ความในใจของคนเก็บเบอร์รี่

28 September 2013 at 16:29

ไพรสันติ ไหว จุ้มอังวะ


ผมเกิดปีพ.ศ. 2513 เป็นลูกคนโตจากจำนวนลูก 5 คน เกิดมาในครอบครัวยากจน จำได้ว่าตอนเป็นเด็กแม้แต่ผ้าที่จะห่มยังไม่มี ถึงหน้าหนาวต้องหาไม้ฟืนมาก่อกองไฟ

ผมพ่อ แม่ และน้องๆ ต้องนอนล้อมกองไฟใต้ถุนบ้าน ส่วนผ้าที่ห่มคือผ้าถุงเก่าๆ ของแม่ที่ฉีกขาด ... แล้วจะมีอะไรที่ทำให้อบอุ่นกว่านี้อีกเล่า ก็เราอยากเกิดมาจนเอง

ปี2531 หรือ 1988 ผมอายุ 18 ปี ได้เดินทางไปทำงานก่อสร้างที่สิงคโปร์และกลับมาแต่งานตอนอายุ 20 ปี ตอนนี้มีลูก 2 คน คนโตเป็นผู้หญิงอายุ 22 ปีคนเป็นเป็นผู้ชายอายุ 15

ชีวิตที่ต้องดิ้นรนยังไม่หยุดนิ่ง ต้องเดินทางไปทำงานที่บรูไน -ไต้หวัน และเกาหลีใต้ทั้งงานก่อสร้างและก็งานโรงงาน เพื่อหาเงินส่งมาเลี้ยงดูครอบครัวและเรียนรู้มหาวิทยาลัยชีวิต

ไปต่างประเทศสองปีกลับบ้านสองปี อยู่อย่างนี้จนกระทั่งเมื่อกลับจากเกาหลีใต้เมื่อปี 2553 จึงตัดสินใจหยุดชีวิตที่จะไปทำงานต่างประเทศและพาภรรยาและลูกๆ ทำการเกษตรที่บ้าน

ก่อนปี2556 ในชีวิตไม่เคยมีหนี้สินเลยสักบาทเดียว

(อ้อลืมบอกไป อาชีพของผมคือการทำไร่อ้อยจำนวน 10 ไร่)

ต้นปี2556 ชีวิตผมก็เปลี่ยนไป เพราะความอยากที่จะได้ ผมไปเจอที่แปลงหนึ่งอยู่บนเขา รอบๆข้าง เขาปลูกยางพารากันหมดแล้ว และโตแล้ว ผมถามลุงเจ้าของที่ว่ามีใบอะไรไหมลุงบอกว่าไม่มี ที่แถวนี้ เขาจองมาเป็น 20 ปีแล้ว ส่วนปลูกยางข้างๆ มีแต่คนมีเงินพวกเสี่ย คนละ 200 ไร่ 400 ไร่

ผมคิดดูแล้วก็น่าซื้อเพราะราคาถูก




ผมตัดสินใจกู้เงินจากน้องสาวภรรยาจำนวน 300,000 บาท เพื่อมาซื้อที่แปลงนี้ 23 ไร่ ต้องลงแรงฟันป่าเพราะแม้ที่ตรงนั้นเจ้าของเดิมจะฟันป่าไว้แล้ว แต่ที่ใช้พื้นที่ปลูกข้าวโพดทิ้งร้างไว้หลายปี จึงต้องเคลียร์พื้นที่กันหลายเดือนส่วนต้นไม้ใหญ่ในไร่ผมก็รักษามันไว้ให้เป็นร่มเงาและรักษาความชุ่มชื้นของพื้นที่

เมื่อได้ที่ดินเตียนแล้ว10 ไร่ จึงลงมือปลูกมันสำปะหลังไว้เมื่อเดือนพฤษภาคม ปีนี้นี่เอง โดยหวังว่า “เผื่อได้เงินไปใช้หนี้บ้าง”และวางแผนว่าปีหน้าจะลงมือปลูกยางพาราเพื่อคืนผืนป่า

