17 มี.ค. 13

ภาพจากเวทีสวนเงินมีมา คนเยอะเชียว



เด็จพ่อกำลังแถลงเรื่อง ThaiPbs ท้าสื่อมวลชนทุกคนให้ตอบคำถาม คนล้นศาลา
 

หอเล็ก มธ. ก็แน่นขนัดฮะ

เวทีนิติราษฎร์ รู้สึกว่ามันส์เหมือนกัน
จะรอตามฟังจากเทป เพราะฟังสองช่องพร้อมกันไม่ไหว
คำเกิ่ง แห่งทุ่งหมาหลง
* * *

แน่นอนว่าในทางปฏิบัติสังคมมันมีหลายมาตรฐานไม่ใช่แค่สองมาตรฐาน ทั้งที่กำหนดโดยเงิน ตำแหน่ง ปืน เพศ สีผิว สัญชาติ เชื้อชาติ บัตรประชาชน ฯลฯ

แต่ในทางกฎหมาย ระบบจะต้องมีมาตรฐานเดียว

และเปิดให้คนที่สู้เพื่อยืนหยัดในมาตรฐานเดียว มีที่ยืนและสามารถกระทำได้

เรื่องหลายมาตรฐาน มันก็ลดกันได้มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะคนที่สู้เพื่อมาตรฐานเดียวนี่ล่ะ

ดังนั้นมันจำเป็นยิ่งที่กฎหมายจะต้องปักฐานอยู่บนมาตรฐานเดียว ไม่ใช่อย่างน้อย 2 มาตรฐานเช่นที่เป็นอยู่ ซึ่งเรื่องนี้สะท้อนชัดในวิถีการเมืองไทย ที่ชี้ให้เห็นมาตลอดคือ "มันไม่มาตรฐานเดียว"

* * *

อ.สุธาชัย ชัดเรื่องที่สร้างให้ "ผีทักษิณ" ยิ่งใหญ่เกินไป และ แม้ทักษิณจะชั่วร้ายในหลายเรื่อง เรื่องหนึ่งที่ทักษิณไม่เป็นเลยคือ "การล้มเจ้า"

อย่างที่กูยืนยันมาตลอดเช่นกันว่า ทักษิณคือคนที่จงรักภักดีกับสถาบันฯ ยิ่งกว่าที่พวกขั้วอำนาจเก่าอ้างรักนักรักหนาอีก

* * * * * 

เด็ด สมศักดิ์ที่โต้ อ. ไชยันต์เรื่องนี้ว่า ถ้าพูดเรื่องประชาธิปไตย พูดเรื่องเอเธน หรือพูดถึงศตวรรษที่ 19 เพื่อเอามาอ้างในศตวรรษที่ 21 ไม่ได้

เอเธนผู้หญิงยังไม่มีสิทธิเลือกตั้งเลย
* * * * * 


กูก็งงจริงๆ ว่า จนบัดนี้ คนไม่เก็ตในประเด็นเรื่อง "หลักการเสรีภาพเสมอภาค เท่าเทียมกัน" กับ "เสรีภาพที่จะวิจารณ์" ซึ่งมันเป็นต้นตอแห่งปัญหาและที่ทำไม่ได้ในปัจจุบัน

ถ้าไม่เก็ตในประเด็นนี้ก็โต้กับสมศักดิ์หรือคนที่ยันการถกเถียงบนจุดยืนนี้ไม่ได้หรอก

* * * * * 

กูไม่ได้ทำ NGOs หรือสู้ยิบตาเรื่องสิทธิ ทั้งเรื่องสิทธิการมีส่วนร่วมทางการเมือง สิทธิของชุมชนในการมีส่วนร่วมและคัดค้านนโยบายรัฐ สิทธิการรวมตัวต่อรองและตั้งสหภาพ ของชาวบ้านหรือคนงาน อย่างคนโลกสวย และไม่ได้คิดว่าเพราะพวกเขาจนเงิน

เวลาทำงานหรือลงพื้นที่กูก็จะเห็นว่าคนงานหรือชาวบ้านที่สู้เรื่องเขื่อน เรื่องพลังงาน เรื่องปัญหาการถูกค้าแรงงาน ต่างก็รวยเงินและทรัพย์สินกว่ากู กว่าทีมงานกูกันเกือบทั้งนั้น

แต่ที่กูทำงานด้านนี้เพราะช่วยสู้ในประเด็นเรื่องสิทธิความเท่าเทียมที่หลักการ สิทธิที่พวกเขาถูกละเมิด หรือพวกเราถูกละเมิด ...สิทธิที่พวกเขาอาจจะขาดหรือถูกละเมิดมากกว่าและพวกเขาสู้ การทำงานของกูคือร่วมด้วยช่วยกันยันในสิทธิที่พวกเขามี

ซึ่งเรื่องนี้เจอกันได้ทุกคนไม่ว่าคนจนหรือรวย แต่คนที่ทั้งรวยและมีอำนาจและเครือข่ายคือคนที่ได้เปรียบที่สุด

ท้ายที่สุดก็ยันในหลักการแห่ง "ความเสมอภาค เท่าเทียม และประชาธิปไตยของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน"

* * *

ตั้งแต่เปิดเพจมากูบล็อคคนไป 5-6 คนเท่านั้น 

เพราะมันกวนจริงๆ เข้ามาหาเรื่อง ขู่ฟ้องกูด้วยมาตรา 112 flood วอลล์กูยังกะทะเลคลั่ง กูเลยต้องบล๊อค 

จริงๆ ระดับการอดทนอดกลั้นต่อการวิจารณ์กูสูงมาก ไม่ว่าจะมาแบบรักพ่อหรือไม่รักพ่อ มีเหตุผลหรือไม่มีเหตุผลนักก็ได้ 

แต่ขอให้มีมารยาทกันนิดหนึ่ง .... ฮา

* * *

ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เสวนาบทสามัคคีวิจารณ์ เพื่อก้าวต่อไปของสังคมไทย 17-03-2013




Published on Mar 17, 2013

ส่วนหนึ่งของการเสวนา หัวข้อ บทสามัคคีวิจารณ์ เพื่อก้าวต่อไปของสังคมไทย
จัดขึ้นโดย มูลนิธิเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป / ปาจารยสาร / ป๋วยเสวนาคาร / สถาบันสันติประชาธรรม / เสมสิกขาลัย

วิทยากร : อ.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ, อ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และ อ.ไชยันต์ ไชยพร
ณ มูลนิธิเสถียรโกเศศ-นาคะประทีป (สวนเงินมีมา) ถ.เจริญนคร คลองสาน กรุงเทพฯ
วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม 2556 thaivoice.org ถ่ายทอดสด

17 มี.ค. 13 (4) เฟซบุ๊คถูกล๊อคชั่วคราว

ค่ำ 15 มีนาฯ ถึงค่ำ 17 มีนาฯ เฟซบุ๊คถูกล๊อคชั่วคราว

หายไปสองวันเพราะปัญหาจากภาพนี้ล่ะ
นึกว่าจะไม่ได้เพจคืนเสียแล้ว

มีเรื่องราว ข้อเขียน และภาพมากมาย เก็บไว้ที่นี่

ดีใจฮะ ดีใจจริงๆ ที่ได้เพจคืน เพราะเป็น account ที่เปิดตั้งแต่ปี 2007 และก็อยู่กับมันและเพื่อนฝูงเพิ่มมากขึ้นมาทุกวันจนถึงบัดนี้

แต่คิดว่าผลจากการถูกล๊อคครั้งนี้คงจะทำ page ขึ้นมาอีกอันนะฮะ เพื่อเป็นอีกแหล่งหนึ่งของการเก็บข้อเขียน และภาพต่างๆ


So happy that I get my facebook back.

My account has been 'temporarily locked' since at around 10 PM on 15 March. AndI have been trying to log-in to my account numerous of times every day and follow all procedures of Facebook and also write to Facebook.

Today I get my account back. Chaiyo!!!

15 มี.ค. 2013

เห็นภาพ สส. หญิงเพื่อไทยไปดูไบหรือฮ่องกงไม่แน่ใจ แล้วช๊อปแบรนด์ดังกระจายแถมถ่ายรูปอวยหราที่เฟซบุ๊ค แล้วสยองนะ

หวังว่า สส.หญิง สส. ชาย เมืองไทยจะไม่บ้าแบรนด์ดังและไล่ตามแฟชั่นหรูราคาแพง เพราะมีพระบรมวงศานุวงศ์ นายกฯ และครอบครัวทักษิณ รวมทั้งครอบครัวกรณ์ เป็นตัวอย่างกันหมดนะจ๊ะ

ยังไงก็ตระหนักในเรื่องสิทธิแรงงานของคนงานที่ผลิตสินค้าแบรนด์ดังใบตัวละสองสามหมื่น และใบละสองสามแสนกันบ้างเน

* * *


นี่คือจดหมายของกลุ่มคนไทยผู้รักชาติโพสต์แต่เวลาคนมีความเห็นต่างมันก็บล็อคทันที คน save ภาพนี้เข้าเครื่องไว้เลยส่งมาให้หลังไมค์

ก่อนถูกบล็อคกูเขียนทำนองนี้ไว้ว่า
------------------------
กลุ่มคนไทยผู้รักชาตินี่ช่างเห็นแก่ตัวเหลือเกิน รายการตอบโจทย์รายการเดียวก็ทนฟังไม่ได้

ไม่นึกถึงหัวจิตหัวใจคนไทยรักชาติแต่ไม่รักเจ้าจนคลั่งบ้างเลย ที่ต้องทนกับรายการอวย 24 ชั่วโมงรอบตัว

