กระหึ่มโลกเฟซบุ๊ค .... จัดหนักสินจัย ที่เขียนได้ฟาสซิสต์ ... เขียนได้แย่ .. ด่าได้ไร้หัวคิด

29 พฤศจิกายน 2557
ได้เวลาโต้สินจัยสักที แม้ว่าหลายคนจะจัดสินจัยหนักๆ กันไปเยอะแล้วก็ตาม ดูคำตอบประเด็นต่างๆ ของคุณสินจัยที่ใช้ตัวหนังสือสีแดงนะครับผม

กระหึ่มโซเชียล…สินจัย เปล่งพานิช…เขียนได้ดี….ด่าได้แรง

ที่มา กระหึ่มโซเชียล…สินจัย เปล่งพานิช…เขียนได้ดี….ด่าได้แรง ที่มา 

*สินจัย เปล่งพานิช...เขียนได้ดี....ด่าได้แรง.*

คนพาดหัวข่าวนี่ก็ไม่ใช้หัวคิดเลยนะฮะ เขียนได้ฟาสซิสต์ขนาดนี้ ยังชมกันอย่างหน้ามืดตามั่วว่า "เขียนได้ดี"


"..... ยึดติดกับคำว่า "รัฐประหาร" มากเกินไปหรือเปล่า ....?

นั่นดิ "…. ติดยึดกับ "ในหลวง" มากเกินไปหรือเปล่า …?


คำก็ไม่ดี , สองคำก็ประเทศชาติล้าหลัง , สามคำก็อายต่างชาติ (?!)

คำก็คนดี, สองคำก็แผ่นดินของในหลวง, สามคำก็คนไทยไม่เหมือนชาติใดในโลก (?!)

แล้วอะไรที่ดี ในความคิดของคุณ (?!)

บอกให้ก็ได้ สิ่งที่ดีในความคิดของผม คือ คนที่อยู่ในประเทศไทยทุกคน; ไม่ว่าจะเชื้อชาติใด, สีผิวใด, นับถือศาสนาใด หรือไม่นับถือศาสนาใด, ไม่ว่าจะเป็นหญิง ชาย เกย์ เลสเบี้ยน หรือไม่ระบุเพศ, มีใบปริญญาหรือไม่มี, ไม่ว่าจะรักเจ้าหรือไม่รักเจ้า ต่างก็มีความอดทนอดกลั้นต่อความคิดต่างระหว่างกัน เคารพในความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน และไม่ลุกขึ้นมาขับไล่ใสส่งใครหรือยั่วยุให้เข่นฆ่ากันเพราะ "คิดหรือเชื่อไม่เหมือนกับตัวเอง"

รัฐบาล โคตรคอร์รัปชั่น - ดี (?!)

รัฐบาลคอรัปชั่นหรือโคตรคอรัปชั่น ไม่มีรัฐบาลไหนหรอกฮะที่ดี ถ้าออกมาต่อสู้เพื่อขจัดคอรัปชั่นจริง การรัฐประหารนั่นคือการ คอรัปชั่นที่โคตรคอรัปชั่นที่สุดแล้ว ทำไมถึงยังเห็น "ดี" กับการทำรัฐประหารหรือครับ

รัฐบาล ทุจริตโครงการจำนำข้าวกว่า 7 แสนล้าน - ดี (?!)

ไม่มีรัฐบาลไหนที่ทุจริตและคอรัปชั่น เป็นรัฐบาลที่ดีหรอกนะฮะ คงไม่ต้องย้ำว่ารวมทั้งรัฐบาลประชาธิปัตย์ด้วย ที่ปล่อยให้ทรัพย์สินของชาติถูกขายไปจนขายทุนเป็น 8 แสนล้าน และอายุความจะหมดวันพรุ่งนี้แล้ว ... 

หน้าที่ของประชาชน คือ การสอดส่องดูแลให้กระบวนการยุติธรรมได้ทำการถูกตรวจสอบการคอรัปชั่นของ "ทุกรัฐบาล" ได้อย่างเที่ยงธรรม และโดย "ไม่ลำเอียง" มิใช่หรือ?

รัฐบาล ที่อยู่เบื้องหลังการ "ลอบฆ่า" ประชาชน - ดี (?!)

โอ้! นี่หมายถึงรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ใช่ไหมฮะ 100 ศพยังรอความยุติธรรมอยู่เลย

รัฐบาล ที่ "ซ่องสุม" อาวุธสงคราม , ระเบิด และ M79 - ดี (?!)

โอ้! นี่หมายถึงรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา แน่ๆ เลย อาวุธเต็มเลยทั้งในเมืองหลวงและในทุกจังหวัด


รัฐบาล ที่ออก พรบ. ลักหลับ - ดี (?!)

ตื่นมาดู พรบ. ที่รัฐบาลประยุทธ์ออกบ้างหรือยังครับ เห็นว่าดารา (รวมทั้งคุณสินจัยด้วย) จะถูกรีดภาษีหนักไม่ใช่หรือ เพราะรัฐบาลกำลังถังแตก


รัฐบาล ที่เสียบบัตรแทนกันหน้าด้านๆ - ดี (?!)