เมื่อมีภาวะหนี้สินชีวิตก็ต้องดิ้นรนอีกครั้ง

มีเพื่อนบ้านบอกว่าเขามาฟินแลนด์ ได้เงินกลับบ้าน 100,000 บาท

ในจิตใจตอนนั้นรู้แต่ว่าจะหาเงินที่ไหนมาใช้หนี้เขา จึงตัดสินใจที่จะมาที่ฟินแลนด์เพราะคงได้เงินกลับไปใช้หนี้ที่มีอยู่ก่อนแล้ว

ใช้เงินหมดรวม120,000 บาท ทั้งกู้ ธกส. และเพิ่มหนี้นอกระบบอีก

ก่อนออกเดินทางมีความหวังในใจว่า“หาเงินเก็บเบอร์รี่ที่ฟินแลนด์จะได้ใช้หนี้ อย่างน้อยๆ ก็ต้อง 60,000 - 70,000 บาท ส่วนที่เหลือก็จะไว้เป็นทุนขายอ้อย 10 ไร่ คงได้สัก 100,000 ไปใช้หนี้ ขายมันสำปะหลังที่ปลูกไว้ 10 ไร่คงได้ใช้หนี้สัก 50,000

ตอนนั้นมีความหวังมากๆ

30ก.ค. 56 ก้าวเท้าลงเหยียบแผ่นดินฟินแลนด์ เป็นวันแรก ในใจคาดหวังว่าคงจะเจอนายจ้างที่ดี มีความรับผิดชอบ นายจ้างผมคือ Ber-Ex

เข้าห้องอบรมที่พักที่บริษัท Ber-Ex จัดไว้เขาบอกว่า “ถ้าไม่มีเบอร์รี่เก็บจะย้ายหาแหล่งเก็บเบอร์รี่ใหม่ให้” นี่คือคำพูดส่วนหนึ่งของ Ber-Ex ที่ทุกๆ คนต่างก็ได้ยินกันทุกคน

1 สิงหาคม 56 เรามาอยู่ที่ Juvaเริ่มเก็บบลูเบอร์รี่วันที่ 2 สิงหาคม 56ตื่นเต้นมากที่จะได้เก็บเบอร์รี่เป็นครั้งแรก แต่ต้องยอมรับว่าหายากมาก เพราะใกล้ๆมีแคมป์คนไทยมาอยู่ก่อนแล้วรวม 100 คน เขาบอกเขามาวันที่ 13 ก.ค. 56

เขามาก่อนผม 19 วัน คนเป็น 100 คนแล้วคนที่มาที่หลังอย่างเราจะเอาอะไรเล่า โชคดีเป็นของเราเมื่อถึงฤดูหมากแดงแคมป์นี้ย้ายออกจาก Juva เพราะคนเซอร์เวย์ป่าของเขาไปเจอแหล่งที่หมากแดงเยอะกว่าที่นี่

ทนตื่นนอนเช้า ทนนอนดึกทนเพื่อดิ้นรนหาเบอร์รี่ เพื่อให้ได้ขายให้ Ber-Ex เพื่อเราจะได้มีเงินไปใช้หนี้

ในจำนวนเพื่อนร่วมทีมเก็บ คือ 9 คน 2คันรถ เมื่อเก็บใกล้ไม่มีก็ต้องออกเดินทางไกลๆ ต้องทนนอนป่าเพราะทางมันไกลให้คันหนึ่งเอาผลไม้มาชั่ง ถ้ามาทั้ง 2 คน ค่าน้ำมันคงหมดแน่ๆเงินที่เขาให้เบิกอาทิตย์ละ 50 ยูโรต่อคน ก็หมดไปกับค่าน้ำมัน

อาหารที่กินคือ แกงเห็ดป่าที่หาได้ตามป่า

บางวัน 9 คน ไข่ต้มคนละฟอง

บางวันก็ต้มมาม่าคลุกข้าว

ยอมทนหาเก็บเบอร์รี่เพื่อที่จะให้ได้มาขายให้Ber-Ex เพื่อแลกเงิน

บลูเบอร์รี่โลละ 1.4 ยูโร

9 ส.ค. เพื่อนๆทุกคนไม่สามารถหาเบอร์รี่ใกล้ๆ ได้จึงได้ปรึกษากันว่าจะหาแหล่งเบอร์รี่ใหม่ที่ไกลออกไปกว่าที่นี่พวกเราทุกคนจึงตกลงกันว่าให้แต่ละทีมๆ ละ 1 คนออกเซอร์เวย์ป่าที่ไกลออกไปเพื่อหาแหล่งเบอร์รี่ เก็บเงินเรี่ยไรกันเติมน้ำมันเองทีมเซอร์เวย์ ออกหาป่า 2-3 วัน

