31 ก.ค. 13

วันนี้ขอแรงอีกวัน

ว่าด้วยเรื่องเพลงชาติไทย ...
อย่าว่าแต่ให้ยืนเคารพธงชาติวันละสองหนเช้าเย็นเลย
ตอนนี้แม้แต่จะร้องเพลงชาติไทยก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่
รู้สึกว่ามันไม่จริงเสียแล้ว

ประเด็นที่ถกเถียงกันทางการเมือง ณ ขณะนี้ ได้มีการถกเถียงและเขียนถึงไว้มากมายตั้งแต่ปี 2012 นั่นแล้ว

อ่านหนังสือ facebook 2012 http://junyayimprasert.blogspot.fi/2013/06/facebook-2012.html


* * *

จะเรียกว่าเราเป็นไทยได้ยังไงในปัจจุบัน 
เมื่อพฤติกรรมคนไทยยังคงเป็นแบบทาส
เหมือนเช่นที่คนต่างชาติบรรยายถึงในปี 1691
หรือเมื่อกว่า 300 ปีที่ผ่านมา


Prostration and Crawling in Siam then, and Thailand now....
(หนึ่ง)
“ลักษณะสำคัญ ที่สะท้อนการสยบลงเป็น
‘ทาส’ ของคนสยาม
อยู่ตรงที่พวกเขา ‘ไม่กล้า’
แม้แต่จะพูดถึงเหตุการณ์เรื่องราวใด ในบ้านเมืองของตัวเอง”

ข้อสังเกตของ ซิมง เดอลาลูแบร์ (Simon de La Loubère: )
ราชอาณาจักรสยาม ค.ศ. 1691
(พ.ศ. 2234 เขียนไว้ 422 ปีมาแล้ว

(สอง)
หนังสือ เล่มนี้น่าอ่าน และต้องอ่าน สำหรับ นักอ่านๆๆๆ
มีแปลเป็นไทยแล้ว "จดหมายเหตุลาลูแบร์" สันต์ ท. โกมลบุตร

(สาม)
ดังนั้น "เขา/เธอ" จึง กราบ และ คลาน
ทั้งๆ ที่ รัชกาลที่ ๕ เมื่อขึ้นครองราช ครั้งที่ ๒ ชนมายุ ๒๐ พรรษา
ทรงประกาศ ยกเลิกกราบไหว้ หมอบคลาน เมื่อปี ๒๔๑๖ หรือ ๑๔๐ ปี มาแล้ว ก็ตาม
cK@NoProstrationNoCrawling......................


30 ก.ค. 13

ต่ออินเตอร์เนตอีกครั้งในบ้านสหายที่มาอยู่ชั่วคราว ระหว่างตัดสินใจว่าจะทำอะไรต่อ และจะไปไหนต่อ

รู้สึกว่าเพียงหนึ่งสัปดาห์ที่ห่างหาย มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายในเมืองไทย

เอ้า ยังไงก็รับมือและวิพากษ์ทุกเรื่องราวอย่างมีสติและเหตุผล โดยไม่เอาอารมณ์และตัวเองเป็นใหญ่กันเกินไปก็แล้วกันเน้อ!


3 ปีกับที่สตูดิโอแห่งนี้
ที่ใช้ทั้งเป็นที่พำนักอาศัย
และเขียนความคิด ร้อยเรียงเหตุผล
เพื่อร่วมเป็นหนึ่งในผู้คนที่ต้องการให้ไทยก้าวพ้นไปจากเกมแห่งอำนาจชนชั้นสูง
และก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างสง่าผ่าเผย ...

โดยที่ผู้คนทีอาศัยอยู่ในแหลมทองสุวรรณภูมิ
ในดินแดนที่มีคนห้ามแตะต้องเยอะมากมายเหลือเกิน
ไม่ต้องลดทอนความเป็นมนุษย์
ไม่ต้องประนีประนอมกับทุกหลักการเพื่อตัวบุคคลที่รัก
ไม่ต้องมีชีวิตอยู่ด้วยการเชลียร์หรือก้มกราบผู้มีอำนาจและ เทวดา
รวมทั้งทุกคนที่ห้อมล้อมเทวดา และผู้มีอำนาจในบ้านเมือง
กราบจนแม้กระทั่งหมาของพวกเขา

3 ปีแห่งการระลึกอยู่เสมอว่าลำบากกายไม่เป็นไร
เพื่ออยู่ร่วมชะตากรรมกับพี่น้อง112 ในคุก
และร่วมเปล่งเสียงเรียกร้องยกเลิกมาตรา 112

