโง่ เลือกคนเลว” มาอย่างยาวนาน จะสามารถผ่อนคลายไปได้ด้วยการเปิดพื้นที่เสรีภาพให้ประชาชนสามารถพูดกันได้อย่างตรงไปตรงมา
กฎหมายมาตรา 112 เป็นหนึ่งในต้นตอสำคัญ ที่ถูกใช้อย่างรุนแรงมากขึ้น (แม้ว่าจะมีการใช้เพื่อจัดการปิดปากการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ มาตลอดรัชสมัยก็ตาม) นับตั้งแต่ปี 2549 ด้วยสถิติคดีความร่วมหนึ่งพันคดี และกลุ่มรอยัลลิสต์ยังมีการใช้กฎหมายมาตรานี้ฟ้องร้องนักกิจกรรมและนักศึกษา ที่แสดงออกถึงความอัดอั้นกับการเมือง “พูดความจริง” ไม่ได้ โดยล่าสุดฟ้องร้องทีมงานละคร “เจ้าสาวหมาป่า” ที่แสดงในงานรำลึก 40 ปี 14 ตุลาฯ ที่ผ่านมา
การชำระสะสางประวัติศาสตร์ไม่ได้เสียที เพราะทุกจักรกลในประเทศไทยไม่สามารถทำงานได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะทำให้เป็นที่ “ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท” กันมาตลอดเช่นนี้
การจะเริ่มชำระประวัติศาสตร์ ไม่มีทางหลีกเลี่ยงที่จะต้องยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาตรา 112 หรือระงับการใช้จนกว่าจะมีการออกกฎหมายใหม่ ที่ไม่สามารถถูกใช้พร่ำเพรื่อและ/หรือเพื่อใช้กลั่นแกล้งกันทางการเมืองเช่นมาตรา 112 ในปัจจุบัน

เห็นใจกลุ่มรอยัลลิสต์ไทย แต่เราจำต้องพูดความจริงกันได้เพื่อพัฒนาสู่สังคมเหตุผล

กลุ่มรอยัลลิสต์เสื้อเหลืองตามที่เปิดเผยตัวมีทั้งราชนิกูลหลายสิบตระกูล ผู้พิพากษา ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ดารา-นักร้อง สส.พรรคประชาธิปัตย์และมวลชน รวมทั้งคนจากภาคใต้ฐานเสียงของพรรคนี้ที่เดินทางขึ้นมาร่วม เป็นกลุ่มคนไทยที่ต้องการการเยียวยาอย่างจริงจัง และกำลังอยู่ในความหวาดผวาอย่างแท้จริงว่า “ความเป็นอภิสิทธิชน” ของตนเองกำลังจะถูกท้าทายหรือถูกทำให้ลดทอนลงไป ตามการเปลี่ยนผ่านพระราชอำนาจของสถาบันพระประมุขที่คืบคลานใกล้เข้ามา
พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่ถูกล่อหลอมทั้งจากประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้ถูกชำระ จากการดำเนินโครงการเฉลิมพระเกียรติ ตามรอยพระราชดำริ จากการฟังข่าวในพระราชสำนัก ยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีทุกครั้งที่ดูหนังในโรงภาพยนตร์ และจากการมอบกราบให้กับพระบรมวงศานุวงศ์มาอย่างยาวนาน จนเชื่ออย่างสนิทใจในความเป็นข้า “ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม” โดยไม่เคยคิดที่จะตั้งคำถามหรือแม้แต่จะคิดตรวจสอบใดๆ ทั้งสิ้น
คนไทยสีเหลือง คือกลุ่มคนที่ได้รับอภิสิทธิชนมายาวนานจากวิถีการเมือง “ข้าในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ที่ถูกหล่อเลี้ยงและอุ้มชูด้วยงบประมาณและสิทธิประโยชน์อย่างมหาศาลในฐานะ ของคนเป็นข้าราชการ นักธุรกิจหัวเก่า คนบันเทิง คนเมืองหลวง หรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่ทำหน้าที่ลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิประโยชน์ของตัวเองอย่างจริงจังเช่นกัน
ดังนั้น คนเสื้อเหลืองจากเมืองหลวงจึงเป็นคู่ขัดแย้งกับคนเสื้อแดงจากชนบทอย่างแท้จริง ในฐานะของผู้ปกป้องอภิสิทธิ์และผลประโยชน์ของตัวเอง – ที่ไม่ต้องการให้กระจาย – ซึ่งจริงๆ แล้ว ก็คือเพื่อการรักษาช่องว่าง “ความรวย-ความจน” ในสังคมไทยให้อยู่สูงติดอันดับโลก ดังนั้นในนิยามของอภิสิทธิชน การการะจายความมั่งคั่งและเท่าเทียมไม่สามารถจะกระจายให้คนในชนบทได้ …
แต่มันถึงคราวจำเป็นที่จะต้องกระจาย เพราะคนเสื้อแดงในชนบทก็สุดทนกับวิถีชีวิตปากกัดตีนถีบที่อยู่ไกลปืนเที่ยง และไร้สวัสดิการใดๆ และก็ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิที่พึงมีของพวกเขา
ทั้งคู่ (เหลือง-แดง) จึงเป็นคู่กรณีหรือถูกทำให้เป็นคู่กรณีกันจากการเมืองเลือกค่าย … แต่เพื่อความสันติสุข พวกเขาจำเป็นต้องทำความเข้าใจระหว่างกัน … และไม่มีทางอื่น นอกจากการต้องกระจายสิทธิประโยชน์เพื่อคนทั้งประเทศอย่างเท่าเทียม และต้องส่งเสริมและสร้างการเมืองให้เกิดความเข้าใจปัญหาระหว่างกัน เพื่อมิตรภาพระหว่างกัน เพื่อนำพาประเทศชาติเดินหน้าไปด้วยกัน และอย่างเท่าเทียมกัน
ภาระหน้าที่หนึ่งของรัฐบาลไทยและสังคมไทย คือ จะต้องเตรียมหามาตรการเยียวยารอยัลลิสต์อย่างจริงจัง เพราะพวกเขาช่างน่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง และช่างมีสภาพไม่ต่างจากพ่อแม่ของอดัมในหนัง “Blast from the past” ที่ติดกับดักในบ้านหลบภัยปรมาณูใต้ดินถึง 35 ปี ด้วยความเชื่อว่ามีสงครามนิวเคลียร์ล้างโลกเกิดขึ้นจริง