จริงนะ ไม่ดีจริงๆ ด้วย แต่แหม มันเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดในประเทศ จนต้องต้องล้มรัฐสภา ที่มีสส. ที่ประชาชนเลือกเข้ามาถึง 500 คน กับเงินที่ใช้ไปกันกับการเลือกตั้ง 20,000 ล้านบาท และงบบริหารประเทศที่รัฐบาลที่ไดัรับเลือกใช้ปีละ 1,500,000,000.000 บาท (1.5 ล้านล้านบาท) กันด้วยข้อกล่าวหาแค่นี้กันเลยหรือ?

รัฐบาล ที่ออก พรบ. นิรโทษโคตรเหง้าโจร - ดี (?!)

นี่ก็จริงอีกนั่นล่ะ รัฐบาลประยุทธ์กำลังจะนิรโทษโคตรเหง้าโจรอยู่ตอนนี้ รีบออกมาต่อต้านเร็วๆ นะฮะ จะเอาใจช่วย

รัฐบาล ที่ยุยงให้พวก "เดรัจฉานแดง" ออกไปเผาเมือง , เผาห้าง , เผาศาลากลาง , ยิงวัดพระแก้ว - ดี (?!)

โอ้ คุณสินจัยว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์อีกแล้วครับ


รัฐบาล ที่วันๆไม่ทำ "ส้นตีน" อะไรเลย ถ้าไม่หาแดกกับโครงการปล้นคนไทย ก็คิดแต่จะ "ฟอกผิด" พานักโทษหนีคดี กลับบ้านแบบเท่ๆ - ดี (?!)

โอ้ นี่ก็ว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์แห่งพรรคประชาธิปัตย์อีกแล้วครับ และก็อ้อ จะเรียกว่าพาดพิงถึงรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชาก็ได้ด้วยนะฮะ


รัฐบาล ที่อยู่เบื้องหลัง ขบวนการ "ล้มในหลวง" - ดี (?!)

โอ้ น่าสงสารพรรคประชาธิปัตย์จริงๆ นะฮะ ถูกคุณสินจัย เจาะซะกลวงโบ๋เลย

.. พอได้แล้ว.....! เลิกดัดจริตกันได้แล้ว .....!

นั่นนะซิครับเมื่อไรคุณสินจัยจะรู้จักพอได้แล้ว และเลิกดัดจริต เสียที!


และไอ้พวกที่ "ชู3น้ิว"..... "ถอดเสื้อแดง" มาห่มขาวจุดเทียน หรือเอาสก็อตเทปดำ - ปิดปาก รับจ้างมา "ประท้วงต่อต้านทหาร" เลิกเถอะ ....หัดทำมาหาแดกที่ใช้สมองและสำนึกบ้าง พวกคุณมันไม่มีราคาแล้ว เปิดตาเปิดใจดู "ความจริง" กันบ้าง

ฮา! อันนี้ถือว่าคุณสินจัยด่าผมด้วยคนหนึ่งนะเนี่ย เพราะผมทั้งชู 3 นิ้ว และบางคราวก็ชูนิ้วเดียว และยังเอาเทปดำปิดปากด้วย ... ฮา! 

แต่ ,,, แหม! คุณสินจัยนี่ไปพึงหมอดูคนไหนหรือครับ ที่ว่าผมรับจ้างมา ... คุณนี่มีสมองช่างไม่รู้จักคิดเลยว่า หมอดูนั้นคู่กับหมอเดา และมักจะเดาผิด 80% และเดาถูกซัก 20% เห็นจะได้ และงานนี้ หมอดูของคุณสินจัยก็ดูผิดจริงๆ นะครับ

ผมว่าคุณสินจัยเลิกไปหาหมอดูเถิดนะ หัดใช้สมองคิด และหัดไปหาหนังสือหนังหามาอ่านบ้าง อย่ามัวงมงายแต่กับหมอดูหมอเดากันเลยนะ ชีวิตนี้จะถูกหลอกจนหมดตัวแน่ๆ ถ้ายังไม่ "เปิดใจ เปิดตา และเปิดหู" รับฟังความจริงกันบ้าง 


ทหารเขาออกมาช่วยปกป้องรักษาชีวิตประชาชน แถมยังมีความคิดจะหาเงินคืนชาวนา

โอ๊ย ข้อเขียนนี้ของคุณสินจัย ทำผมฮากลิ้งเลย นั่งขำแทบตาย กว่าจะเลิกขำและมานั่งเขียนตอบต่อได้ 

คุณสินจัยคงสามารถใช้สมองที่มีอันน้อยนิดนั้นตีความได้ว่า ผมคิดอย่างไรกับประโยคนี้ของคุณนะครับ ...