11 ส.ค. 2556 เวลา 2 ทุ่ม Ber-Ex บอกให้กาเน่เข้าเจรจากับคนงานแต่ Ber-Ex ไม่ยอมย้ายตามที่ทีมเซอร์เวย์ต้องการย้ายไปด้วยเหตุผลที่ว่าไม่มีบ้านเช่ารองรับแถวๆ นั้น

“ถ้าใครจะย้ายให้กลับบ้านไป” คำพูดคำนี้มันกินใจและทำให้ทุกคนหมดหวังที่จะย้ายไปหาแหล่งเบอร์รี่แห่งใหม่จะกลับบ้านก็ภาระหนี้สินที่มีอยู่ ยอมทนต่ออีกสักนิด พอถึงฤดูเก็บลูกแดงคงจะได้ลูกแดงเพิ่มขึ้น

18 ส.ค. 56 เก็บลูกแดงวันแรกเฉลี่ยก็ได้วันละ 100 กก. ต่อคนความหวังที่จะหมดหนี้สินที่กู้ยืมมาเพื่อเก็บเบอร์รี่เริ่มมีมากขึ้น

การออกเก็บเบอร์รี่บางวันมีอุปสรรค์มาก

มีอยู่วันหนึ่ง ผมและเพื่อนได้เก็บเบอร์รี่ใกล้บ้านคนฟินน์โดยที่คิดว่าเขาคงไม่หวง เพราะเป็นป่าสน พอเก็บได้สัก 2 ชั่วโมงเจ้าของบ้านเขามาและดุด่าใหญ่เลย เพื่อนๆ ทุกคนรีบวิ่งหนีและเอารถคันหนึ่งออกจากที่นั่น

ส่วนผมหนีไม่ได้เพราะรถอยู่ใกล้ผู้หญิงคนนั้น ไหนจะพ่วงลูกที่ติดรถก็ถอดไว้ผมคนเดียวจะเอาพ่วงมาติดกับตัวรถก็ยกยาก

ผมบอกเขาว่าผมขอโทษเพราะเห็นเป็นบ้านเก่าๆ ริมน้ำ รวมทั้งตัวเขาก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้นเลยไม่รู้ว่าเขาหวง ผมบอกขอโทษและเสียใจ

เขาบอกขอโทษแล้วเบอร์รี่เขาจะกลับมาหรือผมเองก็ยอมรับว่าผิด
จากวันนั้น ผมไม่กล้าเข้าเก็บเบอร์รี่ใกล้บ้านคนฟินอีกเลย

วันที่ฝันสลาย

4 ก.ย. 56 ผมได้รับโทรศัพท์จากทางบ้านโดยที่ภรรยาเล่าว่า “พ่อ ป่าไม้ขึ้นไปที่ไร่ของเรา 2 คันรถ 20กว่าคน เขาบอกว่าพ่อบุกรุกป่า เขาถ่ายรูปตอไม้และที่พักที่พอปลูกไว้ชื่อพ่อตอนนี้ถึงจังหวัดแล้ว กลับมาเมื่อไหร่เขาจะจับข้อหาบุกรุกป่าด้วย”

ผมยอมรับว่าผมรักที่ตรงนั้นมากเพราะกว่าจะได้ต้องเป็นหนี้ ต้องฟันป่าพร้อมภรรยาและลูกๆต้องนอนอยู่ที่นั่นหลายเดือน เพราะมันอยู่ไกลจากบ้านผมร่วม 00 กม.