สรุป … การสร้างความเข้มแข็งให้กับประชาธิปไตยไทยยังขึ้นอยู่กับพลังของคนเสื้อแดง

การเมืองประเทศไทยตลอด 80 ปีที่ผ่านมา เป็นการเมืองที่ผู้ก่อการวางระบบประชาธิปไตยทั้งหลายตระหนักดีถึงความรุนแรงต่อชีวิตประชาชน จึงเลือกวิถีการเมืองไม่แตกหัก แต่ในความไม่แตกหัก ระบบรัฐสภาและการเลือกตั้งตามครรลองประชาธิปไตยของไทย ถูกทำลายกันนับครั้งไม่ถ้วน ถ้าไม่ถูกบีบให้ยุบสภา ก็ถูกทำรัฐประหาร หรือไม่ก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคซึ่งส่งผลให้รัฐบาลล้มไปด้วย
ทั้งนี้ระบบการเมืองไทยต้องมีการลงพระปรมาภิไธยแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์ที่ทรงเป็นที่เคารพสักการะ ทำให้นับตั้งแต่ทศวรรษ 2500 เป็นต้นมา รัฐบาลที่จะอยู่รอดปลอดภัยต่างก็ต้องสยบยอมกับอำนาจกระบอกปืน และเลือกดำรงวิถีการเมือง “ซื้อใจทหาร เอาใจข้าราชการ และห้ามตั้งคำถามกับสำนักพระราชวัง” ด้วยการโหมเทงบประมาณเพื่อการทหาร และโครงการเฉลิมพระเกียรติกันโดยไม่ตรึกตรองถึง “ความจำเป็น” และความสมเหตุสมผล” และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อสังคมในระยะยาว
เพื่อก้าวสู่การพัฒนาประเทศอย่างมีคุณภาพและยั้งยืน ประชาชนชาวไทยจึงมีภาระหน้าที่สำคัญยิ่ง ที่จะต้องร่วมกันนำการเมืองให้หลุดพ้นไปจากธรรมเนียมวิถีแบบเดิม และหลุดออกไปจากจุดล่อแหลมที่รัฐบาลที่เลือกมาจะถูกโค่นล้มอีกครั้งหนึ่งไปได้อย่างสันติวิธี โดยไม่มีการเสียเลือดเสียเนื้อ (อีกต่อไป) ร่วมกันทำหน้าที่พิสูจน์กับขั้วอำนาจนำในประเทศไทยว่า ประชาชนจะรักษา “หลักการประชาธิปไตย” และไม่ยอมให้รัฐบาลที่เลือกมา ถูกล้มอย่างง่ายดายด้วยทหาร ศาล หรือเกมการเมืองอันสกปรกของฝ่ายค้าน
ไม่มีใครสมควรตายเพราะสงครามกลางเมืองเพื่อชนชั้นสูงอีกแล้ว ประวัติศาสตร์ทั่วโลกมีให้เห็นมากมายถึงความเจ็บปวดสูญเสียจากสงครามกลางเมือง – สงครามระหว่างชนชั้นล่างและชนชั้นอภิสิทธิชน – หรือดูจากบทเรียนฟินแลนด์ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ประเทศไทยสามารถศึกษาบทเรียนรอบตัวเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้
กลุ่มชนชั้นนำขั้วอำนาจเก่าในสังคมไทยที่ถูกท้าทายด้วยวิถีโลกาภิวัตน์และนายทุนใหม่ จำเป็นต้องปรับตัวอย่างจริงจัง และไม่สามารถดำเนินนโยบายการเมืองสมมุติเทพอันโบราณกาลได้อีกต่อไป
ณ บัดนี้ถึงเวลาแล้ว ที่พรรคเพื่อไทย ที่เป็นพรรคที่อ้างว่าเพื่อประชาชนคนรากหญ้าที่พวกเขาต่อสู้ปกป้องมาด้วย เลือดเนื้อ ชีวิต กำลังเงิน กำลังกาย ตลอดช่วงเวลากว่า 6 ปี นับตั้งแต่รัฐบาลทักษิณถูกรัฐประหารเมื่อปี 2549 จะต้องกล้าใช้พลังเสียงของคนเสื้อแดง ต่อรองอำนาจกับขุนนางชนชั้นสูงและทหาร และทำการต่อรองอย่างเข้มแข็งมากขึ้น เพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์และสิทธิประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ที่เลือกให้พรรคเพื่อ ไทยได้เป็นรัฐบาล และเพื่อพิทักษ์อุดมการณ์และกติกาประชาธิปไตย
การเมืองต่อไปนี้เป็นเรื่องความความอดทนอดกลั้นต่อความคิดต่าง เป็นเรื่องของการระมัดระวังอย่างเต็มที่ที่จะไม่ให้เกิดความรุนแรงกับม็อบ การเมือง ไม่ว่าจะฝ่ายไหนทั้งสิ้น เป็นสภาวะที่คนที่มีสติในสังคมจะต้องลุกขึ้นมาเตือนสติให้ทั้งสังคม – ที่แม้ไม่ยอมรับ – ก็จำต้องเคารพในความต่างทางความคิด และสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมือง ในขณะที่รัฐบาลก็จำต้องเร่งออกกฎหมายที่รับรองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และบริหารประเทศโดยรับฟังเสียงเรียกร้องและทัดทานจากประชาชนด้วยความใส่ใจอย่างแท้จริง
ถ้ารัฐบาลที่มาจากครรลองประชาธิปไตยเลือกตั้งสามารถอยู่ได้ครบ 2 สมัยโดยไม่ถูกยุบหรือถูกรัฐประหาร ประเทศไทยจะเริ่มมีความหวังแห่งเสถียรภาพทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม และโลกก็จะเลิกปฏิบัติกับไทยราวกับเป็นเด็กเล็ก และเริ่มจริงจังกับประเทศไทยมากขึ้น
* * * * * * * * *

ดูเพิ่มเติม

———–

หมายเหตุ

จรรยา ยิ้มประเสริฐ ว่างเว้นจากการเขียนบทความทางการเมืองมากว่าปี เพราะไม่สามารถหาสรรพนามที่ใช้เรียกแทนตัวเองได้อย่างลงตัว – เป็นเรื่องจริงที่ตลกร้ายครับ และก็เป็นเรื่องที่ผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมไทยอาจจะรู้สึกว่า “อ่อนไหวเกินไปหรือเปล่ากับแค่สรรพนาม” … อาจจะจริงว่าอ่อนไหวเกินไป แต่คำสรรพนามที่ใช้แทนตัวก็คือตัวตนของคนๆ นั้น เนื่องจากจรรยาจริงจังกับเรื่องความเท่าเทียมกับคนอื่น ไม่ว่าจะเพศหรือสถานภาพใด การใช้สรรพนามเรียกชื่อตัวเองตามธรรมเนียม ที่บ่งบอกสถานะเพศหญิงว่า “ดิฉัน” ที่มีข้อกังขากับที่มาว่าต่ำต้อยเช่นเดรัจฉาน และก็เพราะความไม่คล่องปากกับการใช้คำนี้
เมื่อใช้ “กู” เป็นสรรพนามตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ก็ตระหนักชัดว่ามันไม่สามารถก้าวขึ้นไปสู่การเป็นสรรพนามของการเขียนอะไรที่ เป็นที่ยอมรับทางวิชาการหรือทางการได้ ส่วนคำว่า “ข้าพเจ้า” แม้ว่าจะหมายถึง “ข้าของพระผู้เป็นเจ้า” ก็ตาม จรรยาก็ตั้งคำถามกับคำว่า “ข้า” เพราะแม้แต่พระผู้เป็นเจ้าที่สั่งสอนสังคมก็เพื่อให้คนหลุดพ้นจากการเป็น “ข้า” ทั้งสิ้น คำสรรพนามนี้ จึงเป็นคำสรรพนามที่จรรยาไม่รู้สึกสบายใจที่จะใช้เช่นกัน
ก็มายุติว่า นับตั้งแต่นี้ไป จรรยาจะใช้คำสรรพนามว่า “ผม” คำเดียวกับที่เพศชายใช้ ใช้เท่าเทียมกันไปทั้งหญิงและชาย ทั้งนี้ในนิยามและความหมายไม่มีอะไรบ่งชี้บอกถึงการต่ำต้อยเช่นสัตว์ เดรัจฉานหรือเป็นข้าของใคร

คำตอบ(โต้) คนคลั่งเจ้า จาก คนรักประชาธิปไตย (เล่ม 2)