อุย ... ขอขำต่ออีกสักนิดนะครับ


ตั้งแต่ทหารออกมา ยังไม่มีข่าวประชาชนบาดเจ็บล้มตาย เพราะถูก "สัตว์นรก" ที่ไหนลอบฆ่าเลย - สักคนเดียว ??! .. ใช่หรือไม่ ?!

ก็แหม "สัตว์นรก" ที่คุณสินจัยว่า กำลังถือปืนจ่อหัวชาวบ้านกันทั้งประเทศอยู่ในขณะนี้มิใช่หรือ และชาวบ้านเขาก็ "ฉลาดพอ" ที่จะไม่ยุให้ทหารยิงให้ตายอีกครั้งหรอกนะครับ เพราะมีบทเรียนมามากพอแล้วว่าพวก "สัตว์นรกในเครื่องแบบทหารนี่" มันโหดร้ายกันได้แค่ไหน

แล้วจะบอกว่า การ "รัฐประหาร" ครั้งนี้ ไม่ดีต่อพี่น้องประชาชน – ได้อย่างไร

ว่างๆ หัดเข้ามาอ่านเวบข่าวอื่นๆ บ้างนะฮะหลังจากดูข่าวพระราชสำนัก 2 ทุ่มจบแล้ว ดูเวบนี้ prachatai.org เป็นการเริ่มต้นก็ดีนะ มีข้อมูลเยอะมหาศาลที่บอกว่า รัฐประหารครั้งนี้มันทำร้ายประชาชนอย่างไร

ไม่มีใครเขาอยากให้มีการ "รัฐประหาร" หรอก

หึ หึ มีหน้ามาทำเนียนเขียนด้วยภาษาดัดจริตตอแหลอีกนะฮะ (ขอโทษที่ต้องใช้คำหยาบ) 

แต่จะดูอะไร มันต้องดู มันต้องตัดสินกันที่ "เจตนา" ไม่ใช่มึนเมา ไปหลง "ยึดติด" แต่คำว่า "รัฐประหาร" อย่างเดียว ?!!!

อืม มันตรรกะคุ้นๆ นะฮะ อ้อ ในข้อเขียนคุณสินจัยนี่เอง ลืมดูตัวเองหรือเปล่าครับผมว่า เมื่อคุณติดยึด "รักในหลวง" อย่างเดียวนั้น คุณดูเป็นตัวตลกและคนที่น่าสมเพชแค่ไหน และมันทำลายชื่อเสียความเป็นดาราที่คุณสั่งสมมา 30-40 ปีลงไปได้ในพริบตา เพียงแค่คุณ "ติดยึดในหลวง" โดยไม่ใส่ใจประชาชนร่วมชาติอีก 60 กว่าล้านคนว่าเขาจะคิดยังไง

... ใครที่แคร์ต่างประเทศ ,  แคร์อเมริกามากกว่าแคร์ "ชีวิตเพื่อนมนุษย์" คนไทยด้วยกัน

นั่นซิ อยากจะถามสินจัยจริงๆ

ก็ง่ายนิดเดียว พวกคุณก็อพยพไปอยู่ที่อื่นซะ ! ..

แหม! ผมยังไม่ทันจะตอบประเด็นข้างบนเลย ต้องรีบมาตอบข้อนี้ซะแล้ว ...  ก็คุณสินจัยเล่น "รีบไล่ผม" ไปอยู่ที่อื่นซะอย่างรวดเร็วเช่นนี้ซะแล้ว ช่างใจร้ายจริงๆ!

นึกไม่ออกว่าจะไปที่ไหน ก็ไป "ดูไบ" ไปขออยู่เป็น "ขี้ข้าขี้ตีนทักษิณ" ก็ได้... อย่าอยู่แม่งเลย - ประเทศไทย ที่นี่มันเป็นแผ่นดินของคนที่ "รักในหลวง"

เท่าที่ผมทราบ ในรายงานของสำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ระบุว่า "ในปลายปี พ.ศ. 2556 สำนักงานทรัพย์สินฯ ถือครองอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด รวมพื้นที่ 41,000 ไร่" เท่านั้นนะครับผม 

ทั้งนี้ที่ดินทั้งประเทศไทยมีจำนวน 320.70 ล้านไร่ มีโฉนดรวมทั้งสิ้นประมาณ 16 ล้านฉบับ ซึ่งคงต้องร่วมโฉนดที่ดินของคุณสินจัยอยู่ในนี้ด้วยแน่ๆ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าคุณสินจัยมีโฉนดที่ดินกี่ฉบับ (ดูเพิ่มเติมที่นี่ได้นะฮะ ถัาคุณสินจัยจะอ่านหนังสือได้มากกว่าวันล่ะ 3 บรรทัด http://tcijthai.com/tcijthainews/view.php?ids=4799)