- แม้เข้าโรงหนังเพื่อไปพักผ่อนก็ยังไม่เว้นถูกบังคับทางสังคมให้ต้องยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีก่อนหนังฉาย
- ต้องรอจนข่าวพระราชสำนักตอนสองทุ่มจบ ถึงจะได้ดูละครที่ติดงอมแงม
- ต้องทนดูทีวีพูลถ่ายทอดพระราชกรณียกิจและรายการสดุดีเฉลิมพระเกียรติ จะหนีไปช่องไหนก็ไม่ได้ เพราะบังคับถ่ายทอดหมด
- ยามดูสารคดีวิถีชีวิตของชาวบ้าน ต้องสลบตอนจบกับการยกความดีความชอบ 60-70 ปีแห่งการพากเพียรให้กับพระปรีชาชาญของในหลวงทุกเรื่อง

อ้อและทั้ง
- ต้องทนเห็นป้ายโฆษณา "ทรงพระเจริญ" "เรารักในหลวง" พร้อมพระฉายาลักษณ์โตเท่าตึกในหลายตึกทั่วประเทศไทย

- ทั้งทางตรงหรือทางอ้อมต้องซื้อเสื้อยืด สายข้อมือ เหรียญตรา ธนบัตร เพื่อบริจาคในพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัยครั้งละหลายร้อยล้านบาท ... ล่าสุด 700 ล้านบาท
- ถ้าอาศัยอยุ่ในที่สนง. ทรัพย์สินต้องเตรียมใจถูกเวณคืนทุกเมื่อ
- หรือถ้าไม่อยู่อาศัยในที่ดิน สนง. ทรัพย์สิน แต่ในที่ดินตัวเอง ในบ้านตัวเองที่ยังผ่อนธนาคารไม่หมด ก็ต้องทำกับความกักขฬะของคนคลั่งเจ้าที่ไล่ให้ออกจากประเทศไปกันทุกวัน

ไม่นับว่ามีจำนวนมากถูกขู่ ถูกรังควาญ ถูกจับเข้าคุก หรือตายในคุก เพราะมีคนคลั่งเจ้าแจ้งความจริง แจ้งความเท็จว่าหมิ่นในหลวงอีก

พวกคนไม่รักเจ้าต้องทนและเจ็บปวดมากมาย แต่พวกคนรักเจ้าทนไม่ได้แม้จะเห็นรายการทีวีสาธารณะพูดเรื่องสถาบันฯ

ทนไม่ได้ก็ไม่ต้องดูซิ อย่ามาบังคับปิดปาก ปิดหู ปิดตากันซิ

พวกท่านทำราวกับว่า "ความรักในหลวง" นี่มันช่างเปราะบางเสียเหลือเกิน ราวกับแวมไพร์ ที่จะสลายได้ทุกเมื่อเมื่อต้องแสงตะวัน

14 มี.ค. 2013 อันเนื่องจากรายการตอบโจทย์ "สถาบันกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ"

ตอน 1

มันง่ายมากที่จะโพสต์ไปในทิศทางแห่งการรักในหลวง และโจมตีคนอื่นๆ ที่วิจารณ์ว่าเป็นพวกล้มเจ้า หรือต่อว่าอย่างหยาบคาย บลา บลา...

ประเด็นคือหลายคนเช่นพวกคุณทั้งหลายที่ออกมาดิ้นกันจะเป็นจะตายเพราะมีคนวิจารณ์สถาบันฯ มีจำนวนไม่น้อยเคยไปอยู่ต่างแดน และเคยเห็นว่าประเทศที่มีกษัตริย์หรือราชินีประเทศอื่นๆ เขาก็ถกเถียงเรื่องนี้กันได้อย่างเต็มที่ ไม่มีใครแจ้งจับใครเข้าคุก ก่นด่า ต่อว่า แช่งชักหักกระดูก หรือขู่ฆ่าให้ตายเช่นที่พวกท่าน (กลุ่มหนึ่งนี้) กระทำกันอยู่่...

รักไม่รักควรเป็นเรื่องสิทธิส่วนบุคคล และคนที่ไม่รักก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นพวกล้มสถาบันฯ และควรจะได้มีสิทธิแสดงออกซึ่งความคิดเห็นของเขาได้ ในขณะที่สื่อ 100% ที่ผ่านมาไม่เคยให้โอกาสคนที่วิจารณ์สถาบันฯ ออกสื่อเลย รายการตอบโจทก์นี้เกือบจะเป็นสื่อกระแสหลักสื่อแรกเลยมั๋งที่เปิดพูดคุยเรื่องนี้... ซึ่งเป็นก้าวย่างที่น่าชื่นชมมากๆ และขอขอบคุณ...

อ้อ! ประเทศไทยนี้ยังไม่เคยมีประชาชนล้มสถาบันเลย เห็นแต่ทหารทำปฏิวัติไม่รู้กี่ครั้งในนาม "เพื่อปกป้องสถาบันฯ"

* * * * * * * * * 

วิธีคิดของ อ. สุลักษณ์นี่เป็นตัวแทนของวิธีคิดคนส่วนหนึ่งที่ก่อหวอดเป็นพันธมิตร คือ "ไม่เอาทักษิณ" และบิดหักทุกหลักการ เพราะยุทธศาสตร์ว่า "โค่นหรือล้มทักษิณไม่ว่าจะด้วยมาตรการใดก็ตาม"

เมื่ออยู่บนฐานคิดนี้ ก็เป็นวิถีการเมืองแบบเด็กเกเรที่ "หักทุกหลักการประชาธิปไตย" และไม่ยอมรับ "หลักการประชาธิปไตย"

ตรรกะ อ. สุลักษณ์สับสนในเรื่องการยึดมั่นใน "หลักการ" แต่เล่นนอกกติกาได้ เมื่อเกี่ยวกับ "ตัวบุคคล" ที่ไม่ชอบในที่นี่คือ "ทักษิณ"

กูไม่ชอบทักษิณเลย แต่ก็กระอักกระอ่วนและกังวลกับนโยบายหลายตัวของทักษิณ แต่ก็ยอมรับรัฐบาลทักษิณในฐานะที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาบริหารประเทศ และก็ไม่มีทางยุให้ทหารทำรัฐประหาร หรือเห็นดีเห็นงามกับการทำรัฐประหารโค่นทักษิณ

นี่เป็นจุดต่างแห่งการถกเถียงตอนนี้ระหว่างค่าย "รอยัลลิสต์" กับ "ค่ายประชาธิปไตย"

ค่ายรอยัลลิสต์ยืนอยู่ "ประชาธิปไตยที่มีข้ออ้าง มีข้อยกเว้น" แต่

"ค่ายประชาธิปไตย" ยืนยันว่า "หลักการประชาธิปไตยต้องไม่มีข้ออ้าง หรือข้อยกเว้น"


* * * * * * * * * 

อ. สุลักษณ์นี่ตรรกะสับสนนะ พูดแบบมี "ข้อยกเว้น" ตลอด
... วิจารณ์ได้ แต่ต้องอ่อนน้อมถ่อมตน ... (ถ้าไม่อ่อนน้อมถ่อมตน คือ ไม่กราบ ก็ถือว่าหมิ่นฯ ใช่ไหมฮะ) ...

ที่น่าตระหนกคือ อ. ยังอ้างข้ออ้างที่ว่าเรายัง "ไม่เป็นประชาธิปไตยแบบยุโรป" ... อันนี้ไม่น่าเชื่อว่า อ. จะถูกยกมาอ้างเช่นนี้ แทนที่จะพูดไปข้างหน้าว่า จะทำอย่างไรให้เป็นแบบนั้น

สุลักษณ์นี่แก่และกลายเป็น outdated ไปได้ขนาดนี้เลย ...พูดแบบคนที่เป็น "อภิสิทธิชน" ตลอด... น่าเสียดาย


* * * * * * * * * 

ไม่คิดว่า ส. อยู่ในสภาพพูดแบบป้องกันตัวเองแล้วฮะ แกเลยสภาพนั้นมาแล้วล่ะ

แต่คิดว่าแกเป็น monarchist จริงๆ และก็พูดแบบคนนิยมสถาบันกษัตริย์จะพูด

ประเด็นต่อไปที่ต้องถกคือ เมื่อทัศนคติ ส. แบบ Monarchists แบบนี้ จะลงมาหาทางจูนกับคนที่ไม่เป็น monarchist อย่างไร

คนที่ไม่ได้อยู่ในจุดที่ "อ่อนน้อมถ่อมตน" เช่นในจุดที่อาจารย์รับได้ แต่อยู่ในจุดที่ยืนยันใน "หลักการประชาธิปไตยไม่มีข้อยกเว้นตามกติกาสากล"

อาจารย์จะทำใจยอมรับได้ไหม และจะช่วยพูดให้ royalists หรือ monarchists คนอื่นๆ เข้าใจได้ไหม

และอาจารย์จะยินดีปรีดาให้พวกเขาที่ "ไม่อ่อนน้อมถ่อมตน" ถูกดำเนินคดีด้วย 112 หรือไม่ เมื่อมันเลยจุดแห่งการประนีประนอมตามวิธีคิดของอาจารย์มาไกลกว่าที่อาจารย์พูด

นี่เป็นประเด็นท้าทายข้อถกเถียงเมืองไทยต่อไปนี้นะ .. คือ สังคมไทยจะรับเรื่อง "เสรีภาพในการแสดงออก" และมีการเตือนสติกันให้มี "ความอดทนอดกลั้น" ต่อความคิดเห็นต่างให้มากกว่านี้ (อย่างมาก) ได้อย่างไร

คนที่มีบารมีพูดแล้วคนฟัง ควรจะพูดถึงประเด็นเหล่านี้ด้วย ไม่ใช่ฉาบฉิวกันแต่เรื่อง 112 และ "ประชาธิปไตยแบบไทยๆ ที่มีข้อยกเว้นอันล่วงละเมิดมิได้" อยู่ร่ำไป


* * * * * * * * * 

คือถ้าถามว่าการถกกันวันนี้แรงไหม ไม่แรงเลย และก็ยังแตะๆ ไม่ได้ลงในแก่นๆ เลย ยังคุยแบบผิวๆ มาก ... เกร็งกันทั้งสามคนมั๊ง!

