ไม่รักเจ้าไม่ใช่เรื่องแปลก
ไม่รักปรีดีไม่ใช่เรื่องแปลก
ไม่รักทักษิณไม่ใช่เรื่องแปลก
แม้แต่ไม่รักพ่อ ไม่รักแม่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
ถ้าลูกเหล่านั้นถูกพ่อแม่ทำร้ายรังแก
สังคมควรจะเลิกบังคับ เลิกยัดเยียด ...
ทั้งทางตรงและทางอ้อม
ให้คนต้องรักคนโน้นคนนี้ ...
เพราะ... เพราะ...และเพราะ...
บทเรียนจากครอบครัว
บทเรียนจากศาสนา
บทเรียนจากสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ
บทเรียนจากสภาพแวดล้อมทางสังคม
บทเรียนจากการเรียนในห้องเรียน
บทเรียนจากการเรียนรู้ชีวิตจากการทำงาน
บทเรียนจากการเรียนรู้ชีวิตจากต่างแดน
หรือบทเรียนจากที่ไหนก็ตาม
ทำให้คนแตกต่างกันได้
การรัก หรือไม่รัก จึงเป็นเรื่องปัจเจกบุคคล!!!!
ขยายผลจากหลังไมค์เมื่อเช้านี้
จะจัดการอย่างไรกับคนคลั่งรักใครมากๆ ดี?
ทั้งคลั่งรักเจ้า คลั่งรักทักษิณ คลั่งรักยิ่งลักษณ์ คลั่งรักแกนนำ คลั่งรักนักร้อง คลั่งรักฟ้าหญิง หรือคลั่งรัก อ.สมศักดิ์ (พูดถึงด้วย เดี่ยวจะหาว่าลำเอียง) หรือคลั่งใครก็ตาม (แต่อย่ามาคลั่งกูนะ กูกลัวดูแลความคลั่งหรือความรัก
ของมึงไม่ได้ อิ อิ)
อืม ... อืม ...
จริงๆ มันก็จัดการไม่ยากหรอก
ถ้าสังคมและรัฐบาลสร้างความเข้าใจให้คนในชาตินั้นสามารถอยู่กันได้โดยเคารพความแตกต่างและรู้จักกฎกติกาแห่งสิทธิมนุษยชน
(แต่แม่งนะประเทศไทย คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนหาเหวแม่งไม่รู้จักคำและหลักการด้าน "สิทธิมนุษยชน" ใดๆ เลย... เช็งเป็ด เซ็งห่าน ฉิบหายเลย)
แต่ .. แต่...
การจะทำให้การคลั่งรักเหล่านั้นไม่เป็นภัยกับคนคิดต่าง
ไม่เป็นภัยกับคนประกาศไม่รักใคร
มันก็ยังมีทางจัดการได้
ทั้งนี้ต้องมีคนในสังคมจำนวนหนึ่งที่มากพอสมควร ... ที่เป็นคนมีเหตุผล
จะต้องมีสื่อจำนวนหนึ่ง ทีทำหน้าที่อย่างมีเหตุผล
และที่สำคัญ ...ต้องมีรัฐบาลที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางที่มีเหตุผลและไม่เลือกปฏิบัติ
สำหรับรัฐบาล
เพื่อแก้ปัญหานี้อย่างมีเหตุผลเป็นวิทยาศาสตร์ไม่ใช่พึ่งไสยศาสตร์
รัฐต้องเริ่มสร้างมาตรฐานที่รับรองสิทธเสรีภาพประชาชน
ต้องสร้างรัฐธรรมนูญที่รับประกันและคุ้มครอง สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคระหว่างประชาชน
สร้างหลักประกันทางกระบวนการยุติธรรมว่าจะไม่หลายมาตรฐานให้ประชาชนเชื่อถือและวางใจได้
วางกฎระเบียบและวินัยอย่างเคร่งครัดต่อเจ้าหน้าที่รัฐในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลประชาชนอย่างไม่เลือกปฏิบัติ
ต้องพยายามสลายวิถีอภิสิทธิชนมากชนชั้นในทางกฎหมายลงให้มากที่สุด (ในทางปฏิบัติคงต้องใช้เวลานานกว่าจะสลายได้)
เมื่อระบบกฎหมาย และคนกลางมีเหตุผลและไม่มีหลายมาตรฐาน
จะคลั่งรัก คลั่งเกลียด ก็คลั่งไปเหอะ
จะรักใครมากมายตายแทนได้ก็รักไปเหอะ
จะเกลียดใครจนแช่งชักหักกระดูกให้ตายทุกวันในใจก็ทำไปเหอะ
ตราบใดที่ไม่รุกมาทำร้ายกัน หรือใช้กฎหมายทำร้ายกัน หรือใช้อาวุธปืนสังหารกัน
สำหรับเมืองไทย
ก็ขอมีความหวังว่า...