เนื่องจากคนไทยทั้งหลายต่างก็ใช้เงินซื้อที่ดินและบำรุงรักษากันเองถึง 15-16 ล้านฉบับเช่นนี้ (รวมของคุณสินจัยด้วย) ที่ดินเหล่านี้จะเป็นของในหลวงไปได้อย่างไรครับ แล้วคุณสินจัยยินดีจะมอบกรรมสิทธิ์ในที่ดินของตัวเองให้สำนักทรัพย์สินหรือไม่ครับ? แต่แหม! ถึงแม้ว่าคุณจะมุทะลุ ยอมยกให้จริงๆ ผมก็ไม่ยอมยกให้สำนักงานทรัพย์สินนะครับ เพราะจนบัดนี้ผมยังใช้หนี้ที่กู้มาเพื่อซื้อที่ดินผืนนี้ยังไม่หมดเลย

คุณสินจัยไล่คนไม่รักในหลวงไปอยู่ที่อื่นนี่ คุณจะหาเงินมาซื้อคืนที่ดินและทรัพย์สินของเขา เพื่อให้เขาออกไปอยู่ที่อื่นได้หมดประเทศจริงๆ หรือครับ


เป็นแผ่นดินของ "คนไทยในรัชกาลที่ ๙" ที่อยากเห็นความสงบสุข ..

แน่นอนฮะ ผมก็อยากเห็นความสงบสุขในประเทศไทยจะแย่อยู่แล้ว แต่ตั้งแต่ผมเกิดมา จนอายุจะ 50 ปีเช่นนี้ ผมเห็นแต่ประเทศไทยที่ไม่เคยสงบสุขเลย   

เดี๋ยวก็เจอรัฐประหาร เดี๋ยวก็เห็นทหารใช้ปืนยิงชาวบ้านด้วยข้อกล่าวหามั่วๆ ว่าเป็นคอมมิวนิสต์และไม่รักในหลวง เดี๋ยวก็จับชาวบ้านที่ภาคใต้โยนลงเฮลิคอปเตอร์ เพราะข้อหาว่าไม่รักในหลวง เดี๋ยวก็ยิงนักศึกษาตายที่ธรรมศาสตร์ ด้วยข้ออ้างเดียวกันว่าไม่รักในหลวง และเมื่อเร็วๆ นี้ก็ยิงคนที่ใส่เสื้อแดงตายไป 100 กว่าคน เพราะข้อหาว่าไม่รักในหลวงนี่ล่ะ 

ผมยังไม่เคยเห็นความสงบสุขอย่างแท้จริงในรัชสมัยรัชกาลที่ 9 เลยจริงๆ นะฮะ คุณสินจัยช่างเกิดมาโชคดีแท้ๆ จริงเทียว ที่นอนหลับได้ตลอดรัชสม้ย จนไม่เห็นความทุกข์ยากของคนอื่นๆ ได้ ชีวิตช่างน่าอิจฉาแท้ๆ ทีเดียวฮะ


คนไทยที่เขา "สติดีดี" เขารังเกียจ และเบื่อหน่ายไอ้พวก "เดรัจฉานแดง" หนักแผ่นดิน กันจนทนไม่ไหว - แล้วโว้ย (?!)

อืม ... อืม … ผมพยายามใช้สติเป็นอย่างมากในการตอบโต้คุณสินจัยด้วยความเป็นสุภาพชน อ้อ ผมเป็นไพร่นะ เป็นลูกชาวนา หรือเรียกได้ง่ายๆ ว่า เป็นชาวบ้านจากชนบทที่คุณสินจัยรังเกียจนั่นล่ะ

บางคร้้งผมก็ใส่เสื้อแดงต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย บางครั้งผมก็ใส่เสื้อสีม่วงต่อสู้เพื่อสิทธิการเลือกเพศ บางครั้งผมก็ใส่เสื้อเขียวต่อสู้เพื่อสิทธิด้านสิ่งแวดล้อม บางครั้งผมก็ใส่เสื้อดำ เพื่อไว้ทุกข์ให้กับความโหดร้ายของเพื่อนมนุษย์

ผมอยากให้คุณสินจัยเข้าใจว่า "คนแบบผม" “คนที่รู้จักคิดแบบผม" ที่มีจำนวนมาก ต้องใช้สติและรู้จักยับยั้งชั่งใจกันเป็นอย่างมาก ที่จะไม่ตอบโต้กับคนที่มีแนวคิดฟาสซิสต์ หัวรุนแรง ดูถูกชาวบ้าน ดูถูกคนที่คิดต่าง และถึงขั้นลุกขึ้นมาด่าพวกเขาหรือไล่พวกเขาออกไปจากประเทศไทยอย่างง่ายๆ เช่นคุณสินจัย ด้วยอารมณ์และด้วยความรุนแรงทางภาษาเช่นที่คุณสินจัยใช้



อยากให้คุณสินจัยเข้าใจนะฮะว่า "ความเป็นคน" มันไม่ได้อยู่ว่า "คุณเป็นใคร" หรือเพราะว่า "คุณรักในหลวง" เท่านั้นหรอกนะครับ แต่ม้นอยู่ที่ว่าคุณมีความเป็น "คนมีเหตุผล" และ "มีความเป็นคน" แค่ไหน ต่างหาก!