30 ธันวาคม 2557


นับตั้งแต่เขียนบทความ “ทำไมถึงไม่รักในหลวง” เมื่อปี 2553 และบทความและรายงานอีกหลายชิ้นที่เขียนตามมาหลังจากนั้น ผมก็ต้องเผชิญกับการข่มขู่คุกคามทางโลกออนไลน์ รวมทั้งการเสียบประจานจากคนกลุ่มที่อ้างว่ารักในหลวงและแสดงออกถึงความรักในหลวงมากกว่าปกติ (ขอใช้คำว่า “คนคลั่งเจ้า” และ ‘สื่อคลั่งเจ้า’) อยู่บ่อยครั้ง

ยามที่ต้องเผชิญหน้ากับคำด่าอย่างหยาบคาย และคำขู่ต่างๆ ในช่วงแรกๆ ผมก็รู้สึกตกใจ เป็นวิตกกังวล และก็หวั่นเกรงภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับตัวเอง ถ้าจะต้องเผชิญหน้ากับคนเหล่านี้

แต่เมื่อต้องพบเจอกับมันบ่อยขึ้น ก็เริ่มเรียนรู้ เข้าใจ และกลายเป็นความเห็นใจคนเหล่านี้แทน ...

จากการคิดที่จะตอบโต้พวกเขาประเภท “แรงมาก็แรงไป” ก็เริ่มปรับมาเป็นว่า ถ้าคนคลั่งเจ้ามาข่มขู่ด่าทอกันอย่างหยาบคาย ผมก็จะพยายามนำมาตอบ (โต้) รวมกันในหนังสือเป็นเล่มด้วยกันไปเลย จะได้ตอบโต้ได้ครอบคลุม และเพื่อที่ผู้คนในสังคม จะได้เรียนรู้และทำความรู้จักคนคลั่งเจ้าไปด้วย

ในการตอบโต้คนที่เข้ามาด่าทอผมในเล่มนี้ ผมก็อยากเชิญชวนทุกท่านไปดาวน์โหลดหนังสือ “คำตอบ (โต้) กับคนรักสถาบันฯ จากคนรักประชาธิปไตย” (http://junyayimprasert.blogspot.fi/2013/03/blog-post_9937.html) มาอ่านประกอบด้วยก็จะดี เพราะหลายประเด็นที่คนคลั่งเจ้ากังขานั้น ได้ถูกตอบไปแล้วในหนังสือเล่มแรกไปแล้ว

ในหนังสือ “คำตอบ (โต้) กับคนคลั่งเจ้า” เล่มนี้ ผมคัดเลือกคำต่อว่าด่าทอต่างๆ ที่ส่งมาให้ผมทางกล่องข้อความในเฟซบุ๊คของผมมาตอบ เพื่อยกเป็นกรณีตัวอย่างให้เห็นเป็นตัวอย่างว่า ในสภาพการเมืองปัจจุบันที่คนที่ลุกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์การเมืองอย่างตรงไปตรงมา (ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องวิพากษ์ทุกสถาบันฯ รวมทั้งสถาบันกษัตริย์) พวกเราต้องรับมือกับความไร้สติของคนคลั่งเจ้ากันมากแค่ไหน และต้องรับมือกันอย่างไรบ้าง

และเพื่อจะบอกกับคน “รักในหลวง” ที่ “คลั่งอย่างหนัก” ว่า การจะลุกขึ้นมาวิจารณ์ใครนั้น มันก็ต้องมีการใช้เหตุใช้ผล และก็ต้องรับผิดชอบกับข้อเขียนหรือการกระทำนั้นๆ ด้วย

ทั้งนี้ ไม่ว่าคนคลั่งเจ้า หรือ คนไม่คลั่งเจ้า ความเป็นมนุษย์มันก็เท่ากัน และมันมีขอบเขตที่จะกระทำได้ในสังคมไทยและสังคมโลก

ถึงแม้จะดูเหมือนว่าผู้คนใช้สัญลักษณ์ “รักเจ้า” จะสามารถแสดงความคลั่งได้อย่างไร้ขอบเขตในประเทศไทยก็ตามที (ณ ยามนี้) แต่ผมขอยืนยันว่า ความคลั่งเจ้าอย่างป่าเถื่อนและละเมิดสิทธิมนุษยชน เป็นพฤติกรรมที่ไม่เป็นที่ยอมรับ ทั้งในดินแดนราชอาณาจักรไทย หรือในต่างแดน ที่พวกท่านนั้นเป็นตัวตลกที่น่าสมเพชมากขนาดไหนในสายตาคนต่างชาติ

หวังว่าหนังสือเล่มนี้ จะช่วยส่องสะท้อนให้เห็นความโหดร้ายและหยาบคาย ของกลุ่มคนที่อ้างว่า “รักในหลวง” กันได้บ้าง และหวังว่าคนรักเจ้า จะลุกขึ้นมาปรับปรุงพฤติกรรม พร้อมกับ “ใส่ความเป็นมนุษย์” ลงไปในการแสดงความคิดเห็นกันมากขึ้นนะครับ

ด้วยความปรารถนาดี อยากเห็นประเทศไทยสงบสุข โดยที่สังคมอดทนอดกลั้นต่อความคิดเห็นที่ต่างกันได้มากขึ้น

จรรยา ยิ้มประเสริฐ

-------------------------

ดาวน์โหลดหนังสือ "คำตอบ(โต้) คนคลั่งเจ้า จาก คนรักประชาธิปไตย"




กระหึ่มโลกเฟซบุ๊ค .... จัดหนักสินจัย ที่เขียนได้ฟาสซิสต์ ... เขียนได้แย่ .. ด่าได้ไร้หัวคิด

29 พฤศจิกายน 2557
ได้เวลาโต้สินจัยสักที แม้ว่าหลายคนจะจัดสินจัยหนักๆ กันไปเยอะแล้วก็ตาม ดูคำตอบประเด็นต่างๆ ของคุณสินจัยที่ใช้ตัวหนังสือสีแดงนะครับผม

กระหึ่มโซเชียล…สินจัย เปล่งพานิช…เขียนได้ดี….ด่าได้แรง

ที่มา กระหึ่มโซเชียล…สินจัย เปล่งพานิช…เขียนได้ดี….ด่าได้แรง ที่มา 

*สินจัย เปล่งพานิช...เขียนได้ดี....ด่าได้แรง.*

คนพาดหัวข่าวนี่ก็ไม่ใช้หัวคิดเลยนะฮะ เขียนได้ฟาสซิสต์ขนาดนี้ ยังชมกันอย่างหน้ามืดตามั่วว่า "เขียนได้ดี"


"..... ยึดติดกับคำว่า "รัฐประหาร" มากเกินไปหรือเปล่า ....?

นั่นดิ "…. ติดยึดกับ "ในหลวง" มากเกินไปหรือเปล่า …?


คำก็ไม่ดี , สองคำก็ประเทศชาติล้าหลัง , สามคำก็อายต่างชาติ (?!)

คำก็คนดี, สองคำก็แผ่นดินของในหลวง, สามคำก็คนไทยไม่เหมือนชาติใดในโลก (?!)

แล้วอะไรที่ดี ในความคิดของคุณ (?!)