สถานการณ์จะผลักให้คนต้องมีเหตุผลและยอมรับความแตกต่างกันได้มากขึ้น
มิฉะนั้นเราก็จะต้องเดินตามเส้นทางที่ต้อง "นองเลือดซะก่อน ตายกันสักพัน สักหมื่นคนก่อน" กว่าที่คนในชาติ จะมีอนุสาวรีย์และหลักฐานแห่งความเจ็บปวด ไว้ตอกย้ำให้ผู้คนต้องรู้สึกเจ็บปวดจนสำนึกได้ และลุกขึ้นมาใช้เหตุผลแทนใช้ความรู้สึกนึกคิด "คิดไปเอง"
ถ้าคิดได้ ศึกษาบทเรียนจากหลายประเทศ
เราไม่ต้องปล่อยให้ตาย "ร้อยคน" "พันคน" หรือ "หมื่นคน" หรอก
จริงๆ เราไม่ควรปล่อยให้มีคนตายแม้แต่คนเดียว
เรามาหัดเริ่มต้นอยู่ร่วมกันบนความแตกต่าง หรือบนความคิดต่างได้
ตั้งแต่บัดนี้กันเถิด
ไม่รักปรีดีไม่ใช่เรื่องแปลก
ไม่รักทักษิณไม่ใช่เรื่องแปลก
แม้แต่ไม่รักพ่อ ไม่รักแม่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
ถ้าลูกเหล่านั้นถูกพ่อแม่ทำร้ายรังแก
สังคมควรจะเลิกบังคับ เลิกยัดเยียด ...
ทั้งทางตรงและทางอ้อม
ให้คนต้องรักคนโน้นคนนี้ ...
เพราะ... เพราะ...และเพราะ...
บทเรียนจากครอบครัว
บทเรียนจากศาสนา
บทเรียนจากสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ
บทเรียนจากสภาพแวดล้อมทางสังคม
บทเรียนจากการเรียนในห้องเรียน
บทเรียนจากการเรียนรู้ชีวิตจากการทำงาน
บทเรียนจากการเรียนรู้ชีวิตจากต่างแดน
หรือบทเรียนจากที่ไหนก็ตาม
ทำให้คนแตกต่างกันได้
การรัก หรือไม่รัก จึงเป็นเรื่องปัจเจกบุคคล!!!!
* * *
ขยายผลจากหลังไมค์เมื่อเช้านี้
จะจัดการอย่างไรกับคนคลั่งรักใครมากๆ ดี?
ทั้งคลั่งรักเจ้า คลั่งรักทักษิณ คลั่งรักยิ่งลักษณ์ คลั่งรักแกนนำ คลั่งรักนักร้อง คลั่งรักฟ้าหญิง หรือคลั่งรัก อ.สมศักดิ์ (พูดถึงด้วย เดี่ยวจะหาว่าลำเอียง) หรือคลั่งใครก็ตาม (แต่อย่ามาคลั่งกูนะ กูกลัวดูแลความคลั่งหรือความรัก
ของมึงไม่ได้ อิ อิ)
อืม ... อืม ...