ขอลี้ภัยแล้ว.แต่“สัญชาติไทย”ยังกักขังความเป็นคนไทย


จรรยา ยิ้มประเสริฐ

12 พฤศจิกายน 2557



ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวของการที่ผมเดินทางเข้าลอนดอนโดยไม่มีวีซ่า เพราะเข้าใจผิดว่าเดินทางด้วยหนังสือเดินทางของฟินแลนด์แล้วจะไม่ต้องใช้วีซ่า แต่ความเป็นคน "สัญขาติไทย" ของผมเป็นข้อเท็จจริงทางระเบียบการเข้าเมืองอังกฤษว่าต้องมีวีซ่า ผมเลยต้องนอนที่ห้องกักตัวของสนามบิน Gadwick 1คืน เพื่อรอเดินทางกลับมาฟินแลนด์ในวันรุ่งขึ้น ..

เป็นความผิดพลาดของผม ที่ทำให้ผมได้ร่วมตระหนักถึงความรู้สึกของพี่น้องคนไทยที่ถูกกักกันและถูกจองจำเสรีภาพ


เพื่อนฝูงคงเห็นกันว่า ผมกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก ที่จะเดินทางมาอังกฤษ เพื่อมาร่วมอยู่ในเวทีเสวนางานเปิดตัวหนังสือ “ประเทศไทย:ราชอาณาจักรในห้วงวิกฤต” ที่ Frontline Club กรุงลอนดอนในวันนี้ (วันที่ 12 พฤษจิกายน) เพราะนอกจากจะได้มีโอกาสได้พบกับแอนดรูว์ แม็กเกรเกอร์ มาร์แชล ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ ที่ได้พูดคุยผ่านอินเตอร์เนตกันมาตั้งแต่ปี 2553 ผมยังวางแผนไปพบกับเพื่อนนักกิจกรรมชาวอังกฤษ และที่อยู่อังกฤษอีกหลายคน ที่ช่วยกิจกรรมรณรงค์เพื่อประชาธิปไตยในประเทศไทยกันมาอย่างยาวนานด้วยเช่นกัน

ซึ่งผมได้ประสานงานที่จะได้พูดคุยกับเพื่อนชาวไทยและชาวอังกฤษไปหลายคน เพื่อจะไปแลกเปลี่ยนเรื่องสถานการณ์การเมืองไทย และชวนกันคิดหาหนทางจะทำอะไรก้นได้บ้างในการรณรงค์ที่อังกฤษ และยุโรป

ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมจึงประกาศขายหนังสือที่ผมเขียนมาอย่างต่อเนื่องเพื่อระดมทุน ซึ่งเมื่อรวมกับเงินของตัวเอง เงินจากการขายหนังสือ และเงินที่ผู้คนสนับสนุนให้มา (รวมกันก็ร่วมร้อยชีวิต) ผมก็ได้เงินพอค่าตั๋วเครื่องบิน และค่าซื้อคอมพิวเตอร์ Mac Book Pro คอมพิวเตอร์คุณภาพสูงและราคาก็ไม่ใช่น้อย จนสามารถซื้อมันได้ในนาทีสุดท้ายก่อนเดินทางไปสนามบินเฮลซิงกิเพื่อบินไปยังลอนดอนเมื่อวานนี้ ( 11 พ.ย.) ตอนบ่าย

แต่มันก็เป็นความสะเพร่าของผมอย่างที่ไม่น่าให้อภัย เพราะผมคิดว่าในเอกสารที่ออกโดยฟินแลนด์ ผมไม่จำเป็นต้องมีวีซ่าเข้าอังกฤษ ประกอบกับ ผมไม่เจอปัญหาหรือการท้วงติงใดเลย นับตั้งแต่ การซื้อตั๋วเครื่องบินเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รวมไปถึงการเช็คอิน และผ่านขั้นตอนขาออกของด่านตรวจคนเข้าเมืองที่ฟินแลนด์ …

แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อมาถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองที่สนามบิน Gatwick ที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความเข้มงวดกับการตรวจคนเข้าเมือง และไม่ปรานีในการส่งคนกลับประเทศวันละเป็นร้อยคน … กรณีของผม เมื่อเจ้าหน้าที่บอกว่า หนังสือเดินทางฟินแลนด์ และบัตรประจำตัวฟินแลนด์ ที่ในระบบที่ผมเช็คแล้วเช็คอีกว่ามันระบุไว้ว่า เป็นเอกสารการเดินทางเข้าอังกฤษได้ มันใช้ไม่ได้กับผม ตรงที่ "ผมไม่ได้มีสัญชาติฟินน์" ​“ผมเป็นคนไม่มีสัญชาติ” และการมีชาติกำเนิด “เป็นคนไทย” เจ้าหน้าที่บอกว่าผม “ต้องมีวีซ่า" เข้าประเทศอังกฤษ