แต่สิ่งหนึ่งที่น่าสะเทือนใจที่สุดคือป่าไม้ขึ้นไปแล้วจับผู้หญิงอีกคนที่ไร่อยู่ใกล้ๆ ผม

เธอจนมาก จนจนไม่มีข้าวกรอกหม้อสามีก็ติดเหล้า ไม่มีที่นา เขาทำไร่อยู่ที่นั่นมาร่วม 10 ปีเขาเคยซ์้อยางพารามาปลูก แต่ก็ถูกป่าไม้ถอนทิ้งจนหมด

พอได้รับโทรศัพท์จากภรรยาวันนั้นผมนอนไม่หลับทั้งคืนไหนจะสงสารตัวเอง และสงสารผู้หญิงที่ถูกจับไป (ผู้หญิงอายุประมาณ 50วันนั้นสามีเขาไม่อยู่)

ทำไมนะ ทำไมต้องคอยรังแกคนจนๆที่ไม่มีทางสู้ เธออดมื้อกินมื้อทำไร่มันสำปะหลังเพื่อแลกข้าว หาเห็ดป่าเก็บดอกกระเจียว และหาหน่อไม้ขาย เพื่อนำเงินมาซื้อข้าวกรอกหม้อเพื่ออยู่ร่วมโลกกับพวกคนมีเงินไปวันๆ

ผมถามภรรยาว่า “แล้วที่ข้างๆ กันที่เขาปลูกยางจนโตและพึ่งจะลงก็มีคนละ 3-4 ร้อยไร่ล่ะ”

ภรรยาผมตอบว่า “ป่าไม้บอกที่เขาเป็นป่าเสื่อมโทรมแล้ว เขาไม่ได้บุกรุก”

นี่หรือคือคนจนเราจะถูกเหยียบย่ำอีกสักเท่าไรถึงจะพอ กฎหมายไม่มีข้อยกเว้นสำหรับคนจนเลยหรือไง

ภรรยาผมบอกว่า จนวันนี้ไม่มีใครประกันตัวผู้หญิงคนนั้นออกมาเลย สามีตอนนี้ก็เป็นบ้าไปแล้ว

เรื่องนี้ผมยอมรับว่าผมต้องร้องไห้เสียน้ำตาเพราะสงสารเธอเพราะเราอยู่ป่าด้วยกัน ทำไร่ด้วยกัน มีอะไรเขาก็เอามาแบ่งปันกันกินถึงเราจะพึ่งรู้จักกันที่นั่น เราก็รักกันเหมือนพี่น้อง แล้วคนจนๆ อย่างเราจะช่วยอะไรเขาได้เล่า

5 กันยายน 56 กลับจากเก็บเบอร์ณี่ตอนเย็นเพื่อนที่มาก่อนบอกว่า พรุ่งนี้ย้ายแคมป์ ผมถามว่า “ย้ายทำไม” ไม่มีใครให้คำตอบได้ ผมถามล่ามผู้หญิงชื่อบุ๋มเธอบอกว่า “บริษัท Ber-Ex สั่งย้าย”

ผมถามไม่ย้ายได้ไหมเพราะที่นี่มีลูกแดงได้เก็บ เธอบอกว่า “ไม่ได้ต้องย้ายเพราะ Ber-Ex สั่งมา” ผมจึงถามเธออีกว่า “ย้ายไปจะมีเบอร์รี่เก็บหรือ?” เธอสวนกลับมาว่า “ถ้าไม่มีเขาจะย้ายพวกคุณไปทำไม”

ทุกคนหรือส่วนมากไม่มีใครอยากย้ายเพราะลูกแดงพอมีให้เก็บ คิดว่าลูกแดงคงพอได้เก็บตลอดฤดูกาล เพราะแต่ละวัน เฉลี่ยก็ได้คนละ70-80 ก.ก.

6 กันยายน 56 มาอยู่ที่ซารียาวีวันแรก

วันต่อมาได้ออกเก็บเบอร์รี่แต่เช้าตรูผมและเพื่อนย้ายมาอยู่ที่นี่ 7 คันรถ ต่างคนต่างรีบออกเดินทางหาเบอร์รี่ต่างคันรถก็ไปกันคนละทาง วันนั้นผมพยายามวิ่งหาเบอร์รี่ 100 กว่า กม.ได้เบอร์รี่คนละ 30 กก. ส่วนคนอื่นๆ ไม่ได้เป็นส่วนใหญ่