ถ้าคุยกันแค่นี้ (แค่เนี๊ย) แล้วจะสถาบันจะล่มสลาย ประเทศจะล่มสลาย ต้องบอกว่าคนไทยมีปัญญาคับแคบและตื้นเขินกว่าที่พยายามแสดงออกหรือสร้างภาพ



* * *

ตอน 2

สื่อ ปัญญาชน นักการเมือง รอยัลลิสต์ ทำตัวราวกับว่าในหลวงและพระบรมวงศานุวงศ์ เป็น "ไข่ไดโนเสาร์" ที่มีมูลค่ามากเพราะใกล้จะสูญพันธ์ุ จำต้องต้องประคบประหงม อย่าให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท ไม่ว่าจะในรูปแบบใดๆ ทั้งสิ้น

แหม กูขอพูดตรงๆ นะ ในหลวงและพระบรมวงศานุวงศ์อายุกันขนาดไหนแล้ว ผ่านการเมืองร้อนหนาวมามากกว่าทุกนายกรัฐมนตรี ทุกรัฐมนตรี ทุกนักกรเมือง และทุกปลัดกระทรวงฯ หรืออธิบดีต่างๆ

ที่ลุกมาปกป้องกันอย่าง "ล้นเกิน" นี่ไม่คิดหรือว่าพวกท่านต่างหากที่ปฏิบัติกับพระบรมวงศานุวงศ์ราวกับเป็นไข่ในหิน ราวกับเป็นเด็กที่ยังไม่โต
* * * * * * * * *

เห็นคนคลั่งเจ้าเขียนที่ TPBS เรื่องต้อง "สำนึกบุญคุณ" และต่อว่าคนวิจารณ์เจ้าว่า "เนรคุณแผ่นดิน" กันอยู่หลายโพสต์

ขอยืนยันอีกครั้งว่า...

เพราะกูสำนึกบุญคุณแผ่นดิน และบุญคุณของภาษีประชาชนที่อุดหนุนการศึกษาจนกูจบมหาวิทยาลัย ..ทั้งนี้คงต้องเตือนความจำกันด้วยว่า กระทรวงศึกษาธิการเป็นกระทรวงที่ได้รับงบประมาณแผ่นดินมากที่สุดทุกปี มากกว่าทุกกระทรวง และทุกหน่วยงาน

กูถึงต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดินด้วยการสู้เพื่อประชาธิปไตยที่คนทุกคนได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันและด้วยความเคารพในศักดิ์ศรี

ทั้งนี้กูตระหนักดียิ่งว่า ...

แผ่นดินไทยประวัติศาสตร์ยาวนานเป็นพันเป็นหมื่นปี และมนุษย์ก็มีประวัติศาสตร์แห่งพัฒนาการหลายหมื่นปี

แน่นอน กูสำนึกบุญคุณและขอบคุณธรรมชาติและเผ่าพันธุ์มนุษย์ต่างๆ ที่สร้างและถ่ายทอดส่งต่ออารยธรรมมาจนถึงปัจจุบัน

ความสำนึกแผ่นดินเกิด กูลึกและไปไกลหลายพันปี ไม่ใช่แค่รัตนโกสินทร์สองร้อยปีที่พวกคนรักในหลวงทั้งหลายพยายามอ้างเป็นบุญเป็นคุณกันเหลือเกินอยู่ตอนนี้
* * * * * * * * *

อีกนิดหนึ่งนะ ...

พวกที่ชอบทวงบุญคุณแผ่นดิน และปล่อยคำด่าว่าผุดขึ้นมาในอินเตอร์เนทอย่างสะเพร่าว่า "คนไม่รักในหลวง" "เนรคุณแผ่นดิน" หรือ "ไม่สำนึกบุญคุณแผ่นดิน" "ไสหัวไปประเทศอื่นไป๊ ฯลฯ" ทั้งหลายเหล่านี้ อาจจะคิดว่าตัวเองโก้เก๋ ดูดีที่พูดคำเหล่านี้ออกมา

แต่กูขอบอกเลยนะว่า ... นอกจากมันไม่เท่ห์เลยแล้ว มันยังเชยระเบิดและประจานความงี่เง่าของคนเขียนออกมาอีกต่างหาก

* * * * * * * * *

"คนไม่รักในหลวง" หรือ "คนวิจารณ์เจ้า" ไม่ใช่เหยื่อให้พวก "รักในหลวง" "คลั่งในหลวง" จะทำปู้ยี่ปู้ยำ ด่าทอ สาปแช่ง ขู่ฆ่า หรือขู่ใช้มาตรา 112 อย่างไรก็ได้นะฮะ

อย่าถ่อยเพื่อพ่อกันง่ายๆ เลยนะฮะ เพราะมันไม่ได้ทำให้คนกลัวกันได้ทุกคนหรอก


* * *

ตอน 3

กลุ่มคนไทยผู้รักชาตินี่ช่างเห็นแก่ตัวเหลือเกิน รายการตอบโจทย์รายการเดียวก็ทนฟังไม่ได้


ไม่นึกถึงหัวจิตหัวใจคนไทยรักชาติแต่ไม่รักเจ้าจนคลั่งบ้างเลย ที่ต้องทนกับรายการอวย 24 ชั่วโมงรอบตัว.

- แม้เข้าโรงหนังเพื่อไปพักผ่อนก็ยังไม่เว้นถูกบังคับทางสังคมให้ต้องยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีก่อนหนังฉาย
- ต้องรอจนข่าวพระราชสำนักตอนสองทุ่มจบ ถึงจะได้ดูละครที่ติดงอมแงม.
- ต้องทนดูทีวีพูลถ่ายทอดพระราชกรณียกิจและรายการสดุดีเฉลิมพระเกียรติ จะหนีไปช่องไหนก็ไม่ได้ เพราะบังคับถ่ายทอดหมด.
- ยามดูสารคดีวิถีชีวิตของชาวบ้าน ต้องสลบตอนจบกับการยกความดีความชอบของ 60-70 ปีแห่งการพากเพียรให้กับพระปรีชาชาญของในหลวงทุกเรื่อง.

อ้อและทั้ง
- ต้องทนเห็นป้ายโฆษณา "ทรงพระเจริญ" "เรารักในหลวง" พร้อมพระฉายาลักษณ์โตเท่าตึกในหลายตึกทั่วประเทศไทย.

- ทั้งทางตรงหรือทางอ้อมต้องซื้อเสื้อยืด สายข้อมือ เหรียญตรา ธนบัตร เพื่อบริจาคในพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัยครั้งละหลายร้อยล้านบาท... ล่าสุด 700 ล้านบาท.
- ถ้าอาศัยอยุ่ในที่สนง. ทรัพย์สินต้องเตรียมใจถูกเวณคืนทุกเมื่อ
- หรือถ้าไม่อยู่อาศัยในที่ดิน สนง. ทรัพย์สิน แต่ในที่ดินตัวเอง ในบ้านตัวเองที่ยังผ่อนธนาคารไม่หมด ก็ต้องทำกับความกักขฬะของคนคลั่งเจ้าที่ไล่ให้ออกจากประเทศไปกันทุกวัน.

ไม่นับว่ามีจำนวนมากถูกขู่ ถูกรังควาญ ถูกจับเข้าคุก หรือตายในคุก เพราะมีคนคลั่งเจ้าแจ้งความจริง แจ้งความเท็จว่าหมิ่นในหลวงอีก.

พวกคนไม่รักเจ้าต้องทนและเจ็บปวดมากมาย แต่พวกคนรักเจ้าทนไม่ได้แม้จะเห็นรายการทีวีสาธารณะพูดเรื่องสถาบันแค่รายการเดียวนี้ และเป็นรายการพูดคุยเรื่องการเมืองด้วย.

ทนไม่ได้ก็ไม่ต้องดูซิ อย่ามาบังคับปิดปาก ปิดหู ปิดตากันซิ.

พวกท่านทำราวกับว่า "ความรักในหลวง" นี่มันช่างเปราะบางเสียเหลือเกิน ราวกับแวมไพร์ ที่จะสลายได้ทุกเมื่อเมื่อต้องแสงตะวัน.

* * * * * * * * *

อ้าวตกลง ตอบโจทย์เอา อ.สมศํกดิ์ และ ฮ.สุลักษณ์มาปั่นกระแสแค่นั้นหรือ?

น่าเศร้ามากที่ TPBS ถอดเทปตอนจบของการถกเถียงในประเด็น "สถาบันกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ".

แค่คนคลั่งไม่กี่คนก็ทำให้ TPBS ต้องถอดเทปได้ แล้วเสรีภาพของสื่อสาธารณะที่อยู่ด้วยเงินอุดหนุนจากภาษีปีละ 2000 ล้านอยู่ที่ไหน.

TPBS จะตอบคำถามกับประชาชนอย่างไรแล จะทำให้ประชาชนเชื่อใจได้อย่างไรว่าทีวีสาธารณะที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อเสรีภาพสื่อเช่น TPBS จะดำรงเสรีภาพสื่อที่จะพูดและนำเสนอปัญหาทุกเรื่องของประเทศไทยได้.