นี่เป็นสิ่งที่ไม่คาดฝัน และเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผมเป็นครั้งแรกในรอบ 25 ปี ของการเดินทางรณรงค์เพื่อสิทธิและเสรีภาพ ที่ต้องเรียนรู้และแบ่งปันให้เพื่อนๆ ที่เดินทางด้วยเอกสารเช่นเดียวกับผมได้ระมัดระวัง เพื่อจะได้ไม่เกิดความผิดพลาดเช่นเดียวกับผมครับ

ในขณะที่ผมอยู่ในระหว่างการสอบสวนและรอการตัดสินใจว่าของทางตรวจคนเข้าเมืองอังกฤษ และต้องอยู่ในห้องกักตัวนั้น ผมได้รับการปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่ทุกคนเป็นอย่างดี เจ้าหน้าที่เจ้าของคดีผมน่ารักมาก พยายามช่วยโทรประสานงานกับเพื่อนและเจ้าภาพที่จัดงาน เพื่อให้ได้โทรอธิบายสถานการณ์ถึงความจำเป็นที่ผมต้องมาพูดในเวทีสนทนาเรื่องเมืองไทยในวันนี้ และคุยกับผมยาว เพื่อเขียนรายงานส่งหัวหน้าให้เข้าใจสถานการณ์ของผม และเธอก็มาบอกผมด้วยความเสียใจว่า ไม่สามารถช่วยให้ผมเดินทางผ่านได้จริงๆ

แม้แต่เจ้าหน้าที่ในห้องกักตัวก็ยังบอกกับผมด้วยความเห็นใจ แต่ก็บอกว่า ทางการอังกฤษเข้มงวดมากขึ้นในการตรวจคนเข้าเมือง โดยเฉพาะนับตั้งแต่เหตุการณ์ 9/11 และทุกวันที่ด่าน ตม. ของอังกฤษ ต้องส่งคนที่ไม่มีวีซ่า - เพราะเข้าใจถูกในหลักการ แต่ทำผิดที่ไม่ขอวีซา - กลับประเทศกันวันละเป็นร้อยคน ไม่ว่าจะเป็นคนอเมริกัน แคนาดา ออสเตรเลีย บางทีก็ทั้งแม่และลูก
สำหรับผมนั้น ต้องยอมรับว่าในช่วงแรก ผมช็อค ไม่คาดคิดว่าจะต้องมาเจอปัญหานี้กับตัวเอง แต่เมื่อเริ่มต้นเขียนบอกเล่าเหตุการณ์นี้ที่บนความสูงสามหมื่นฟุต ในเครื่องบินที่นำพาผมกลับมายังฟินแลนด์ นั้น แม้จะใจหายและเสียดายที่ไม่ได้ร่วมในเวทีเสวนาวันนี้ด้วยตัวเอง แต่ต้องดำเนินการผ่านสไกด์วีดีโอ แต่ผมก็รู้สึกขอบคุณที่ได้มีประสบการณ์ตรงของ “การถูกกักกันและจำกัดเสรีภาพ” เพราะความเป็น “คนไทย” และ ผู้ลี้ภัยการเมืองที่ “ไร้สัญชาติ” อันเป็นปัญหาที่เพื่อนร่วมชาติจำนวนมากต้องพบเจอกันทุกเมื่อเชื่อวัน

ทำไมผมจึงรู้สึกขอบคุณ …


ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับผม ทั้งความไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะไม่รอบคอบเช่นนี้ และความเสียใจที่ทรัพยากรที่ทุ่มเทไปเพื่อโอกาสจะได้ใช้มันที่อังกฤษ จะเป็นการเสียเปล่า ทั้งความเสียใจที่ทำหน้าที่ให้สมกับความสนับสนุนของเพื่อนและผู้สนับสนุนนับร้อยคนที่ช่วยกันซื้อหนังสือและสนับสนุนเครื่องมือทำงานให้ผมได้ไม่สำเร็จในครั้งนี้ รวมทั้งบรรยากาศในสภาพของการถูกตรวจสอบ กักกัน สอบสวน แม้จะเป็นไปด้วยความสุภาพและเข้าใจในส่ิงที่ผมทำ แต่มันก็ไม่เป็นที่พึงประสงค์ของผู้ใดทั้งนั้น ….

แต่เมื่อผมย้อนตระหนักถึง ความไม่คาดคิด ความหวาดหวั่น หวาดกลัว หรืออับอาย ของคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ถูกทหารเรียกตัวไปสอบสวนและควบคุมตัวในข้ออ้างสวยหรูว่าเพื่อการ “ปรับทัศนคติ” ที่เมืองไทยนั้น สิ่งที่ผมเจอนั้น มันยังเป็นเรื่องน้อยนิดมาก เทียบกับสิ่งที่คนที่เมืองไทยต้องเจอะเจอกันทุกเมื่อเช่ือวันไม่ได้เลย … ผมจึงทำใจยอมรับความผิดพลาดครั้งนี้ได้ว่า นี่เป็นสถานการณ์ที่ต้องรับมือกับมันด้วยความเข้มแข็งและมีสติ