บอกให้ก็ได้ สิ่งที่ดีในความคิดของผม คือ คนที่อยู่ในประเทศไทยทุกคน; ไม่ว่าจะเชื้อชาติใด, สีผิวใด, นับถือศาสนาใด หรือไม่นับถือศาสนาใด, ไม่ว่าจะเป็นหญิง ชาย เกย์ เลสเบี้ยน หรือไม่ระบุเพศ, มีใบปริญญาหรือไม่มี, ไม่ว่าจะรักเจ้าหรือไม่รักเจ้า ต่างก็มีความอดทนอดกลั้นต่อความคิดต่างระหว่างกัน เคารพในความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน และไม่ลุกขึ้นมาขับไล่ใสส่งใครหรือยั่วยุให้เข่นฆ่ากันเพราะ "คิดหรือเชื่อไม่เหมือนกับตัวเอง"

รัฐบาล โคตรคอร์รัปชั่น - ดี (?!)

รัฐบาลคอรัปชั่นหรือโคตรคอรัปชั่น ไม่มีรัฐบาลไหนหรอกฮะที่ดี ถ้าออกมาต่อสู้เพื่อขจัดคอรัปชั่นจริง การรัฐประหารนั่นคือการ คอรัปชั่นที่โคตรคอรัปชั่นที่สุดแล้ว ทำไมถึงยังเห็น "ดี" กับการทำรัฐประหารหรือครับ

รัฐบาล ทุจริตโครงการจำนำข้าวกว่า 7 แสนล้าน - ดี (?!)

ไม่มีรัฐบาลไหนที่ทุจริตและคอรัปชั่น เป็นรัฐบาลที่ดีหรอกนะฮะ คงไม่ต้องย้ำว่ารวมทั้งรัฐบาลประชาธิปัตย์ด้วย ที่ปล่อยให้ทรัพย์สินของชาติถูกขายไปจนขายทุนเป็น 8 แสนล้าน และอายุความจะหมดวันพรุ่งนี้แล้ว ... 

หน้าที่ของประชาชน คือ การสอดส่องดูแลให้กระบวนการยุติธรรมได้ทำการถูกตรวจสอบการคอรัปชั่นของ "ทุกรัฐบาล" ได้อย่างเที่ยงธรรม และโดย "ไม่ลำเอียง" มิใช่หรือ?

รัฐบาล ที่อยู่เบื้องหลังการ "ลอบฆ่า" ประชาชน - ดี (?!)

โอ้! นี่หมายถึงรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ใช่ไหมฮะ 100 ศพยังรอความยุติธรรมอยู่เลย

รัฐบาล ที่ "ซ่องสุม" อาวุธสงคราม , ระเบิด และ M79 - ดี (?!)

โอ้! นี่หมายถึงรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา แน่ๆ เลย อาวุธเต็มเลยทั้งในเมืองหลวงและในทุกจังหวัด


รัฐบาล ที่ออก พรบ. ลักหลับ - ดี (?!)

ตื่นมาดู พรบ. ที่รัฐบาลประยุทธ์ออกบ้างหรือยังครับ เห็นว่าดารา (รวมทั้งคุณสินจัยด้วย) จะถูกรีดภาษีหนักไม่ใช่หรือ เพราะรัฐบาลกำลังถังแตก


รัฐบาล ที่เสียบบัตรแทนกันหน้าด้านๆ - ดี (?!)

จริงนะ ไม่ดีจริงๆ ด้วย แต่แหม มันเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดในประเทศ จนต้องต้องล้มรัฐสภา ที่มีสส. ที่ประชาชนเลือกเข้ามาถึง 500 คน กับเงินที่ใช้ไปกันกับการเลือกตั้ง 20,000 ล้านบาท และงบบริหารประเทศที่รัฐบาลที่ไดัรับเลือกใช้ปีละ 1,500,000,000.000 บาท (1.5 ล้านล้านบาท) กันด้วยข้อกล่าวหาแค่นี้กันเลยหรือ?

รัฐบาล ที่ออก พรบ. นิรโทษโคตรเหง้าโจร - ดี (?!)

นี่ก็จริงอีกนั่นล่ะ รัฐบาลประยุทธ์กำลังจะนิรโทษโคตรเหง้าโจรอยู่ตอนนี้ รีบออกมาต่อต้านเร็วๆ นะฮะ จะเอาใจช่วย

รัฐบาล ที่ยุยงให้พวก "เดรัจฉานแดง" ออกไปเผาเมือง , เผาห้าง , เผาศาลากลาง , ยิงวัดพระแก้ว - ดี (?!)

โอ้ คุณสินจัยว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์อีกแล้วครับ


รัฐบาล ที่วันๆไม่ทำ "ส้นตีน" อะไรเลย ถ้าไม่หาแดกกับโครงการปล้นคนไทย ก็คิดแต่จะ "ฟอกผิด" พานักโทษหนีคดี กลับบ้านแบบเท่ๆ - ดี (?!)

โอ้ นี่ก็ว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์แห่งพรรคประชาธิปัตย์อีกแล้วครับ และก็อ้อ จะเรียกว่าพาดพิงถึงรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชาก็ได้ด้วยนะฮะ


รัฐบาล ที่อยู่เบื้องหลัง ขบวนการ "ล้มในหลวง" - ดี (?!)

โอ้ น่าสงสารพรรคประชาธิปัตย์จริงๆ นะฮะ ถูกคุณสินจัย เจาะซะกลวงโบ๋เลย

.. พอได้แล้ว.....! เลิกดัดจริตกันได้แล้ว .....!

นั่นนะซิครับเมื่อไรคุณสินจัยจะรู้จักพอได้แล้ว และเลิกดัดจริต เสียที!


และไอ้พวกที่ "ชู3น้ิว"..... "ถอดเสื้อแดง" มาห่มขาวจุดเทียน หรือเอาสก็อตเทปดำ - ปิดปาก รับจ้างมา "ประท้วงต่อต้านทหาร" เลิกเถอะ ....หัดทำมาหาแดกที่ใช้สมองและสำนึกบ้าง พวกคุณมันไม่มีราคาแล้ว เปิดตาเปิดใจดู "ความจริง" กันบ้าง

ฮา! อันนี้ถือว่าคุณสินจัยด่าผมด้วยคนหนึ่งนะเนี่ย เพราะผมทั้งชู 3 นิ้ว และบางคราวก็ชูนิ้วเดียว และยังเอาเทปดำปิดปากด้วย ... ฮา! 

แต่ ,,, แหม! คุณสินจัยนี่ไปพึงหมอดูคนไหนหรือครับ ที่ว่าผมรับจ้างมา ... คุณนี่มีสมองช่างไม่รู้จักคิดเลยว่า หมอดูนั้นคู่กับหมอเดา และมักจะเดาผิด 80% และเดาถูกซัก 20% เห็นจะได้ และงานนี้ หมอดูของคุณสินจัยก็ดูผิดจริงๆ นะครับ

ผมว่าคุณสินจัยเลิกไปหาหมอดูเถิดนะ หัดใช้สมองคิด และหัดไปหาหนังสือหนังหามาอ่านบ้าง อย่ามัวงมงายแต่กับหมอดูหมอเดากันเลยนะ ชีวิตนี้จะถูกหลอกจนหมดตัวแน่ๆ ถ้ายังไม่ "เปิดใจ เปิดตา และเปิดหู" รับฟังความจริงกันบ้าง 


ทหารเขาออกมาช่วยปกป้องรักษาชีวิตประชาชน แถมยังมีความคิดจะหาเงินคืนชาวนา

โอ๊ย ข้อเขียนนี้ของคุณสินจัย ทำผมฮากลิ้งเลย นั่งขำแทบตาย กว่าจะเลิกขำและมานั่งเขียนตอบต่อได้ 

คุณสินจัยคงสามารถใช้สมองที่มีอันน้อยนิดนั้นตีความได้ว่า ผมคิดอย่างไรกับประโยคนี้ของคุณนะครับ ...