จริงๆ มันก็จัดการไม่ยากหรอก
ถ้าสังคมและรัฐบาลสร้างความเข้าใจให้คนในชาตินั้นสามารถอยู่กันได้โดยเคารพความแตกต่างและรู้จักกฎกติกาแห่งสิทธิมนุษยชน
(แต่แม่งนะประเทศไทย คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนหาเหวแม่งไม่รู้จักคำและหลักการด้าน "สิทธิมนุษยชน" ใดๆ เลย... เช็งเป็ด เซ็งห่าน ฉิบหายเลย)
แต่ .. แต่...
การจะทำให้การคลั่งรักเหล่านั้นไม่เป็นภัยกับคนคิดต่าง
ไม่เป็นภัยกับคนประกาศไม่รักใคร
มันก็ยังมีทางจัดการได้
ทั้งนี้ต้องมีคนในสังคมจำนวนหนึ่งที่มากพอสมควร ... ที่เป็นคนมีเหตุผล
จะต้องมีสื่อจำนวนหนึ่ง ทีทำหน้าที่อย่างมีเหตุผล
และที่สำคัญ ...ต้องมีรัฐบาลที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางที่มีเหตุผลและไม่เลือกปฏิบัติ
สำหรับรัฐบาล
เพื่อแก้ปัญหานี้อย่างมีเหตุผลเป็นวิทยาศาสตร์ไม่ใช่พึ่งไสยศาสตร์
รัฐต้องเริ่มสร้างมาตรฐานที่รับรองสิทธเสรีภาพประชาชน
ต้องสร้างรัฐธรรมนูญที่รับประกันและคุ้มครอง สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคระหว่างประชาชน
สร้างหลักประกันทางกระบวนการยุติธรรมว่าจะไม่หลายมาตรฐานให้ประชาชนเชื่อถือและวางใจได้
วางกฎระเบียบและวินัยอย่างเคร่งครัดต่อเจ้าหน้าที่รัฐในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลประชาชนอย่างไม่เลือกปฏิบัติ
ต้องพยายามสลายวิถีอภิสิทธิชนมากชนชั้นในทางกฎหมายลงให้มากที่สุด (ในทางปฏิบัติคงต้องใช้เวลานานกว่าจะสลายได้)
เมื่อระบบกฎหมาย และคนกลางมีเหตุผลและไม่มีหลายมาตรฐาน
จะคลั่งรัก คลั่งเกลียด ก็คลั่งไปเหอะ
จะรักใครมากมายตายแทนได้ก็รักไปเหอะ
จะเกลียดใครจนแช่งชักหักกระดูกให้ตายทุกวันในใจก็ทำไปเหอะ
ตราบใดที่ไม่รุกมาทำร้ายกัน หรือใช้กฎหมายทำร้ายกัน หรือใช้อาวุธปืนสังหารกัน
สำหรับเมืองไทย
ก็ขอมีความหวังว่า...
สถานการณ์จะผลักให้คนต้องมีเหตุผลและยอมรับความแตกต่างกันได้มากขึ้น
มิฉะนั้นเราก็จะต้องเดินตามเส้นทางที่ต้อง "นองเลือดซะก่อน ตายกันสักพัน สักหมื่นคนก่อน" กว่าที่คนในชาติ จะมีอนุสาวรีย์และหลักฐานแห่งความเจ็บปวด ไว้ตอกย้ำให้ผู้คนต้องรู้สึกเจ็บปวดจนสำนึกได้ และลุกขึ้นมาใช้เหตุผลแทนใช้ความรู้สึกนึกคิด "คิดไปเอง"
ถ้าคิดได้ ศึกษาบทเรียนจากหลายประเทศ
เราไม่ต้องปล่อยให้ตาย "ร้อยคน" "พันคน" หรือ "หมื่นคน" หรอก
จริงๆ เราไม่ควรปล่อยให้มีคนตายแม้แต่คนเดียว
เรามาหัดเริ่มต้นอยู่ร่วมกันบนความแตกต่าง หรือบนความคิดต่างได้
ตั้งแต่บัดนี้กันเถิด