กะเพราไก่


แหม ไม่พูดเรื่องกะเพราไก่ก็คงจะเชยไปหน่อยช่วงนี้

เพราะกะเพราไก่นี่ล่ะ ทำให้กูที่ไม่ทานเนื้อสัตว์มากนักนอกจากปลา และซีฟู๊ดเป็นบางครั้ง (เพราะมันแพงอย่างเดียวเลย...ฮา) ก็อดกินไก่ไม่ได้

ไก่จึงเป็นเนื้อสัตว์อีกชนิดเดียวที่กูจะกินบ้างเดือนละ 2-3 ครั้ง เพราะทนความยั่วยวนของมันไม่ไหว โดยเฉพาะกะเพราไก่นี่ล่ะ ... ฮา

แต่กูไม่ชอบกะเพราะไก่ที่ใส่ถั่วหรือข้าวโพด และก็ที่เติมน้ำจนแฉะ

กะเพราไก่สูตรแห้งน้ำมันไม่เยอะ ที่กูชอบนี้ จึงเป็นเรื่องที่หากินตามร้านทั่วไปไม่ค่อยได้ไปเหมือนกัน เวลาสั่งแต่ละทีก็ต้องกำชับพ่อครัวแม่ครัวว่าขออย่างนี้นะ แต่ก็ไม่ได้อย่างที่ชอบบ่อยนัก ถ้าอยากกินกะเพราแต่ละครั้งจึงต้องทำเองจะดีกว่า

กะเพราไก่จานนี้ ใช้เครื่องปรุงเยอะ - ทั้งกระเทียม พริกไทดำ และรากผักชีตำกับพริกขี้หนูเขียว และผัดให้หอมในน้ำมันมะกอก เอาไก่ไปลงไปคั่วจนเกือบสุกแล้วเติมรสด้วย น้ำตาลทรายไหม้ (คือการเอาน้ำตาลทรายหนึ่งช้อนชาครึ่งใส่หม้อเล็กตั้งไฟจนเกรียม) ปรุงรสเค็มด้วยซีอิ๊วขาว - แค่นี้ล่ะ

เสียดายและคิดถึงใบกะเพราแดงจริงๆ เพราะเป็นใบกะเพราที่ชอบมากกว่ากะเพราขาว ไม่ต้องเทียบกับกะเพราฝรั่งเลย - เทียบกันไม่ติดเลย - แต่ก็ถือว่าพอแก้ขัดไปได้ยามอยุ่ไกลบ้านเนาะ

ใครชอบกะเพราไก่แบบกูบ้างเอ่ย?

14 มี.ค. 2013

การศึกษาควรทำให้เด็กเติบโตเป็นคนที่รู้จักรักเพื่อนมนุษย์ สอนให้รู้กว้างและเปิดใจกว้าง ทั้งยังส่งเสริมทักษะในการสื่อสารกับมนุษย์คนอื่นๆ ให้มากขึ้น

ไม่ใช่สอนให้รักแต่ในหลวง ตายเพื่อในหลวง และไล่ทุกคนที่ไม่รักในหลวงออกจากประเทศ เช่นการศึกษาในประเทศทุยแลนด์อัดฉีดกันตั้งแต่อนุบาลยันมหาวิทยาลัย

ไม่แปลกที่คนที่เข้าใจสังคมจะไม่อยากให้ลูกได้รับการศึกษาในระบบการเรียนการสอนของไทยใต้ร่มพระโพธิสัมภาร
* * * * * * * * *

มันง่ายเนาะที่จะลุกมาทำตัวเป็น "ตำรวจวัฒนธรรมความดี" แนะนำกันด้วยสูตรเดิมๆ โทษในสิ่งที่โทษได้ "โทษเด็ก" และ "โทษเด็กที่ไร้จิตสำนึก"

แทนที่จะพูดในมิติสังคมที่กว้าง นั่นก็คือ การศึกษาที่ไม่มุ่งส่งเสริมเสรีภาพ และไม่สร้าง motivation แรงบันดาลใจ ในสังคมที่ปิดกั้นและไม่ให้การศึกษาเรื่องเซ็กส์ที่ถูกต้อง รวมทั้งการไม่เปิดให้ทำแท้งเสรีด้วย

โทษแต่เด็กหญิง ที่มี "ครรภ์" ป่องขึ้นมาได้ แต่ไม่ได้ดูจิตสำนึกและความเข้าใจเรื่องเพศของเด็กชายที่ต้องร่วมรับผิดชอบ และมีเซ็กส์ด้วยการรู้จักป้องกัน ปล่อยน้ำเชื้ออย่างไร้ผิดชอบ ทิ้งภาระและชะตากรรมให้เด็กหญิงท้องก่อนวัย และชีวิตที่ถูกประนามหรือถูกทำลาย

เรื่องการท้องวัยเด็กมันก็มีกันในเกือบทุกประเทศล่ะ แต่เขาทำแท้งได้ และเดินหน้าได้ ได้บทเรียนชีวิตและกลับสู่การเรียนอย่างเข้าใจชีวิตมากขึ้น

แต่ในสังคมตอแหลที่มันง่ายที่จะโทษความร่านและความใจแตก ไร้จิตสำนึกของเด็กหญิง และอ้างจริยธรรม คุณธรรม หลักศาสนา ไม่อนุญาตให้ทำแท้งได้เสรี และเหยียบย่ำและเยาะเย้ย จนถึงอับอายขายขี้หน้า เพราะพฤติกรรมเพศของเด็กหญิง

ขอบอกนะ กูทุเรศผู้ใหญ่ที่คิดได้แค่ "เด็กไร้จิตสำนึก ร่าน" แค่นี้จริงๆ ว่ะ

มติชน "กาละแมร์" สุดทน! จวก "วัยรุ่นไทยเก่งเกิ๊น" ทั้งท้องในวัยเรียน ทั้งถูกเทคโนโลยีครอบงำ"


* * * * * * * * *
ต้นตอปัญหาหนึ่งของเมืองไทยเลย ก็คือ ระบบการศึกษาไทยนี่ล่ะ ที่มันห่วยจริงๆ

ทั้งควบคุม บังคับเรื่องกฎระเบียบมากมาย ตั้งแต่เสื้อผ้า ทรงผม การยืนตรงเคารพธงชาติ ตั้งแต่อนุบาลจนปริญญาเอก - ห้ามคิด ห้ามสร้างสรรค์กันตั้งแต่ก่อนออกจากบ้านแล้ว

ทั้งเรื่องการใช้เวลา 1 ใน 3 แห่งการเรียนไปกับการคิดกิจกรรม หรือช่วยครูคิดกิจกรรม เรื่องสดุดีพระประมุขของประเทศ หรือทำโครงการต่างๆ ที่เพื่อสดุดี หรือถ้าไม่สดุดีก็อย่าวิจารณ์

และใช้เวลาอีก 1 ใน 3 ในการแข่งขัน ติวตัวเองเพื่อการแข่งขัน และเตรียมสอบเข้าเรียนในระดับที่สูงขึ้น

ส่วนเวลาอีก 1 ใน 3 ก็ใช้ให้มันหมดๆ ไปในห้องเรียนและเตรียมการสอบให้ผ่าน

กูว่าเด็กไทยเก่งนะ ที่ทำตัวให้รอดมาได้จากการศึกษาและระบบการศึกษาที่คุมเข้ม ไร้เสรีภาพ ไร้จินตนาการ ไม่ส่งเสริมการเสรีภาพในการแสดงออก หรือการสร้างสรรค์อย่างไร้ขอบเขตเช่นนี้

* * *

เรื่องท้องก่อนวัยหรือคลอดก่อนวัยไม่ใช่ปัญหาเฉพาะที่ประเทศไทย

แต่การไม่สามารถจัดการกับปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ด้วยความโอบอุ้ม และสร้างโอกาสให้หญิงเหล่านี้ คือปัญหาของประเทศไทย คือสิ่งที่ประเทศไทยไม่ได้ทำ

* * * * * * * * *

กูนึกถึงตัวเลข เด็กไทย คลอดก่อนวัยวันละ 370 คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ผู้ใหญ่ "ดี๊ดี" และ "แนดี" ดิ้นกันตอนนี้ว่ารับไม่ด๊าย รับไม่ได้ เสียชื่อเสียงประเทศ

กูคิดว่าถ้ารัฐบาลคิดถึงแม่เด็ก 370 คน/วัน และมองเธอเป็นอนาคตที่สำคัญของชาติ ... แทนที่จะประนาม ปรักปรำ ประจาน ซ้ำเติม ซึ่งก็ยิ่งทำให้ไทยเสียอนาคตของชาติวันละ 370 คนไป และเสียทรัพยากรหลายแสนบาทต่อคนที่ทุ่มไปทั้งครอบครัวและงบประมาณจนกว่าจะมาถึงอายุเหล่านี้ ...

รัฐบาลจึงควรจะคิดจัดการปัญหานี้อย่างสร้างสรรค์

อาทิ เปิดคลีนิกรับปรึกษาเรื่องท้องก่อนวัยในทุกจังหวัดโดยนักสังคมสงเคราะห์และนักจิตวิทยาที่เข้าใจ ไม่เอาวัฒนธรรมความดีงามมาเทศนาสั่งสอนเด็ก ... แต่เพื่อฟังและให้คำปรึกษา และถ้าเด็กประสงค์จะทำแท้ง เพื่อทำให้ไม่ได้รับผลกระทบต่อการเรียนหรือต้องทนกับการอับอาย ก็จัดการช่วยประสานเรื่องนี้ให้ และเก็บข้อมุลเป็นความลับ

เราก็จะแก้ปัญหาเด็กคลอดก่อนวัยวันละ 370 คนได้เพียงในเวลาไม่กี่ปี และเราก็จะมีผู้หญิงที่มีคุณภาพและความสุขวันละ 370 คนกลับคืนมาสู่สังคม

อย่าทำให้เด็กหญิงวันละ 370 คนเป็นอาชญากรรม ดูแลพวกเธออย่างมนุษย์ที่เป็นคนในอนาคตที่มีศักยภาพ

13 มี.ค. 2013

ไม่มีข้าวก็ให้มันกินขนมปังซิคะ 

วันนี้ลุกมาลองอบขนมปังโปเตโต้ ...ฟูนุ่มเหนียวใช้ได้ทีเดียว


12 มี.ค. 2013

You are rock and so cool. 