อุย ... ขอขำต่ออีกสักนิดนะครับ


ตั้งแต่ทหารออกมา ยังไม่มีข่าวประชาชนบาดเจ็บล้มตาย เพราะถูก "สัตว์นรก" ที่ไหนลอบฆ่าเลย - สักคนเดียว ??! .. ใช่หรือไม่ ?!

ก็แหม "สัตว์นรก" ที่คุณสินจัยว่า กำลังถือปืนจ่อหัวชาวบ้านกันทั้งประเทศอยู่ในขณะนี้มิใช่หรือ และชาวบ้านเขาก็ "ฉลาดพอ" ที่จะไม่ยุให้ทหารยิงให้ตายอีกครั้งหรอกนะครับ เพราะมีบทเรียนมามากพอแล้วว่าพวก "สัตว์นรกในเครื่องแบบทหารนี่" มันโหดร้ายกันได้แค่ไหน

แล้วจะบอกว่า การ "รัฐประหาร" ครั้งนี้ ไม่ดีต่อพี่น้องประชาชน – ได้อย่างไร

ว่างๆ หัดเข้ามาอ่านเวบข่าวอื่นๆ บ้างนะฮะหลังจากดูข่าวพระราชสำนัก 2 ทุ่มจบแล้ว ดูเวบนี้ prachatai.org เป็นการเริ่มต้นก็ดีนะ มีข้อมูลเยอะมหาศาลที่บอกว่า รัฐประหารครั้งนี้มันทำร้ายประชาชนอย่างไร

ไม่มีใครเขาอยากให้มีการ "รัฐประหาร" หรอก

หึ หึ มีหน้ามาทำเนียนเขียนด้วยภาษาดัดจริตตอแหลอีกนะฮะ (ขอโทษที่ต้องใช้คำหยาบ) 

แต่จะดูอะไร มันต้องดู มันต้องตัดสินกันที่ "เจตนา" ไม่ใช่มึนเมา ไปหลง "ยึดติด" แต่คำว่า "รัฐประหาร" อย่างเดียว ?!!!

อืม มันตรรกะคุ้นๆ นะฮะ อ้อ ในข้อเขียนคุณสินจัยนี่เอง ลืมดูตัวเองหรือเปล่าครับผมว่า เมื่อคุณติดยึด "รักในหลวง" อย่างเดียวนั้น คุณดูเป็นตัวตลกและคนที่น่าสมเพชแค่ไหน และมันทำลายชื่อเสียความเป็นดาราที่คุณสั่งสมมา 30-40 ปีลงไปได้ในพริบตา เพียงแค่คุณ "ติดยึดในหลวง" โดยไม่ใส่ใจประชาชนร่วมชาติอีก 60 กว่าล้านคนว่าเขาจะคิดยังไง

... ใครที่แคร์ต่างประเทศ ,  แคร์อเมริกามากกว่าแคร์ "ชีวิตเพื่อนมนุษย์" คนไทยด้วยกัน

นั่นซิ อยากจะถามสินจัยจริงๆ

ก็ง่ายนิดเดียว พวกคุณก็อพยพไปอยู่ที่อื่นซะ ! ..

แหม! ผมยังไม่ทันจะตอบประเด็นข้างบนเลย ต้องรีบมาตอบข้อนี้ซะแล้ว ...  ก็คุณสินจัยเล่น "รีบไล่ผม" ไปอยู่ที่อื่นซะอย่างรวดเร็วเช่นนี้ซะแล้ว ช่างใจร้ายจริงๆ!

นึกไม่ออกว่าจะไปที่ไหน ก็ไป "ดูไบ" ไปขออยู่เป็น "ขี้ข้าขี้ตีนทักษิณ" ก็ได้... อย่าอยู่แม่งเลย - ประเทศไทย ที่นี่มันเป็นแผ่นดินของคนที่ "รักในหลวง"

เท่าที่ผมทราบ ในรายงานของสำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ระบุว่า "ในปลายปี พ.ศ. 2556 สำนักงานทรัพย์สินฯ ถือครองอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด รวมพื้นที่ 41,000 ไร่" เท่านั้นนะครับผม 

ทั้งนี้ที่ดินทั้งประเทศไทยมีจำนวน 320.70 ล้านไร่ มีโฉนดรวมทั้งสิ้นประมาณ 16 ล้านฉบับ ซึ่งคงต้องร่วมโฉนดที่ดินของคุณสินจัยอยู่ในนี้ด้วยแน่ๆ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าคุณสินจัยมีโฉนดที่ดินกี่ฉบับ (ดูเพิ่มเติมที่นี่ได้นะฮะ ถัาคุณสินจัยจะอ่านหนังสือได้มากกว่าวันล่ะ 3 บรรทัด http://tcijthai.com/tcijthainews/view.php?ids=4799)

เนื่องจากคนไทยทั้งหลายต่างก็ใช้เงินซื้อที่ดินและบำรุงรักษากันเองถึง 15-16 ล้านฉบับเช่นนี้ (รวมของคุณสินจัยด้วย) ที่ดินเหล่านี้จะเป็นของในหลวงไปได้อย่างไรครับ แล้วคุณสินจัยยินดีจะมอบกรรมสิทธิ์ในที่ดินของตัวเองให้สำนักทรัพย์สินหรือไม่ครับ? แต่แหม! ถึงแม้ว่าคุณจะมุทะลุ ยอมยกให้จริงๆ ผมก็ไม่ยอมยกให้สำนักงานทรัพย์สินนะครับ เพราะจนบัดนี้ผมยังใช้หนี้ที่กู้มาเพื่อซื้อที่ดินผืนนี้ยังไม่หมดเลย

คุณสินจัยไล่คนไม่รักในหลวงไปอยู่ที่อื่นนี่ คุณจะหาเงินมาซื้อคืนที่ดินและทรัพย์สินของเขา เพื่อให้เขาออกไปอยู่ที่อื่นได้หมดประเทศจริงๆ หรือครับ


เป็นแผ่นดินของ "คนไทยในรัชกาลที่ ๙" ที่อยากเห็นความสงบสุข ..

แน่นอนฮะ ผมก็อยากเห็นความสงบสุขในประเทศไทยจะแย่อยู่แล้ว แต่ตั้งแต่ผมเกิดมา จนอายุจะ 50 ปีเช่นนี้ ผมเห็นแต่ประเทศไทยที่ไม่เคยสงบสุขเลย   

เดี๋ยวก็เจอรัฐประหาร เดี๋ยวก็เห็นทหารใช้ปืนยิงชาวบ้านด้วยข้อกล่าวหามั่วๆ ว่าเป็นคอมมิวนิสต์และไม่รักในหลวง เดี๋ยวก็จับชาวบ้านที่ภาคใต้โยนลงเฮลิคอปเตอร์ เพราะข้อหาว่าไม่รักในหลวง เดี๋ยวก็ยิงนักศึกษาตายที่ธรรมศาสตร์ ด้วยข้ออ้างเดียวกันว่าไม่รักในหลวง และเมื่อเร็วๆ นี้ก็ยิงคนที่ใส่เสื้อแดงตายไป 100 กว่าคน เพราะข้อหาว่าไม่รักในหลวงนี่ล่ะ 

ผมยังไม่เคยเห็นความสงบสุขอย่างแท้จริงในรัชสมัยรัชกาลที่ 9 เลยจริงๆ นะฮะ คุณสินจัยช่างเกิดมาโชคดีแท้ๆ จริงเทียว ที่นอนหลับได้ตลอดรัชสม้ย จนไม่เห็นความทุกข์ยากของคนอื่นๆ ได้ ชีวิตช่างน่าอิจฉาแท้ๆ ทีเดียวฮะ


คนไทยที่เขา "สติดีดี" เขารังเกียจ และเบื่อหน่ายไอ้พวก "เดรัจฉานแดง" หนักแผ่นดิน กันจนทนไม่ไหว - แล้วโว้ย (?!)