ในระหว่างที่อยู่ในห้องกักตัว ผมนึกถึงพี่สมยศ ดา กอล์ฟ แบงค์ เอก และสหายที่รักและเคารพที่ไม่อาจจะเอ่ยนามได้ ที่ถูกส่งเข้าคุกและห้ามประกันด้วยข้อหาละเมิดมาตรา 112 กันอยู่ตอนนี้ และผมตระหนักดีว่า 1 คืนของผมในห้องกักตัวที่สนามบิน Gadwick นั้นเทียบไม่ได้แม้แต่ความรู้สึกเพียงนาทีหรือชั่วโมงเดียว ที่เพื่อนฝูงต้องเผชิญในคุกโหดที่เมืองไทย ที่สิ้นไร้ไปเสียทุกสิ่ง และคนที่เจอคดี 112 และคดีการเมือง มักจะถูกกลั่นแกล้งรังแกทั้งจากเจ้าหน้าที่และคนร่วมคุกอื่นๆ

ในกรณีของผม มันเป็นหนึ่งคืนในห้องกักตัวที่ไม่ลำบากนัก มีทั้งทีวี หนังสือ หนังสือพิมพ์ วารสาร คุ้กกี้ ผลไม้ ห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ รวมทั้งหมอนที่มีปลอกหมอนผ้าห่มใหม่มาให้คนละชุด และยังมีเจ้าหน้าหลายคนคอยแวะเวียนมาถามกันเรื่อยๆ ว่า หิวไหม จะทานอะไรไหม จะดื่มอะไรไหม กาแฟ ชา หรือโก้โก้ไหม แล้วก็พากันกุลีกุจอ จัดหาอาหาร เครื่องดื่มมาให้เมื่อเราต้องการ (จริงๆ หลายคนก็กินหรือดื่มอะไรกันไม่ลงด้วยล่ะในสภาพแบบนั้นที่ไม่พร้อมจะถูกส่งกลับบ้านเกิด ที่หลายคนก็มีปัญหาที่ไม่อยากกลับไปเผชิญหน้ากับมัน)

ในห้องกักกัน ก็มีตู้โทรศัพท์ให้โทรออกได้ และให้คนโทรเข้ามาหาได้ ถ้าเราไม่มีเงินหยอดตู้ รวมทั้งเบอร์ทนายที่ติดหราข้างตู้โทรศัพท์สำหรับคนที่คิดว่าต้องการทนายช่วยเหลือ หรือต้องการขอลี้ภัย

ทั้งนี้ ผมไม่พบเห็นพฤติกรรมที่เจ้าหน้าที่ข่มขู่ให้รับสารภาพผิดเช่นที่พวกเราได้ยินกันอยู่ตลอดเวลาในคดีของคนเสื้อแดงที่เมืองไทย แต่เจ้าหน้าที่เกือบทุกคนที่ผมพบเจอในครั้งนี้ ต่างก็ได้พยายามช่วยให้ผมได้ประสานงานกับเพื่อน เพื่อหาทางเจรจากับทางตม. และยังอนุญาตให้ผมใช้โทรศัพท์ติดต่อเพื่อนและเจ้าภาพจัดงานได้อีกด้วย

นอกจากนี้ ผมยังนึกถึงคนงานไทยวันละหลายร้อยคนที่ถูกกักตัวที่สนามบินของประเทศเกาหลีใต้ หรือประเทศต่างๆ ที่ระบุว่าคนไทยสามารถเดินทางไปขอวีซ่าที่ประเทศปลายทางได้แต่พวกเขาก็ต้องถูกปฎิเสธไม่ให้เข้าประเทศ เพราะถูกหมายหัวว่า ถ้าเมื่อเข้าประเทศได้แล้ว จะหลบหนีวีซ่าเพื่อทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต พวกคนหางานเหล่านี้ ก็คงจะอยู่ในสภาพไม่ต่างจากผม และพวกเขาต้องเสียเงินมากมายไปกับความเสี่ยงนี้ให้กับตัวแทนนายหน้าที่หลอกลวงพาพวกเขาไป “ตายเอาดาบหน้า”

ณ ตอนนี้ ที่บ้านสหายชาวฟินแลนด์ที่กรุงเฮลซิงกิ ยามเมื่อผมได้นั่งเขียนเล่าเรื่องราวการถูกกักตัว ผมก็มานึกถึงประเด็นที่คนคลั่งเจ้ามักอ้างกันด้วยความคิดความเชื่ออย่างคะนองปากว่า "ประเทศไทยเป็นของพระเจ้าแผ่นดิน" และชอบไล่คนไทยคนอื่นๆ ที่ไม่รักกษัตริย์กันอย่างง่ายดายเหลือเกินว่า “ไม่รักเจ้าก็ไปอยู่ประเทศอื่น” “ไม่รักเจ้าก็ไม่ต้องเป็นคนไทย” …