"ผมไม่อายที่จะแต่งตัวคล้ายหญิง เพราะผมคิดว่าการเป็นผู้หญิงไม่ใช่เรื่องน่าอาย" Iggy Pop.

เขาใส่เพื่อประกาศเจตนารมย์ ไม่ได้จะใส่เพื่อจะเป็นหญิง แต่เพื่อบอกว่า มันแต่งกันได้ มันไม่ได้น่าอาย ถ้าเราก้าวข้ามอัตลักษณ์และอคติทางเพศที่คุ้นชิน

Being Liberal

11 มี.ค. 2013

แอนดรูว์แจก Thaistory เวอร์ชั่นเผยแพร่แล้วนะฮะ

ถ้าใครมีกำลังจ่ายได้ ก็สมทบทุนการทำงานของเขาด้วยนะฮะ เล่มนี้เปิดรับการสนับสนุน

ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เขาสมควรจะทำ เมื่อเทียบกับการค้นคว้าข้อมูล เขียน และเผยแพร่ เพื่อช่วยให้ความจริงที่พูดไม่ได้ สามารถพูดกันได้มากขึ้น และเพื่อให้คนไทยเปิดใจยอมรับความจริงในหลายเรื่องกันได้บ้าง

My 2011 book on Thailand can be downloaded for free at this link:http://www.zenjournalist.org/2011/06/28/thaistory/

* * *

แน่นอนกูปฏิเสธมาตรา 112 และเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรานี้

แต่เมื่อยังไม่ยอมแก้ 112 ณ ตอนนี้ ขอเสนอว่าวังควรมีท่าทีออกมาเรื่องปรามการใช้มันอย่างพร่ำเพรื่อ (กูยังไม่เห็นวังออกมาเตือนกันอีกเลย นอกจากพระราชดำรัสปี 48 ที่แค่ครั้งเดียว และน้ำหนักไม่มากพอ)

ณ ยามนี้ ในสถานการณ์เปลี่ยนผ่านนี้

กูอยากให้สำนักพระราชวังเป็นผู้ฟ้องร้องคดีหมิ่นฯ มาตรา 112 เอง เพื่อที่ความเป็นจริงที่ ...

"ใครก็ได้ ฟ้องใครก็ได้ ที่สถานีตำรวจไหนก็ได้ ที่ฮอตไลน์ DSI, MICT หรือสำนักนายกฯ ก็ได้"

จะได้หมดความชอบธรรม ให้พวกคลั่งอ้างและทำกันได้เสียที

คนคลั่งยังไงก็แยกแยะระหว่างคำว่า "การวิจารณ์" กับคำว่า "หมิ่นประมาท" หรือ "อาฆาตมาดร้าย" ไม่ออก

ทางที่ดีตัดสิทธิ์ใครก็ได้ฟ้องออกไป และให้ในหลวง ราชีนี ฟ้าชาย หรือพระเทพ หรือทุกพระองค์เป็นผู้ดำเนินฟ้องคดีเองในประเด็นที่แต่ละพระองค์รู้สึกว่าถูกหมิ่นฯ

จะปรองดอง จะเดินหน้าก็ฝากคิดเรื่อง 112 อยู่ในแผนการพิจารณาด้วย เพราะเมื่อการใช้มาตรา 112 ยังไม่หยุด และจะยังเป็นประเด็นปัญหาที่นานาชาติให้ความสนใจมากขึ้น

ถึงแม้จะมีนายกหญิงที่ทรงเสน่ห์และงามสง่าก็ตาม มันก็ไม่สามารถปิดปากนานาชาติไม่ให้พูดเรื่องปัญหามาตรา 112 ได้ทุกคน

* * * * * * * * *

กฎหมายมาตรา 112 ไม่ได้ระบุว่ากษัตริย์ ราชินี มกุฏราชกุมาร ไม่สามารถฟ้องร้องเอาผิดคนอื่นด้วยมาตรา 112 ได้เช่นที่พวกคลั่งพยายามอ้างหาเหตุผล ว่าต้องทำเรื่องฟ้องร้องแทน เพราะสถาบันฯ ฟ้องร้องเองไม่ได้

ข้ออ้างนี้ควรถูกทำให้ตกไปได้แล้ว เพราะมาตรา 112 ไม่ได้ระบุห้ามสถาบันฯ ใช้มาตรา 112

สถานการณ์ที่มั่นวุ่นวายเพราะมาตรานี้นับตั้งแต่ถูกขุดมาใช้อีกครั้งหลังยุค ตุลาฯ 19 โดยทักษิณตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมา เพื่อปิดปากนักข่าวต่างชาติ และฟ้องสส. ประชาธิปัตย์ จนทักษิณเองก็ถูกเอาคืนอย่างย่ำแย่หนักกว่าอีก

เพราะกฎหมายนี้ มันเปิดช่องให้เกิดการใช้กฎหมายนี้กลั่นแกล้งกันทั้งทางการเมืองและผลประโยชน์ และใช้ปิดปากประชาชนทั้งประเทศ

ตำมั่วซั่ว

ไม่ลงแดงแล้ว

ค้นตู้เย็นไม่มีมะเขือเทศแต่มีบลูเบอร์รี่ แตงกวา แครอท มะนาว และหมี่ที่ลวกกินกับแกงส้มเมื่อวานเหลือแช่ตู้เย็นไว้

ก็เลยจัดการตำมั่วซั่ว

ใส่ทั้งบลูเบอร์รี่ ถั่วลิสงคั่ว แครอท แตงกวา แอปเปิ้ล แต่งรสชาดด้วยพริกขี้หนูสวน (ตั้งเจ็ดเม็ดแน่ะ แต่ไม่ยักเผ็ดมาก) มะนาวทั้งผิว กะปิ น้ำมะขามเปียก ซีอิ๊วขาว น้ำตาลทรายแดงนิดหน่อย เสร็จแล้วเอาหมี่ไปคลุก

ออกมาหน้าตาไม่เลวฮะ

ตามระเบียบนางมารร้าย ก็ขอถ่ายรูปโพสต์มายั่วน้ำลายคนอื่นต่อไปฮะ

มะมา มากินตำมั่วซั่วด้วยกัน


10 มี.ค. 2013

ชุดวิ่งเพื่อเรียกร้องปล่อยนักโทษการเมืองของ จ.เจตน์ และสหายทั้งหลายนี่จี๊ดมาก

 at อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย.

 at อนุสรณ์สถาน14ตุลา.
โปสเตอร์นี้สวยนะ น่าจะพิมพ์ขายเอาเงินเข้ากองทุน 

อ้อ นักรณรงค์รุ่นใหม่นี่หน้าตาใสปิ๊งกันแบบนี้ แม่ยกพ่อยกเยอะแน่ๆ ... ชม ชม

* * * 

วิธีการต่อต้าน "กระหรี่" ที่มีอารยะ ไม่ใช่การประนามและก่นด่าพวกเธอราวกับไม่ใช่มนุษย์ หัวใจสำคัญๆ คือ


1) การต้องช่วยเรียกร้องระบบสวัสดิการสังคมตั้งแต่เกิดจนตาย
- ทั้งคลอดบุตรีฟรี
- การศึกษาฟรีทุกระดับจนจบมหาวิทยาลัย
- รักษาพยาบาลฟรีทุกโรค
- เงินประกันการว่างงาน
- เงินบำนาญผู้สูงอายุที่ให้อยู่ได้โดยไม่ต้องเดือดร้อนลูกสาว หลานสาว
- เปิดศูนย์ดูแลเด็กทุกย่านอุตสาหกรรม เพื่อที่พ่อแม่ในโรงงานต่างๆ กว่า 5 ล้านคน จะได้ดูแลลูกได้ ไม่ใช่ส่งลูกไปอยู่กับปู่ย่าตายาย ลุงป้า น้าอา ที่จังหวัดบ้านเกิด

2) ปรับนโยบายการพัฒนาที่เอื้อคนจนคนชั้นล่าง
- การอุดหนุนทางการเกษตร และจัดการกับการผูกขาดด้านเกษตรกรรมในมือไม่กี่บรรษัทยักษ์ใหญ่
- การเพิ่มประสิทธิภาพการคมนาคมทางสาธารณะ
- การส่งเสริมอาชีพและเปิดตลาดสินค้าภายในมากขึ้น เพื่อเปิดพื้นที่การสร้างสรรค์และการค้าแลกเปลี่ยนให้กับประชาชน ฯลฯ

3) ปรับเปลี่ยนทัศนคติและค่านิยมที่โบราณกาลของไทย
- หยุดค่านิยม ลูกชายบวชพาพ่อแม่ไปสวรรค์ แต่ลูกสาวต้องไปทุกที่เพื่อหาเงินส่งมาให้พ่อแม่ทำบุญและเลี้ยงลูกชาย
- หยุดค่านิยม "ชายซื้อเซ็กส์" ไม่ใช่มาก่นด่ากันแต่ "หญิงขายเซ็กส์"
- ส่งเสริมความสัมพันธ์ของคนหนุ่มสาว โดยไม่ต้องบังคับให้แต่งงาน หยุดเอาจารีตประเพณีแบบโบราณมากดดันคนรุ่นใหม่
- ยอมรับการทำแท้งเสรี

4) รณรงค์และเปิดโอกาสให้ผู้หญิงมีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น
- เปิดโอกาสหญิงพัฒนาการมีส่วนร่วมทางนโยบายการบริหารต่างๆ และการมีส่วนร่วมทางการเมืองให้มากขึ้น ตั้งเป้าสัดส่วนสส. หญิงในสภา 50% (ตอนนี้ 16%)