อืม ... อืม … ผมพยายามใช้สติเป็นอย่างมากในการตอบโต้คุณสินจัยด้วยความเป็นสุภาพชน อ้อ ผมเป็นไพร่นะ เป็นลูกชาวนา หรือเรียกได้ง่ายๆ ว่า เป็นชาวบ้านจากชนบทที่คุณสินจัยรังเกียจนั่นล่ะ

บางคร้้งผมก็ใส่เสื้อแดงต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย บางครั้งผมก็ใส่เสื้อสีม่วงต่อสู้เพื่อสิทธิการเลือกเพศ บางครั้งผมก็ใส่เสื้อเขียวต่อสู้เพื่อสิทธิด้านสิ่งแวดล้อม บางครั้งผมก็ใส่เสื้อดำ เพื่อไว้ทุกข์ให้กับความโหดร้ายของเพื่อนมนุษย์

ผมอยากให้คุณสินจัยเข้าใจว่า "คนแบบผม" “คนที่รู้จักคิดแบบผม" ที่มีจำนวนมาก ต้องใช้สติและรู้จักยับยั้งชั่งใจกันเป็นอย่างมาก ที่จะไม่ตอบโต้กับคนที่มีแนวคิดฟาสซิสต์ หัวรุนแรง ดูถูกชาวบ้าน ดูถูกคนที่คิดต่าง และถึงขั้นลุกขึ้นมาด่าพวกเขาหรือไล่พวกเขาออกไปจากประเทศไทยอย่างง่ายๆ เช่นคุณสินจัย ด้วยอารมณ์และด้วยความรุนแรงทางภาษาเช่นที่คุณสินจัยใช้



อยากให้คุณสินจัยเข้าใจนะฮะว่า "ความเป็นคน" มันไม่ได้อยู่ว่า "คุณเป็นใคร" หรือเพราะว่า "คุณรักในหลวง" เท่านั้นหรอกนะครับ แต่ม้นอยู่ที่ว่าคุณมีความเป็น "คนมีเหตุผล" และ "มีความเป็นคน" แค่ไหน ต่างหาก!








ขอลี้ภัยแล้ว.แต่“สัญชาติไทย”ยังกักขังความเป็นคนไทย


จรรยา ยิ้มประเสริฐ

12 พฤศจิกายน 2557



ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวของการที่ผมเดินทางเข้าลอนดอนโดยไม่มีวีซ่า เพราะเข้าใจผิดว่าเดินทางด้วยหนังสือเดินทางของฟินแลนด์แล้วจะไม่ต้องใช้วีซ่า แต่ความเป็นคน "สัญขาติไทย" ของผมเป็นข้อเท็จจริงทางระเบียบการเข้าเมืองอังกฤษว่าต้องมีวีซ่า ผมเลยต้องนอนที่ห้องกักตัวของสนามบิน Gadwick 1คืน เพื่อรอเดินทางกลับมาฟินแลนด์ในวันรุ่งขึ้น ..

เป็นความผิดพลาดของผม ที่ทำให้ผมได้ร่วมตระหนักถึงความรู้สึกของพี่น้องคนไทยที่ถูกกักกันและถูกจองจำเสรีภาพ


เพื่อนฝูงคงเห็นกันว่า ผมกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก ที่จะเดินทางมาอังกฤษ เพื่อมาร่วมอยู่ในเวทีเสวนางานเปิดตัวหนังสือ “ประเทศไทย:ราชอาณาจักรในห้วงวิกฤต” ที่ Frontline Club กรุงลอนดอนในวันนี้ (วันที่ 12 พฤษจิกายน) เพราะนอกจากจะได้มีโอกาสได้พบกับแอนดรูว์ แม็กเกรเกอร์ มาร์แชล ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ ที่ได้พูดคุยผ่านอินเตอร์เนตกันมาตั้งแต่ปี 2553 ผมยังวางแผนไปพบกับเพื่อนนักกิจกรรมชาวอังกฤษ และที่อยู่อังกฤษอีกหลายคน ที่ช่วยกิจกรรมรณรงค์เพื่อประชาธิปไตยในประเทศไทยกันมาอย่างยาวนานด้วยเช่นกัน

ซึ่งผมได้ประสานงานที่จะได้พูดคุยกับเพื่อนชาวไทยและชาวอังกฤษไปหลายคน เพื่อจะไปแลกเปลี่ยนเรื่องสถานการณ์การเมืองไทย และชวนกันคิดหาหนทางจะทำอะไรก้นได้บ้างในการรณรงค์ที่อังกฤษ และยุโรป

ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมจึงประกาศขายหนังสือที่ผมเขียนมาอย่างต่อเนื่องเพื่อระดมทุน ซึ่งเมื่อรวมกับเงินของตัวเอง เงินจากการขายหนังสือ และเงินที่ผู้คนสนับสนุนให้มา (รวมกันก็ร่วมร้อยชีวิต) ผมก็ได้เงินพอค่าตั๋วเครื่องบิน และค่าซื้อคอมพิวเตอร์ Mac Book Pro คอมพิวเตอร์คุณภาพสูงและราคาก็ไม่ใช่น้อย จนสามารถซื้อมันได้ในนาทีสุดท้ายก่อนเดินทางไปสนามบินเฮลซิงกิเพื่อบินไปยังลอนดอนเมื่อวานนี้ ( 11 พ.ย.) ตอนบ่าย

แต่มันก็เป็นความสะเพร่าของผมอย่างที่ไม่น่าให้อภัย เพราะผมคิดว่าในเอกสารที่ออกโดยฟินแลนด์ ผมไม่จำเป็นต้องมีวีซ่าเข้าอังกฤษ ประกอบกับ ผมไม่เจอปัญหาหรือการท้วงติงใดเลย นับตั้งแต่ การซื้อตั๋วเครื่องบินเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รวมไปถึงการเช็คอิน และผ่านขั้นตอนขาออกของด่านตรวจคนเข้าเมืองที่ฟินแลนด์ …

แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อมาถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองที่สนามบิน Gatwick ที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความเข้มงวดกับการตรวจคนเข้าเมือง และไม่ปรานีในการส่งคนกลับประเทศวันละเป็นร้อยคน … กรณีของผม เมื่อเจ้าหน้าที่บอกว่า หนังสือเดินทางฟินแลนด์ และบัตรประจำตัวฟินแลนด์ ที่ในระบบที่ผมเช็คแล้วเช็คอีกว่ามันระบุไว้ว่า เป็นเอกสารการเดินทางเข้าอังกฤษได้ มันใช้ไม่ได้กับผม ตรงที่ "ผมไม่ได้มีสัญชาติฟินน์" ​“ผมเป็นคนไม่มีสัญชาติ” และการมีชาติกำเนิด “เป็นคนไทย” เจ้าหน้าที่บอกว่าผม “ต้องมีวีซ่า" เข้าประเทศอังกฤษ

