14 มี.ค. 2013

การศึกษาควรทำให้เด็กเติบโตเป็นคนที่รู้จักรักเพื่อนมนุษย์ สอนให้รู้กว้างและเปิดใจกว้าง ทั้งยังส่งเสริมทักษะในการสื่อสารกับมนุษย์คนอื่นๆ ให้มากขึ้น

ไม่ใช่สอนให้รักแต่ในหลวง ตายเพื่อในหลวง และไล่ทุกคนที่ไม่รักในหลวงออกจากประเทศ เช่นการศึกษาในประเทศทุยแลนด์อัดฉีดกันตั้งแต่อนุบาลยันมหาวิทยาลัย

ไม่แปลกที่คนที่เข้าใจสังคมจะไม่อยากให้ลูกได้รับการศึกษาในระบบการเรียนการสอนของไทยใต้ร่มพระโพธิสัมภาร
* * * * * * * * *

มันง่ายเนาะที่จะลุกมาทำตัวเป็น "ตำรวจวัฒนธรรมความดี" แนะนำกันด้วยสูตรเดิมๆ โทษในสิ่งที่โทษได้ "โทษเด็ก" และ "โทษเด็กที่ไร้จิตสำนึก"

แทนที่จะพูดในมิติสังคมที่กว้าง นั่นก็คือ การศึกษาที่ไม่มุ่งส่งเสริมเสรีภาพ และไม่สร้าง motivation แรงบันดาลใจ ในสังคมที่ปิดกั้นและไม่ให้การศึกษาเรื่องเซ็กส์ที่ถูกต้อง รวมทั้งการไม่เปิดให้ทำแท้งเสรีด้วย

โทษแต่เด็กหญิง ที่มี "ครรภ์" ป่องขึ้นมาได้ แต่ไม่ได้ดูจิตสำนึกและความเข้าใจเรื่องเพศของเด็กชายที่ต้องร่วมรับผิดชอบ และมีเซ็กส์ด้วยการรู้จักป้องกัน ปล่อยน้ำเชื้ออย่างไร้ผิดชอบ ทิ้งภาระและชะตากรรมให้เด็กหญิงท้องก่อนวัย และชีวิตที่ถูกประนามหรือถูกทำลาย

เรื่องการท้องวัยเด็กมันก็มีกันในเกือบทุกประเทศล่ะ แต่เขาทำแท้งได้ และเดินหน้าได้ ได้บทเรียนชีวิตและกลับสู่การเรียนอย่างเข้าใจชีวิตมากขึ้น

แต่ในสังคมตอแหลที่มันง่ายที่จะโทษความร่านและความใจแตก ไร้จิตสำนึกของเด็กหญิง และอ้างจริยธรรม คุณธรรม หลักศาสนา ไม่อนุญาตให้ทำแท้งได้เสรี และเหยียบย่ำและเยาะเย้ย จนถึงอับอายขายขี้หน้า เพราะพฤติกรรมเพศของเด็กหญิง

ขอบอกนะ กูทุเรศผู้ใหญ่ที่คิดได้แค่ "เด็กไร้จิตสำนึก ร่าน" แค่นี้จริงๆ ว่ะ

มติชน "กาละแมร์" สุดทน! จวก "วัยรุ่นไทยเก่งเกิ๊น" ทั้งท้องในวัยเรียน ทั้งถูกเทคโนโลยีครอบงำ"


* * * * * * * * *
ต้นตอปัญหาหนึ่งของเมืองไทยเลย ก็คือ ระบบการศึกษาไทยนี่ล่ะ ที่มันห่วยจริงๆ

ทั้งควบคุม บังคับเรื่องกฎระเบียบมากมาย ตั้งแต่เสื้อผ้า ทรงผม การยืนตรงเคารพธงชาติ ตั้งแต่อนุบาลจนปริญญาเอก - ห้ามคิด ห้ามสร้างสรรค์กันตั้งแต่ก่อนออกจากบ้านแล้ว

ทั้งเรื่องการใช้เวลา 1 ใน 3 แห่งการเรียนไปกับการคิดกิจกรรม หรือช่วยครูคิดกิจกรรม เรื่องสดุดีพระประมุขของประเทศ หรือทำโครงการต่างๆ ที่เพื่อสดุดี หรือถ้าไม่สดุดีก็อย่าวิจารณ์

และใช้เวลาอีก 1 ใน 3 ในการแข่งขัน ติวตัวเองเพื่อการแข่งขัน และเตรียมสอบเข้าเรียนในระดับที่สูงขึ้น

ส่วนเวลาอีก 1 ใน 3 ก็ใช้ให้มันหมดๆ ไปในห้องเรียนและเตรียมการสอบให้ผ่าน

กูว่าเด็กไทยเก่งนะ ที่ทำตัวให้รอดมาได้จากการศึกษาและระบบการศึกษาที่คุมเข้ม ไร้เสรีภาพ ไร้จินตนาการ ไม่ส่งเสริมการเสรีภาพในการแสดงออก หรือการสร้างสรรค์อย่างไร้ขอบเขตเช่นนี้

* * *

เรื่องท้องก่อนวัยหรือคลอดก่อนวัยไม่ใช่ปัญหาเฉพาะที่ประเทศไทย

แต่การไม่สามารถจัดการกับปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ด้วยความโอบอุ้ม และสร้างโอกาสให้หญิงเหล่านี้ คือปัญหาของประเทศไทย คือสิ่งที่ประเทศไทยไม่ได้ทำ

* * * * * * * * *

กูนึกถึงตัวเลข เด็กไทย คลอดก่อนวัยวันละ 370 คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ผู้ใหญ่ "ดี๊ดี" และ "แนดี" ดิ้นกันตอนนี้ว่ารับไม่ด๊าย รับไม่ได้ เสียชื่อเสียงประเทศ

กูคิดว่าถ้ารัฐบาลคิดถึงแม่เด็ก 370 คน/วัน และมองเธอเป็นอนาคตที่สำคัญของชาติ ... แทนที่จะประนาม ปรักปรำ ประจาน ซ้ำเติม ซึ่งก็ยิ่งทำให้ไทยเสียอนาคตของชาติวันละ 370 คนไป และเสียทรัพยากรหลายแสนบาทต่อคนที่ทุ่มไปทั้งครอบครัวและงบประมาณจนกว่าจะมาถึงอายุเหล่านี้ ...

รัฐบาลจึงควรจะคิดจัดการปัญหานี้อย่างสร้างสรรค์

อาทิ เปิดคลีนิกรับปรึกษาเรื่องท้องก่อนวัยในทุกจังหวัดโดยนักสังคมสงเคราะห์และนักจิตวิทยาที่เข้าใจ ไม่เอาวัฒนธรรมความดีงามมาเทศนาสั่งสอนเด็ก ... แต่เพื่อฟังและให้คำปรึกษา และถ้าเด็กประสงค์จะทำแท้ง เพื่อทำให้ไม่ได้รับผลกระทบต่อการเรียนหรือต้องทนกับการอับอาย ก็จัดการช่วยประสานเรื่องนี้ให้ และเก็บข้อมุลเป็นความลับ

เราก็จะแก้ปัญหาเด็กคลอดก่อนวัยวันละ 370 คนได้เพียงในเวลาไม่กี่ปี และเราก็จะมีผู้หญิงที่มีคุณภาพและความสุขวันละ 370 คนกลับคืนมาสู่สังคม

อย่าทำให้เด็กหญิงวันละ 370 คนเป็นอาชญากรรม ดูแลพวกเธออย่างมนุษย์ที่เป็นคนในอนาคตที่มีศักยภาพ