ถ้าทำแบบนี้ได้ สังคมจะปรับตัว และวิถีเศรษฐกิจบนกระจิ๋มและกระดอก็จะค่อยๆ ลดน้อยลงไปมากๆ เช่นที่ในทุกประเทศพัฒนาแล้ว (ในหลายประเทศเปิดเสรีให้หญิงค้าเพศกันได้ตามกฎหมาย - แต่มีสาวๆ ของเขาค้าเพศแค่จำนวนร้อย จำนวนพันคนเท่านั้น)

ทำแบบนี้เถอะนะ ร่วมกันเรียกร้องแบบนี้เถอะนะ และร่วมกันหยุดปลักปลำยกความผิดที่สังคมคุมผู้ชายไม่ได้ คุมสามีไม่ได้ โดยมาลงความผิดทั้งหมดที่กระหรี่ ซึ่งไม่แฟร์มากๆ
** ** ** ** ** * 

รัฐบาลที่ปากบอกว่าไม่จริ๊ง ไม่จริง แต่แอบชอบใจกับรายได้จากการปล่อยให้ผู้หญิง ผู้ชาย เด็กหญิง เด็กชายจำนวนแสนจำนวนล้านใช้เครื่องเพศตัวเองเพื่ออุ้มเศรษฐกิจประเทศ จนถูกรัฐบาลสหรัฐบีบอย่างหนักในขณะนี้ให้เร่งขจัดขบวนการค้ามนุษย์อย่างเร่งด่วน

เป็นรัฐบาลที่ขี้เกียจ สันหลังยาว และไม่ฉลาด

ที่ไม่รู้จักคิดหาหนทางพัฒนาประเทศชาติอย่างยั่งยืน โดยพัฒนาและส่งเสริมศักยภาพทางสมองและด้วยการเชิดชูศักดิ์ศรีของประชาชน

รัฐบาลไทยไม่เคยคำนึงว่า ผู้หญิงไทยทั้งประเทศต้องเสียภาพลักษณ์และชื่อเสียงเพื่อมาแบกรับเศรษฐกิจของประเทศไว้บน "จิ๋ม" กันนานเกินพอแล้ว

ในยุคที่เรามีนายกหญิงเป็นคนแรก ก็หวังว่าเธอจะมีมาตรการระยะยาวเพื่อผ่อนภาระบนจิ๋มของสาวไทย และทำให้พวกเธอมีอิสรภาพที่จะใช้มันอย่างสมศักดิ์ศรี ไม่ใช่จำเป็นต้องใช้มันเพราะมันเป็นทางเลือกทางเศรษฐกิจที่รายได้ดีกว่าค่าแรงขั้นต่ำ

* * * 

เมื่อตำรวจไทยออกหมายจับใครสักคนด้วยมาตรา 112
และยัดเขาเข้าคุกทันทีโดยห้ามประกัน

ทั้งเจ้าตัว ครอบครัว ก็เดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้า และ สังคม สื่ออิสระไทยและสื่อยักษ์ใหญ่ของต่างประเทศ ก็จับตาทันที

เมื่ออัยการรับฟ้อง กระบวนการเรียกร้องให้ปล่อยตัวเขาก็เริ่มก่อตัวและขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่จากครอบครัวเท่านั้น แต่ผู้คนที่ห่วงใยทั้งสังคม

เมื่อศาลตัดสินผิดเขาอย่างรุนแรงด้วยคุก 10 ปี 20 ปี หรือ 30 ปี เขาก็กลายเป็นวีรบุรุษ และมีกิจกรรมเรียกร้องให้ปล่อยตัวพวกเขาอย่างต่อเนื่อง

และเมื่อเขาตายในคุกเพราะข้อหามาตรา 112 เขากลายเป็นที่กล่าวถึง ยกย่อง และไม่มีวันตายไปจากประวัติศาสตร์ของไทย

ลองนึกย้อนดูว่า นักโทษอื่นๆ นักโทษยาเสพติด สังคมเดือดร้อนไปด้วยหรือไม่ เช่นนักโทษคดีมาตรา 112 และพวกเขาได้รับความสนใจเช่นเดียวหรือไม่

ไม่ คือคำตอบที่ชัดเจน

ถ้าศาลไทยยังยืนยันว่ากระบวนการพิจารณามาตรา 112 คือความยุติธรรมตามหลักการยุติธรรมเช่นที่ศาลกล่าวอ้าง 
มันคงเป็นความยุติธรรมที่ไม่เหมือนที่ใดในโลกจริงๆ และสมควรได้รับการบันทึกลงกินเนสบุ๊ค 


เป็นอีกหนึ่งความมหัศจรรย์ไทยแลนด์ที่โลกต้องบันทึก!

* * *

อันเนื่องมาจากกรณีเอกสารมากมายที่หลังไหลออกมาจากแอนดรูว์ลีกส์
************
xxx 
พอเหตุการณ์ของประเทศชาติจะไปดี ก็หาเรื่องทำใหมันวุ่นเข้าไว้...?
Junya Lek Yimprasert
ปัญหาคือเหตุการณ์ประเทศชาติไม่ได้จะไปดีนี่ล่ะ
สงครามปิดปากประชาชนยังรุนแรง
งบประมาณปิดปากทหารและอวยเจ้ายังเทให้กันอย่างบ้าคลั่ง
เศรษฐกิจที่โต ก็ยังกระจุกไม่กระจาย

อย่างนี้จะเรียกว่า "พอเหตุการณ์ของประเทศชาติจะไปดี ก็หาเรื่องทำให้มันวุ่นเข้าไว้" ได้จริงหรือฮะ?

* * *

กูเห็นด้วยและสนับสนุนเต็มที่ที่สาธารณชนจะติดตามศึกษาและวิพากษ์นโยบายด้านพลังงานของไทย

แต่ถ้าเป้าหมายการเปิดโปง ปตท. เพื่อเขย่าเครือข่ายทักษิณ กูว่างานนี้ได้ผลผิดเป้าไปอย่างชนิดตรงข้ามกันเลย

เพราะมันกลายเป็นการเขย่ากลุ่มผลประโยชน์ที่แอบอิงอยู่เบื้องหลังราชบัลลังก์มายาวนานซะมากกว่านะ

ต้องขอบคุณคนเปิดประเด็น

อ้อ ฝากทำข้อมูลวิถีการสร้างความรำรวยของสำนักงานทรัพย์สินฯ และรณรงค์ทวงคืนสำนักงานทรัพย์สินฯ ให้มาอยู่ในการดูแลของสาธารณชนสักทีก็ดีนะ กูจะแชร์และจะเชียร์เต็มที่เลย


9 มี.ค. 2013

มีคนไทยจำนวนหนึ่งไปเขียนขู่ฆ่าที่ภาพภรรยาและลูกชายวัยไม่กี่เดือนของแอนดรูว์ แมกเกรเกอร์ มาร์แชล Andrew MacGregor Marshall

คนไทยคลั่งกันได้อย่างน่าสะอิดสะเอียน ไม่รู้จักยั้งคิดสักนิดว่านั่นคือภาพแม่และเด็กเพิ่งคลอดไม่นาน

จะโต้กับแอนดรูว์ ก็โต้ด้วยเหตุผลซิวะ อย่าใช้สันดานเลวยิ่งกว่าหมาเสียชาติเกิดแบบนี้ มันน่าอดสูและน่าละอายใจจริงๆ

ขอด่าด้วยคนในฐานะที่กูก็เป็นคนไทยคนหนึ่ง แม้จะมีคนไทยกลุ่มหนึ่งที่ยึดโยงความเป็นไทยไว้ในพวกตัวเองจะขับไล่ไสส่งกูยังไงก็ตาม แต่ก็ก็ปฏิเสธสัญชาติเกิด ปฏิเสธความเป็นคนไทยไม่ได้ และไม่คิดปฏิเสธความเป็นคนไทยด้วย

และอีกอย่างนะ ขอบอกไว้เลยว่ากูทำงานเพื่อประเทศไทย เพื่อคนไทยมากกว่าพวกคลั่งมากมายนัก

คลั่งไล่กัดคนวิจารณ์เจ้าแบบป่าเถื่อนแบบนี้ ยิ่งทำลายภาพลักษณ์ของเจ้า ที่พวกมึงอ้างรักนักรักหนาซะมากกว่านะ ขอบอก!