วันที่สองที่อยู่ที่นี่ก็ออกไปหาเบอร์รี่อีก แต่ก็ไม่มี จึงโทรบอก Ber-Ex ว่าที่นี่ไม่มีเบอร์รี่ให้เก็บขอย้ายกลับไป Juva เหมือนเดิมได้ไหม Ber-Exบอกให้พวกเราเข้าไปเซอร์เวย์ป่าตามถนนสายต่างๆ ที่เขาบอกไว้

แต่ไม่มีเบอร์รี่

คนงานทุกคนยืนยันขอย้ายกลับไปที่เดิม Juvaแต่ Ber-Ex ไม่ยอมย้าย แถมด้วยเงื่อนไข

“ใครอยากย้ายก็กลับบ้านไป”

“ใครอยากอยู่ก็เก็บเบอร์รี่”

มันเจ็บปวดมากสำหรับคำพูด Ber-Ex

แค่ย้ายไปตรงที่มีเบอร์รี่ให้เก็บเราเองก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ย้ายมาไม่มีเบอร์รี่เก็บจะให้เราไปเก็บอะไรไหนจะค่าน้ำมัน ไหนจะค่าเช่ารถ ค่าเช่าบ้าน ต้องอยู่ต้องกินจึงเป็นที่มาของคำพูดของพวกเราทุกคนว่า “กลับก็กลับ”

เฮ้อ! พังอีกแล้วความฝันเรามันจบลงแบบนี้เองหรือคนจน

ไม่มีคำว่าขอโทษ ไม่มีแม้แต่คำว่าเสียใจจาก Ber-Ex

นี่หรือนายจ้างเราที่เราเป็นหนี้มาเพื่อเก็บเบอร์รี่ให้เขาตื่นตี 3 กลับ 2-3 ทุ่ม เป็นไข้ก็กินยาทนทุกอย่างเพื่อที่จะให้ได้เบอร์รี่มาขายให้เขา แต่เขาไม่ได้เห็นคุณค่าของเราเลย

ทำไมนะ Ber-Ex ถึงใจดำเหลือเกิน

นึกถึงความใจดำและไม่มีความรับผิดชอบของBer-Ex ทำให้ผมบอกตัวเองว่า “จะไม่กลับมาฟินแลนด์อีก”

แต่วันนี้ “กำลังใจ” หลังจากวันนั้นมาที่ผมได้เจอพี่เล็ก จรรยายิ้มประเสริฐ คุณลี่ และพี่ผู้ชายชื่อริกุ ทำให้พวกผมมีกำลังใจที่จะสู้เพื่อวันข้างหน้า
สู้เพื่อศักดิ์ศรีของความเป็นคน

เราจากซารียาวีมาอยู่ที่ศูนย์คนว่างงานโดยการช่วยพาของพี่เล็ก พี่ริกุ และคุณลี่

เรามาเจอคนดีๆ ที่นี่มากมายเขาให้ความรัก ให้ความอบอุ่นกับเรา แม้ว่าเขาจะเป็นคนจนในฟินแลนด์แต่เขาก็ไม่ได้จนน้ำใจเลย

สายตาที่ชาวฟินน์มองเราเป็นสายตาที่อบอุ่นมองเราอย่างให้กำลังใจ มองเราอย่างเห็นอกเห็นใจ ซึ่งมันแตกต่างจากสายตาเจ้านายเราที่ชื่อBer-Ex ซึ่งสายตาที่เขามองเรา มองอย่างรังเกียจ มองเหมือนเราเป็นทาสของเขา

ขอขอบคุณอีกครั้งต่อพี่น้องชาวฟินน์ทุกๆที่นี่ที่ให้ความรัก ให้ความดูแลเรา สิ่งดีๆ ความรู้สึกดีๆ ของคนที่นี่ทำให้ผมเปลี่ยนความคิดที่ว่า “ผมจะไม่กลับมาที่นี่อีก” เป็นคำว่า “ผมจะกลับมาและขอเจอพี่น้องชาวฟินน์ที่นี่อีกครั้ง”

ถึงผมจะกลับเมืองไทยแต่หัวใจของผมยังอยู่กับพี่น้องคนฟินน์ที่นี่คนฟินน์ที่แสนดีที่นี่ยังจะอยู่ในใจผมตลอดไป

ไพรสันติไหว จุ้มอังวะ