นี่เป็นสิ่งที่ไม่คาดฝัน และเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผมเป็นครั้งแรกในรอบ 25 ปี ของการเดินทางรณรงค์เพื่อสิทธิและเสรีภาพ ที่ต้องเรียนรู้และแบ่งปันให้เพื่อนๆ ที่เดินทางด้วยเอกสารเช่นเดียวกับผมได้ระมัดระวัง เพื่อจะได้ไม่เกิดความผิดพลาดเช่นเดียวกับผมครับ

ในขณะที่ผมอยู่ในระหว่างการสอบสวนและรอการตัดสินใจว่าของทางตรวจคนเข้าเมืองอังกฤษ และต้องอยู่ในห้องกักตัวนั้น ผมได้รับการปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่ทุกคนเป็นอย่างดี เจ้าหน้าที่เจ้าของคดีผมน่ารักมาก พยายามช่วยโทรประสานงานกับเพื่อนและเจ้าภาพที่จัดงาน เพื่อให้ได้โทรอธิบายสถานการณ์ถึงความจำเป็นที่ผมต้องมาพูดในเวทีสนทนาเรื่องเมืองไทยในวันนี้ และคุยกับผมยาว เพื่อเขียนรายงานส่งหัวหน้าให้เข้าใจสถานการณ์ของผม และเธอก็มาบอกผมด้วยความเสียใจว่า ไม่สามารถช่วยให้ผมเดินทางผ่านได้จริงๆ

แม้แต่เจ้าหน้าที่ในห้องกักตัวก็ยังบอกกับผมด้วยความเห็นใจ แต่ก็บอกว่า ทางการอังกฤษเข้มงวดมากขึ้นในการตรวจคนเข้าเมือง โดยเฉพาะนับตั้งแต่เหตุการณ์ 9/11 และทุกวันที่ด่าน ตม. ของอังกฤษ ต้องส่งคนที่ไม่มีวีซ่า - เพราะเข้าใจถูกในหลักการ แต่ทำผิดที่ไม่ขอวีซา - กลับประเทศกันวันละเป็นร้อยคน ไม่ว่าจะเป็นคนอเมริกัน แคนาดา ออสเตรเลีย บางทีก็ทั้งแม่และลูก
สำหรับผมนั้น ต้องยอมรับว่าในช่วงแรก ผมช็อค ไม่คาดคิดว่าจะต้องมาเจอปัญหานี้กับตัวเอง แต่เมื่อเริ่มต้นเขียนบอกเล่าเหตุการณ์นี้ที่บนความสูงสามหมื่นฟุต ในเครื่องบินที่นำพาผมกลับมายังฟินแลนด์ นั้น แม้จะใจหายและเสียดายที่ไม่ได้ร่วมในเวทีเสวนาวันนี้ด้วยตัวเอง แต่ต้องดำเนินการผ่านสไกด์วีดีโอ แต่ผมก็รู้สึกขอบคุณที่ได้มีประสบการณ์ตรงของ “การถูกกักกันและจำกัดเสรีภาพ” เพราะความเป็น “คนไทย” และ ผู้ลี้ภัยการเมืองที่ “ไร้สัญชาติ” อันเป็นปัญหาที่เพื่อนร่วมชาติจำนวนมากต้องพบเจอกันทุกเมื่อเชื่อวัน

ทำไมผมจึงรู้สึกขอบคุณ …


ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับผม ทั้งความไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะไม่รอบคอบเช่นนี้ และความเสียใจที่ทรัพยากรที่ทุ่มเทไปเพื่อโอกาสจะได้ใช้มันที่อังกฤษ จะเป็นการเสียเปล่า ทั้งความเสียใจที่ทำหน้าที่ให้สมกับความสนับสนุนของเพื่อนและผู้สนับสนุนนับร้อยคนที่ช่วยกันซื้อหนังสือและสนับสนุนเครื่องมือทำงานให้ผมได้ไม่สำเร็จในครั้งนี้ รวมทั้งบรรยากาศในสภาพของการถูกตรวจสอบ กักกัน สอบสวน แม้จะเป็นไปด้วยความสุภาพและเข้าใจในส่ิงที่ผมทำ แต่มันก็ไม่เป็นที่พึงประสงค์ของผู้ใดทั้งนั้น ….

แต่เมื่อผมย้อนตระหนักถึง ความไม่คาดคิด ความหวาดหวั่น หวาดกลัว หรืออับอาย ของคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ถูกทหารเรียกตัวไปสอบสวนและควบคุมตัวในข้ออ้างสวยหรูว่าเพื่อการ “ปรับทัศนคติ” ที่เมืองไทยนั้น สิ่งที่ผมเจอนั้น มันยังเป็นเรื่องน้อยนิดมาก เทียบกับสิ่งที่คนที่เมืองไทยต้องเจอะเจอกันทุกเมื่อเช่ือวันไม่ได้เลย … ผมจึงทำใจยอมรับความผิดพลาดครั้งนี้ได้ว่า นี่เป็นสถานการณ์ที่ต้องรับมือกับมันด้วยความเข้มแข็งและมีสติ

ในระหว่างที่อยู่ในห้องกักตัว ผมนึกถึงพี่สมยศ ดา กอล์ฟ แบงค์ เอก และสหายที่รักและเคารพที่ไม่อาจจะเอ่ยนามได้ ที่ถูกส่งเข้าคุกและห้ามประกันด้วยข้อหาละเมิดมาตรา 112 กันอยู่ตอนนี้ และผมตระหนักดีว่า 1 คืนของผมในห้องกักตัวที่สนามบิน Gadwick นั้นเทียบไม่ได้แม้แต่ความรู้สึกเพียงนาทีหรือชั่วโมงเดียว ที่เพื่อนฝูงต้องเผชิญในคุกโหดที่เมืองไทย ที่สิ้นไร้ไปเสียทุกสิ่ง และคนที่เจอคดี 112 และคดีการเมือง มักจะถูกกลั่นแกล้งรังแกทั้งจากเจ้าหน้าที่และคนร่วมคุกอื่นๆ

ในกรณีของผม มันเป็นหนึ่งคืนในห้องกักตัวที่ไม่ลำบากนัก มีทั้งทีวี หนังสือ หนังสือพิมพ์ วารสาร คุ้กกี้ ผลไม้ ห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ รวมทั้งหมอนที่มีปลอกหมอนผ้าห่มใหม่มาให้คนละชุด และยังมีเจ้าหน้าหลายคนคอยแวะเวียนมาถามกันเรื่อยๆ ว่า หิวไหม จะทานอะไรไหม จะดื่มอะไรไหม กาแฟ ชา หรือโก้โก้ไหม แล้วก็พากันกุลีกุจอ จัดหาอาหาร เครื่องดื่มมาให้เมื่อเราต้องการ (จริงๆ หลายคนก็กินหรือดื่มอะไรกันไม่ลงด้วยล่ะในสภาพแบบนั้นที่ไม่พร้อมจะถูกส่งกลับบ้านเกิด ที่หลายคนก็มีปัญหาที่ไม่อยากกลับไปเผชิญหน้ากับมัน)

ในห้องกักกัน ก็มีตู้โทรศัพท์ให้โทรออกได้ และให้คนโทรเข้ามาหาได้ ถ้าเราไม่มีเงินหยอดตู้ รวมทั้งเบอร์ทนายที่ติดหราข้างตู้โทรศัพท์สำหรับคนที่คิดว่าต้องการทนายช่วยเหลือ หรือต้องการขอลี้ภัย