How sad that some Thais are writing death threats in comments on photographs of my wife and son. Shame on them. Andrew MacGregor Marshall 
* * *

จากปรีดีถึงทักษิณและยิ่งลักษณ์


ถ้าเรียนรู้จากบทเรียนท่านปรีดีก็คงจะรู้ว่า จะต้องถ่วงดุลย์อำนาจเจ้าด้วยประชาชน

ไม่ใช้อวยเจ้าอย่างอลังการ และปิดปากประชาชนกันต่อไป เช่นที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ทำมาตลอดร่วมสองปีที่ผ่านมานี้

ปรับยุทธศาสตร์เถอะรัฐบาลยิ่งลักษณ์

เอาประชาชนเป็นศูนย์กลาง ไม่ใช่พระประมุขเป็นศูนย์กลาง เช่นที่เป็นอยู่นี้




"ทำให้เขาเท่าไรๆ เขาก็คว่ำเรือเรา"

"กรณีสวรรคตใครๆ ก็รู้กันทั้งเมืองว่าแกล้งผม ผมทำแสนจะดีกับพวกเจ้าเท่าไร เมื่อเจ้าฝรั่งมันทิ้งระเบิดผมก็พาไปไว้บางปะอิน เงินทองที่พวกเจ้ามีสิทธิ์ได้ผมก็เป็นผู้จัดแจง รัฐธรรมนูญที่แก้ไขกันขึ้นให้พวกเจ้ามีสิทธิ์ผมก็ทำ คุณหลวงอ้ายพวกเรานี่รวมความว่ามีกรรม ทำให้เขาเท่าไรๆ เขาก็คว่ำเรือเรา"

ปรีดี พนมยงค์
(จากคำบอกเล่าของ พลเรือตรี หลวงสังวรยุทธกิจ ถึงบทสนทนาที่แอบไปพบกับ ปรีดี ที่ลี้ภัยอยู่ในเมืองจีน)
หนังสืออนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พลเรือตรี หลวงสังวรยุทธกิจ (สังวร สุวรรณชีพ)
2516, หน้า 177

8 มี.ค. 2013

นี่คือสิ่งที่สื่อตะวันตกไม่พูดถึงฮิวโก้ ชาเวซ ผู้ล่วงลับ


- การศึกษาฟรีตั้งแต่อนุบาลจนถึงมหาวิทยาลัย
- สัดส่วนนักศึกษามหาวิทยาลัยต่อประชากรสูงเป็นอันดับห้าของโลก
- ดัชนีความสุขของประชาชนมากเป็นอันดับห้าของโลก
- ลดความยากจนลงได้ 44%
- ลดการนำเข้าอาหารลงไปได้ถึง 60%
- ลดจำนวนเด็กแรกเกิดตายไปได้ครึ่งหนึ่ง (50%)


* * *

เจอภาพนี้แล้วต้องแชร์ 

น่าชื่นชม

นี่ล่ะวิถี "กูจัดตั้งตัวเอง" ถ้ามีแบบนี้เยอะๆ มันคือพลังการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญยิ่งจริงๆ ล่ะ

เดอะเรดโพล ห่วงลูกหลาน
* * *

บทความเรื่อง "ทำไมถึงไม่รักในหลวง" ทำให้กูถูกคดี 112 โดยผู้กล่าวหาคือกระทรวง ICT ตอนนี้เท่าที่ทราบอยู่ในขั้นตอนอัยการทำสำนวนอยู่

กูจัดพิมพ์บทความนี้เป็นหนังสือเล่มเล็ก เพื่อเผยความรู้สึกจากหัวใจคนไทยคนหนึ่ง ที่ทนเห็นประชาชนถูกยิงอย่างป่าเถื่อนกลางราชประสงค์ เมื่อเมษา-พฤษภา 53 ไม่ได้ จึงลุกขึ้นมาวิจารณ์สถาบันฯ อย่างตรงไปตรงมา ไม่มีด่าหยาบคายหรือแช่งชักหักกระดูก - หนังสือที่ยังไงๆ กูก็ยืนยันว่ามันก็ไม่หมิ่นฯ แต่นั่นล่ะประเทศไทย ไม่ได้ทำอะไรก็ยังติดคุกตายกันมาแล้ว

เฮ้อ!

ก็เลยขอบอกคนที่สะสมหนังสือต้องห้ามทั้งหลายว่า กูจัดพิมพ์หนังสือนี้เอง แล้วกระจายไปที่เมืองไทย ตั้งแต่ปี 2010 (ก่อนที่มันจะเป็นหนังสือต้องห้าม) หนังสือเล่มนี้จึงกระจายขายตามร้านใต้ดินมานานแล้ว ใครที่ยังไม่มีหนังสือเล่มนี้ ถ้าเจอก็รีบซื้อเก็บฝังดินไว้เน้อ!

หรือไม่ก็อ่าน PDF ไปก่อนแล้วกัน

7 มี.ค. 2013

เฮ้อ! ได้พี่ประเวศเป็นทนายไปร่วมพูดคุยกับตำรวจและอัยการวันนี้ จึงทำให้เรื่องความกังวลที่คลุมเคลือมาสองสามเดือนกระจ่างเสียที

จากการคุยคร่าวๆ กับทนายประเวศ

เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า "แรงงานอุ้มชาติ" ไม่ได้ผิดกฎหมายหมิ่นฯ ไชโย

แต่การสอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ เพราะหนังสือเล่มนี้มีการอ้างถึงบทความ "ทำไมถึงไม่รักในหลวง" ที่มีผู้แจ้งคดีหมิ่นฯ ไว้กับตำรวจ

คนที่มีแรงงานอุ้มชาติไว้ในครอบครอง หรือจะหาซื้อไว้ในครอบครองก็ไม่ต้องวิตกกังวลนะฮะ หาซื้อหาเก็บไว้ได้เต็มที่เลย โดยเฉพาะจากการพิมพ์ครั้งแรกนี้ เพราะไม่รู้ว่าจะมีการพิมพ์ครั้งที่สองหรือไม่
* ** * * * * * 

Yeah! I am happy that 'the Labour Shouldering the Nation' is not considering to be violating the Thai LM 112 law.

The reason that IT polices are investigating people involving in the printing of this book because it has mentioned article 'Why I don't Love the King,' which has been filed as a LM 112's case against me with a police office (no detail further on since when and by who).
* ** * * * * * 

สำหรับคนที่ยังไม่เห็นหนังสือเล่มนี้ จรรยาขอเผยแพร่คำนำ "หนังสือแรงงานอุ้มชาติ" เพื่อการทำความเข้าใจถึงความเป็นมาและแรงบันดาลใจของการเขียนหนังสือเล่มนี้นะฮะ


เล่มนี้ไม่ใช่หนังสือต้องห้าม พบกับคำนำหนังสือ “แรงงานอุ้มชาติ”