แต่แหม พี่น้องชาวไทยเอ๊ย แม้หลายคนจะไม่ได้รัก “ไทย” กันจนจะเป็นจะตาย แต่ชาติกำเนิด ชาติพันธุ์ มันติดตัวและเป็นอัตลักษณ์ของคนที่เกิดในแดนไทย มันไล่กัน หรือทิ้งกัน ได้ง่ายๆ เสียทีไหน

ขนาดผมมีทั้งบัตรประจำตัวประชาชนฟินแลนด์ หนังสือเดินทางฟินแลนด์ แล้วก็ตาม ไอ้ความเป็นคน “สัญชาติไทย” ยังไม่อาจปล่อยผมให้เป็นอิสระ และมันยังสามารถกักขังผมได้ในดินแดนอื่นได้อยู่เช่นนี้

ไม่ว่าจะต้องการสัญชาติ"ไทย" หรือไม่ต้องการสัญชาติ "ไทย" หรือจะปกป้องหรือไม่ต้องการปกป้องสัญชาติ "ไทย" ก็ตาม … มันก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้กล่าวอ้างเพื่อครอบครองไว้แต่เพียงผู้เดียวได้ง่ายๆ หรือว่าเมื่อต้องการจะละทิ้ง มันก็จะละทิ้งกันไม่ได้ง่ายๆ เช่นกัน

นี่จึงเป็นสาเหตุใหญ่ที่ว่าทำไม ผมถึงต้องต่อสู้เพื่อสิทธิในความเป็นคนไทย สิทธิในการอยู่อาศัยในแผ่นดินไทย และสิทธิในการเรียกร้องเสรีภาพในแผ่นดินไทย เพื่อให้มันเป็นแผ่นดินของทุกคน ไม่ใช่ของคนคลั่งเจ้า "เท่านั้น" ตามที่มักแอบอ้างกัน

อ้อ เนื่องจากไม่ค่อยมีคนไทยถือเอกสารของประเทศอื่นในฐานะผู้ลี้ภัยการเมืองมากนัก มันจึงเป็นเรื่องใหม่ที่นำมาสู่ความผิดพลาดทั้งตัวคนลี้ภัยเอง (ผมเองในที่นี้ ... ฮา) และหน่วยงานตม. ของประเทศทั้งหลาย

สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมจึงเป็นความรู้ไม่เท่าทันในทางเทคนิคล้วนๆ ไม่ได้มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง แม้แต่สายการบินที่ผมบิน ก็ยอมรับในความผิดพลาดที่ขายตั๋วให้คนไม่มีวีซ่า ในระหว่างรอเจ้าหน้าที่ตม. ไปรับที่เครื่องบินเพื่อนำผ่านกระบวนการตม. กลับคืนสู่ประเทศฟินแลนด์ ผมก็มีโอกาสได้พูดคุยกับกัปตันเครื่องบินและลูกเรือ คุยกันอย่างเป็นกันเอง ผมจึงได้มีโอกาสเล่าเรื่องรับประหาร และเรื่องการเมืองไทยให้กัปตันและลูกเรือฟัง ก่อนลงจากเครื่อง กัปตันรีบไปหยิบช็อคโกแล็ตสองชิ้นเล็กๆ มายื่นมอบให้ผม บอกว่าเป็นของปลอบใจที่ต้องเจอปัญหาเช่นนี้ …

เกือบลืมเล่าไปว่า ในห้องกักตัวของพวกเรานั้นจะมีนามบัตรวางไว้ให้พวกเราได้เห็นและเก็บไว้ เขียนตัวหนังสือตัวโตว่า "Speak Freely” หรือแปลไทยได้ว่า "พูดออกมาได้อย่างเสรี" หรือ ภาษาชาวบ้านก็ว่า "อยากพูดอะไรก็พูดออกมาได้เต็มที่เลย" พร้อมเบอร์โทรศัพท์ตัวโตในด้านหลังของนามบัตรนี้ ทั้งเบอร์โทรจากประเทศอังกฤษ และโทรจากต่างประเทศ



นี่ละครับ ความผิดพลาดของที่ผมต้องขอบคุณ ที่นอกจากทำให้ผมมีโอกาสเล็กๆ ได้ร่วมชะตากรรมกับเพื่อนและสหายที่เมืองไทยแล้ว มันก็ยังทำให้ผมเห็นกลไกการทำงานของหน่วยงานของด่านตรวจคนเข้าเมืองที่ขึ้นชื่อว่าเข้มงวดที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง กระนั้น ผมก็ยังได้มีโอกาสเห็นระบบการทำงานที่ยังมีการยึดโยงกับหลักการและเหตุผลอยู่บ้าง … ไม่เหมือนกับกระบวนการยุติธรรมที่ตั้งอยู่บน "อารมณ์และความรู้สึก" กันไปเกือบจะทุกภาคส่วนในทุกสถาบันที่ประเทศบ้านเกิดของผมที่ชื่อว่า "ไทยแลนด์"