ทั้งนี้ ผมไม่พบเห็นพฤติกรรมที่เจ้าหน้าที่ข่มขู่ให้รับสารภาพผิดเช่นที่พวกเราได้ยินกันอยู่ตลอดเวลาในคดีของคนเสื้อแดงที่เมืองไทย แต่เจ้าหน้าที่เกือบทุกคนที่ผมพบเจอในครั้งนี้ ต่างก็ได้พยายามช่วยให้ผมได้ประสานงานกับเพื่อน เพื่อหาทางเจรจากับทางตม. และยังอนุญาตให้ผมใช้โทรศัพท์ติดต่อเพื่อนและเจ้าภาพจัดงานได้อีกด้วย

นอกจากนี้ ผมยังนึกถึงคนงานไทยวันละหลายร้อยคนที่ถูกกักตัวที่สนามบินของประเทศเกาหลีใต้ หรือประเทศต่างๆ ที่ระบุว่าคนไทยสามารถเดินทางไปขอวีซ่าที่ประเทศปลายทางได้แต่พวกเขาก็ต้องถูกปฎิเสธไม่ให้เข้าประเทศ เพราะถูกหมายหัวว่า ถ้าเมื่อเข้าประเทศได้แล้ว จะหลบหนีวีซ่าเพื่อทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต พวกคนหางานเหล่านี้ ก็คงจะอยู่ในสภาพไม่ต่างจากผม และพวกเขาต้องเสียเงินมากมายไปกับความเสี่ยงนี้ให้กับตัวแทนนายหน้าที่หลอกลวงพาพวกเขาไป “ตายเอาดาบหน้า”

ณ ตอนนี้ ที่บ้านสหายชาวฟินแลนด์ที่กรุงเฮลซิงกิ ยามเมื่อผมได้นั่งเขียนเล่าเรื่องราวการถูกกักตัว ผมก็มานึกถึงประเด็นที่คนคลั่งเจ้ามักอ้างกันด้วยความคิดความเชื่ออย่างคะนองปากว่า "ประเทศไทยเป็นของพระเจ้าแผ่นดิน" และชอบไล่คนไทยคนอื่นๆ ที่ไม่รักกษัตริย์กันอย่างง่ายดายเหลือเกินว่า “ไม่รักเจ้าก็ไปอยู่ประเทศอื่น” “ไม่รักเจ้าก็ไม่ต้องเป็นคนไทย” …


แต่แหม พี่น้องชาวไทยเอ๊ย แม้หลายคนจะไม่ได้รัก “ไทย” กันจนจะเป็นจะตาย แต่ชาติกำเนิด ชาติพันธุ์ มันติดตัวและเป็นอัตลักษณ์ของคนที่เกิดในแดนไทย มันไล่กัน หรือทิ้งกัน ได้ง่ายๆ เสียทีไหน

ขนาดผมมีทั้งบัตรประจำตัวประชาชนฟินแลนด์ หนังสือเดินทางฟินแลนด์ แล้วก็ตาม ไอ้ความเป็นคน “สัญชาติไทย” ยังไม่อาจปล่อยผมให้เป็นอิสระ และมันยังสามารถกักขังผมได้ในดินแดนอื่นได้อยู่เช่นนี้

ไม่ว่าจะต้องการสัญชาติ"ไทย" หรือไม่ต้องการสัญชาติ "ไทย" หรือจะปกป้องหรือไม่ต้องการปกป้องสัญชาติ "ไทย" ก็ตาม … มันก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้กล่าวอ้างเพื่อครอบครองไว้แต่เพียงผู้เดียวได้ง่ายๆ หรือว่าเมื่อต้องการจะละทิ้ง มันก็จะละทิ้งกันไม่ได้ง่ายๆ เช่นกัน

นี่จึงเป็นสาเหตุใหญ่ที่ว่าทำไม ผมถึงต้องต่อสู้เพื่อสิทธิในความเป็นคนไทย สิทธิในการอยู่อาศัยในแผ่นดินไทย และสิทธิในการเรียกร้องเสรีภาพในแผ่นดินไทย เพื่อให้มันเป็นแผ่นดินของทุกคน ไม่ใช่ของคนคลั่งเจ้า "เท่านั้น" ตามที่มักแอบอ้างกัน

อ้อ เนื่องจากไม่ค่อยมีคนไทยถือเอกสารของประเทศอื่นในฐานะผู้ลี้ภัยการเมืองมากนัก มันจึงเป็นเรื่องใหม่ที่นำมาสู่ความผิดพลาดทั้งตัวคนลี้ภัยเอง (ผมเองในที่นี้ ... ฮา) และหน่วยงานตม. ของประเทศทั้งหลาย

สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมจึงเป็นความรู้ไม่เท่าทันในทางเทคนิคล้วนๆ ไม่ได้มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง แม้แต่สายการบินที่ผมบิน ก็ยอมรับในความผิดพลาดที่ขายตั๋วให้คนไม่มีวีซ่า ในระหว่างรอเจ้าหน้าที่ตม. ไปรับที่เครื่องบินเพื่อนำผ่านกระบวนการตม. กลับคืนสู่ประเทศฟินแลนด์ ผมก็มีโอกาสได้พูดคุยกับกัปตันเครื่องบินและลูกเรือ คุยกันอย่างเป็นกันเอง ผมจึงได้มีโอกาสเล่าเรื่องรับประหาร และเรื่องการเมืองไทยให้กัปตันและลูกเรือฟัง ก่อนลงจากเครื่อง กัปตันรีบไปหยิบช็อคโกแล็ตสองชิ้นเล็กๆ มายื่นมอบให้ผม บอกว่าเป็นของปลอบใจที่ต้องเจอปัญหาเช่นนี้ …

เกือบลืมเล่าไปว่า ในห้องกักตัวของพวกเรานั้นจะมีนามบัตรวางไว้ให้พวกเราได้เห็นและเก็บไว้ เขียนตัวหนังสือตัวโตว่า "Speak Freely” หรือแปลไทยได้ว่า "พูดออกมาได้อย่างเสรี" หรือ ภาษาชาวบ้านก็ว่า "อยากพูดอะไรก็พูดออกมาได้เต็มที่เลย" พร้อมเบอร์โทรศัพท์ตัวโตในด้านหลังของนามบัตรนี้ ทั้งเบอร์โทรจากประเทศอังกฤษ และโทรจากต่างประเทศ



นี่ละครับ ความผิดพลาดของที่ผมต้องขอบคุณ ที่นอกจากทำให้ผมมีโอกาสเล็กๆ ได้ร่วมชะตากรรมกับเพื่อนและสหายที่เมืองไทยแล้ว มันก็ยังทำให้ผมเห็นกลไกการทำงานของหน่วยงานของด่านตรวจคนเข้าเมืองที่ขึ้นชื่อว่าเข้มงวดที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง กระนั้น ผมก็ยังได้มีโอกาสเห็นระบบการทำงานที่ยังมีการยึดโยงกับหลักการและเหตุผลอยู่บ้าง … ไม่เหมือนกับกระบวนการยุติธรรมที่ตั้งอยู่บน "อารมณ์และความรู้สึก" กันไปเกือบจะทุกภาคส่วนในทุกสถาบันที่ประเทศบ้านเกิดของผมที่ชื่อว่า "ไทยแลนด์"