คำนำ

กล่าวได้ว่านับตั้งแต่ปีปลายปี 2548 เป็นต้นมา ประเทศไทยอยู่ในภาวะชะงักงันทางการพัฒนา อันเนื่องจากความโกลาหลจากการต่อสู้เพื่อรักษาอำนาจนำในสังคมไทย ระหว่างค่ายขุนนางชนชั้นสูงกับพรรคการเมืองทุนใหม่ขวัญใจคนจน ซึ่งทั้งสองค่ายต่างก็แอบอิงบารมีแห่งสถาบันกษัตริย์ไทย ท้ายที่สุดทหารในนาม “คณะการปฏิรูปการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(คปค)” ด้วยการหนุนหลังจากขั้วชนชั้นนำเก่า ได้ทำรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลทุนใหม่ได้สำเร็จในวันที่ 19 กันยายน 2549
แม้ว่ารัฐประหารครั้งนี้จะเป็นการทำในนาม “ขจัดนักการเมืองคอรัปชั่นและปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์” ที่ประสบความสำเร็จเป็นครั้งที่ 9 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่สิ่งที่แตกต่างจากทุกครั้งที่ผ่านมาคือการตื่นตัวเรื่องประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่อง และถนนสายหลักๆ ของกรุงเทพฯ ก็ถูกครอบครองด้วยประชาชนหลากหลายสีเสื้อ เพื่อแสดงพลังทางการเมืองตามความคิดความเชื่อของตน นับตั้งแต่นั้นมา
เป็นช่วงเวลาท่ามกลางความวุ่นวายทางการเมือง วิกฤติเศรษฐกิจ และภัยธรรมชาติที่ไม่หยุดหย่อน ขณะเดียวกันประชาชนก็ต้องใจหายใจคว่ำไปกับรัฐบาล 7 คณะ (ทักษิณ, คปค., พลเอกสุรยุทธ์, สมัคร, สมชาย, อภิสิทธิ์และยิ่งลักษณ์) ที่แต่ละรัฐบาลแทบจะไม่มีเวลาทำงานกันอย่างจริงจังนอกจากแก้กฎหมายเพื่อไถ่โทษตัวเอง และ/หรือคุ้มครองตัวเองให้รอดจากอำนาจทั้งในและนอกรัฐธรรมนูญทั้งหลาย มันจึงเป็นช่วงเวลา 6 ปี ที่ปัญหาต่างๆ ของสังคมถูกดอง การเรียกร้องเรื่องการปรับปรุงกฎหมายต่างๆ หรือสวัสดิการต่างๆ ที่ดีขึ้นของประชาชนไม่สามารถขยับไปข้างหน้า
เพื่อประเทศชาติก้าวไปข้างหน้าและพัฒนาอย่างยั่งยืน ผู้เขียนขอร่วมเสนอมุมมองและบทวิเคราะห์ทางด้านแรงงานที่สะท้อนผ่านการต่อสู้ของแรงงานทั้งในเมืองและชนบท และบทวิเคราะห์ปัญหาการเมืองไทยที่เขียนตั้งแต่ต้นทศวรรษ 2540 จนถึงปัจจุบัน รวมกันทั้งสิ้น 33 เรื่อง ในหนังสือ“แรงงานอุ้มชาติ” เล่มนี้
ด้วยหวังว่าบทความเหล่านี้ อาจจจะช่วยบอกเล่าเรื่องราวแห่งความทุกข์ยากและการต่อสู้ของคนชั้นล่างในสังคม คนที่อยู่ชายขอบ คนที่เปรียบดังมือที่โอบอุ้มชาติ ที่ชาติไม่เคยมองเห็น หรือไม่เคยใส่ใจใยดีต่อพวกเขาอย่างแท้จริง และด้วยหวังว่าเรื่องราวของพวกเขาจะสามารถสั่นสะเทือนหัวใจของผู้มีอำนาจในสังคมไทยได้บ้าง โดยเฉพาะต่อนักการเมืองที่พวกเขาเลือกเข้ามาบริหารบ้านเมือง
คนไทยทุกข์มายาวนานเกินพอแล้ว มันถึงเวลาที่การเมืองไทยจะมุ่งแก้ปัญหาโครงสร้างสังคม ที่ดำรงตนอยู่บนการกดขี่ขูดรีดชนชั้นล่างมายาวนาน มันจำต้องเร่งหามาตรการเพื่อลดช่องว่างแห่งรายได้และวิถีชีวิตของประชาชนคนส่วนใหญ่กับอภิสิทธิชนในสังคมอย่างเร่งด่วน
ทั้งนี้ผู้เขียนได้ปรับปรุง แก้ไขคำผิดและความคลาดเคลื่อนที่เคยมีเนื่องด้วยพื้นที่จำกัดจึงได้ตัดทอนประเด็นที่ไมร่วมสมัยออกไปบ้าง แม้ว่าบางบทความได้ถูกเขียนไว้กว่าสิบปี แต่ผู้เขียนเห็นว่าเนื้อหายังสะท้อนปัญหาของปัจจุบัน จึงนำมารวมไว้ด้วยเช่นกัน
หนังสือเล่มหนานี้ได้แบ่งออกเป็น 3 ภาค คือ
“แรงงานอุ้มทุน” เรือ่งราวการต่อสู้อันหนักหน่วงเพื่อสิทธิตามกฎหมายและสิทธิการรวมตัวต่อรองของแรงงานกับนายทุนไทยและนายทุนต่างชาติ
“คนชนบทอุ้มประเทศ” การต่อสู้ของแรงงานชนบทและแรงงานต่างชาติ ที่หลงติดอยู่ในตลาดค้าฝันของนักค้าแรงงานข้ามประเทศที่พากันหลั่งไหลไปล่อหลอกพวกเขายังหมู่บ้านในชนบท โดยเฉพาะที่ภาคอีสานและภาคเหนือของไทย
“ประชาธิปไตยใต้กระบอกปืน” การขุดค้นสู่แกนใจกลางปัญหาที่สั่งสมมาตลอดประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของไทย ซึ่งเผยโฉมนับตั้งแต่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549
จำเป็นต้องกล่าวถึงยิ่งว่า ตลอดช่วงเวลากว่ายี่สิบปีของการร่วมต่อสู้เพื่อสังคมที่เป็นธรรมและเท่าเทียม ผู้เขียนประจักษ์ถึงความสำคัญแห่งพลังสมานฉันท์ของคนที่ถูกกดขี่และถูกเอารัดเอาเปรียบ สู้เพื่อสิทธิการรวมตัวและสิทธิการเจรจาต่อรองร่วม อันเป็นหัวใจของภาคประชาชนไม่ใช่เฉพาะกับนายทุนเท่านั้น แต่กับรัฐบาลและผู้มีอำนาจตัดสินทางนโยบายของประเทศด้วย
ผู้เขียนตระหนักถึงความจำเป็นที่ต้องลุกขึ้นสู้เพื่อยืนหยัดในสิทธิและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ และการร่วมสมานฉันท์กับประชาชนมากมายทั่วทุกมุมโลก ที่ต่างก็ต่อสู้เพื่อให้หลุดพ้นไปจากวัฏจักรทาสแห่งความ “โง่ จน เจ็บ” รวมทั้งเพื่อร่วมพัฒนาการเมืองให้ปลอดการคอรัปชั่นและเคารพสิทธิและเสียงคนส่วนใหญ่ในสังคมอย่างแท้จริง เช่นเดียวกับพวกเราในประเทศไทย
มิตรภาพและการสมานฉันท์คือพลังสำคัญ ที่ทำให้ผู้เขียนสามารถทำงานโดยไม่ย่อท้อ ผู้เขียนจดจำ ระลึกถึงและรู้สึกขอบคุณไม่เคยลืมต่อการได้ร่วมต่อส้กู ับนักสหภาพแรงงาน โดยเฉพาะหล่าคนงานผ้กูล้าหาญที่พยายามต่อสู้เพื่อสิทธิสหภาพแรงงานและเรียกร้องค่าชดเชยเมื่อนายจ้างปิดตัวหนีความรับผิดชอบ ทั้งสหภาพเสรีปาลโก้, อีเดนการ์เมนท์, ปิยะวัตน์ฟุตแวร์, มาสเตอร์ทอย, อัลฟ่าสปินนิงส์, ไทยเกรียงสิ่งทอ, พาร์การ์เมนท์, แอโร่การ์เมนต์, เหรียญไทย, อัลมอนด์ , เบดแอนด์บาธ, ไลท์เฮ้าท์, ไก่สดเซนทาโก, MKS, พับบลิซิส, มิกาซ่า, มอลเทน, โซนี่, บีวี ไดมอนด์, สยามสตาร์, มิกซ์ อิเลคทรอนิกส์, ไทรอัมพ์ ฯลฯ และอีกมากมายที่ไม่สามารถเอ่ยนามได้หมด
การทำงานตลอด 20 ปีที่ผานมาของผู้เขียน จึงมากมายด้วยความทรงจำ ทั้งงดงามและเจ็บปวดจากการต่อสู้ที่ยากลำบากแสนสาหัส ในความเอื้ออาทรและเกื้อกูลที่ได้รับในทุกหนแห่ง มิตรภาพบนคราบน้ำตาและเสียงหัวเราะ ที่ประเมินมูลค่าแห่งทรัพย์สินเงินทองไม่ได้
ขอบคุณการทุ่มเทของอดีตผู้ร่วมงานในโครงการรณรงค์เพื่อแรงงานไทยทุกคนโดยเฉพาะสุธาสินี แก้วเหล็กไหล, เนาวรัตน์ เสือสอาดและเสน่ห์ หงษ์ทอง ที่ทำงานอย่างหนักเพื่อร่วมกันจัดตั้งองค์กร ขอบคุณทีมงาน TLC ทั้งอดีตและปัจจุบัน Miriam Joffe-Block, Sam Hummel, สุนทร บุญยอด, ศราวุธ ใจหลัก, ประพาส แสนสิงห์, เปรมใจ ใจกล้า, Dennis Arnold, อุษาวดี ชาวแพร่, นุ่มนวล ยัพราช, พรพรรณ มังกิตะ, ชุติมา ไชยหงส์, จารุวรัฒน์ เกยูรวรรณ, มุกดาลักษณ์ ภาษี, พัชณีย์ คำหนัก, วิทยากร บุญเรือง, ธนากร สัมมาเสโก และป้าทองไสที่ดูแลสำนักงานมาหลายปี
การได้เรียนมหาวิทยาลัยคือสมบัติที่สำคัญที่สุดที่ครอบครัวได้มอบให้กับผู้เขียน ขอบคุณพ่อแม่และพี่น้องทุกคน และก็ต้องขอถือโอกาสนี้กล่าวขอบคุณอาจารย์อู่ทอง ประศาสน์วินิจฉัยและอาจารย์ทรงยศ แววหงษ์ แห่งภาควิชาสังคมศาสตร์และการพัฒนา คณะอักษรศาสตร์ และอาจารย์บัญญัติ เรืองศรี คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ที่ทำให้การศึกษาในรอบรั้วมหาวิทยาลัยไม่ใช่เพียงแค่กระดาษแผ่นเดียว และจุดประกายให้ผู้เขียนมุ่งมั่นทำงานเพื่อความเท่าเทียมกันในสังคม
ขอบคุณเจ้าของภาพประกอบทุกท่าน ขอบคุณอาสาสมัครทุกคนที่ช่วยทำให้หนังสือออกมาเป็นรูปเล่มจนสำเร็จและ โดยเฉพาะน้ำเพชร เชื้อชม ที่ออกแบบหนังสือเล่มนี้จนออกมาสวยงาม Mars ที่ให้คำแนะนำ อัจฉรา ด่านพิทักษ์และประภากร วงศ์รัตนาวิน ต่อความอุตสาหะและอดทนในการตรวจทานภาษา รวมทั้งขอขอบคุณอย่างยิ่งต่อสหายแรงงาน จิตรา คชเดช, สมยศ พฤกษาเกษมสุข, ขวัญระวี วังอุดม และ Richard Thompson Coon สำหรับมิตรภาพและกำลังใจที่มีให้ตลอดมาแห่งช่วงการลี้ภัยทางการเมือง รวมทั้งมืออีกหลายสิบคู่ที่หยิบยื่นมาช่วยเหลือดูแลทั้งจากเมืองไทยและจากต่างแดนในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
ถ้าหนังสือเล่มนี้ทำให้ท่านผู้อ่านเห็นความสำคัญของการสร้างอำนาจต่อรองร่วมกันระดับชาติ – ทั้งในหมู่แรงแรงงานในทุกอุตสาหกรรมทั้งหญิงชายที่ทำงานในโรงงานห้องแถวทั่วเมืองใหญ่ ทุกผู้คนในทุกสาขาอาชีพโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาวนาชาวไร่ที่ทำงานกลางไร่นาในชนบท – ก็ถือเป็นความสำเร็จยิ่งแล้ว
จรรยา ยิ้มประเสริฐ


* * *

เพราะมาตรา 112 ถูกโดยในหมวด "ความมั่นคงของรัฐ" ทำให้คนที่ถูกมาตรา 112 จึงถือเป็นบุคคลอันตราย ต้องคดีร้ายแรง เป็นผู้ที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ และมักจะไม่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัวและถูกตัดสินจำคุกร้ายแรงกว่าคดีฆ่าคนตาย

ทั้งนี้เพราะวิถีคิดที่ที่โยงเอาสถาบันกษัตริย์เข้ากับความมั่นคงของชาติ - แต่ในขณะที่ไม่โยงสถาบันศาสนา และสถาบันการเมือง เข้าอยู่ในข่ายความมั่นคงต่อรัฐในบริบททางกฎหมายดุจเดียวกับสถาบันกษัติรย์

คนที่ถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 จึงถูกจัดอยู่ในคดีร้ายแรงเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐไปด้วย

ยกเลิกกฎหมายปิดปาก
ยกเลิกมาตรา 112
และปฏิรูปกฎหมายหมิ่นประมาททุกมาตรา!!!!