3 ปีที่มีวันสิ้นสุด
และเมื่อไม่มีเงินจ่ายค่าเช่านานแรมปี
ท้ายที่สุด ก็ต้องทำใจจากสตูดิโอที่รักที่แสนเงียบสงบแห่งนี้
สตูดิโอที่ให้พื้นที่ได้เขียนดั่งใจโดยไม่ต้องกังวลเรื่องเสรีภาพ

ผ่าน 3 ปีมาได้
ผ่าน 46 ปีมาได้
การใช้ชีวิตก็ไม่ได้น่าหวาดกลัว
ชีวิตหลังจากนี้ยิ่งไม่น่าหวาดหวั่น
และก็คงเต็มไปด้วยสีสัน
การเดินทาง
การพบปะผู้คนมากขึ้น
แม้ว่าคงจะมีการย้ายที่อยู่อีกหลายครั้ง ...
ถือว่าเป็นการเรียนรู้เรื่องการใช้ชีวิตต่อไป
เตรียมตัวเตรียมใจเผชิญหน้ากับชีวิตใหม่ด้วยความยินดี

ถือว่า 3 ปีที่มุ่งมั่นผลิตงานเขียนและการทำกิจกรรมต่างๆ
เพื่อเมืองไทย จนลืมเรื่องคุณภาพชีวิตตัวเอง
โดยไม่เรียกร้องการตอบแทนบุญคุญจากใคร
เป็นการตอบแทนบุญคุณถิ่นเกิดที่พอเพียงแล้ว!

* * *

"ไม่เกี่ยวกับการเมือง?"

มันเป็นสิ่งที่น่าแปลกมากที่ตัวแทนฝ่าย "ประชาธิปไตย" หลายคนออกมาให้สัมภาษณ์ในทำนองว่า ม.112 ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ล่าสุดนาย วรชัย เหมะ ส.ส. สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ที่เป็นผู้เสนอร่างนิรโทษกรรมเข้าสู่สภาได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่ายืนยันจุดยืนนี้ว่า ม.112 ไม่เกี่ยวกับการเมือง ดังนี้:

"ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ไม่ได้นิรโทษกรรมให้กับผู้กระทำผิดตามมาตรา 112 เพราะคดีทำผิดตามมาตรา 112 ไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์ทางการเมือง" [1]

คำสัมภาษณ์นี้ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงอย่างมากเพราะ มีนักโทษคดี ม.112 จำนวนมากที่เป็นเหตุมาจากการเมืองโดยตรง เช่น

- คดี สมยศ พฤกษาเกษมสุข ถูกตัดสินจำคุก 10 ปี จากการเป็นบรรณาธิการนิตยสารวอยซ์ ออฟ ทักษิณ (Voice of Thaksin) ซึ่งเป็นนิตยสารทางการเมือง [2]

- คดี สุชาติ นาคบางไทร ถูกตัดสินจำคุก 3 ปี จากการปราศรัยทางการเมือง [3]

- คดี สุรชัย แซ่ด่าน ถูกตัดสินจำคุก 12 ปี 6 เดือน จากการปราศรัยทางการเมือง [4]

- ธันย์ฐวุฒิ ทวีวโรดมกุล หรือ หนุ่มเรดนนท์ ถูกตัดสินจำคุก 13 ปี จากการดูแลเว็ปไซต์ทางการเมือง [5]

แอดมินคิดว่า หากจะบอกว่าเรื่อง ม.112 มันช่วยยาก อุปสรรคเยอะ ช่วยไม่ได้ (ด้วยสาเตุใดก็ตาม) ก็น่าจะพูดมาตรงๆเถิด แต่อย่าพูดว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง เพราะมันไม่ตรงกับข้อเท็จจริง และอาจทำให้เกิดความสับสน เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตยในระยะยาวได้

อ้างอิง
[1] http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/politics/20130726/519430/วรชัยยันก.ม.ไม่นิรโทษฯทหาร-ผู้ทำผิดม.112.html

โห ๆ ส.ส. วรชัย เหมะ ไปอยู่ไหนมา

นักโทษ 112 เนี่ยการเมืองล้วนๆ เลย

ทั้งสี่คนในภาพนี้ ต่างก็ถูกจับเพราะจัดเวทีปราศรัยทางการเมือง เคลื่อนไหวทางการเมืองมาต่อเนื่องยาวนาน ...

อย่างน้อยสองคนที่แน่ๆ คือ อ.สุรชัย และพี่สมยศเนี่ย เรียกได้ว่า "มอบทั้งชีวิต" ให้ประชาธิปไตยไทยเลยก็ว่าได้

ส่วนสุขาติ และหนุ่ม ก็มีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย และถูกจับเพราะการเคลื่อนไหว จนพรรคของท่านเข้าคุมการเมืองนั่นล่ะ

แบบนี้เรียกว่า "ได้ดีแล้วถีบหัวส่ง" จะได้ไหมฮะท่าน?
* * *

คดีมาตรา 112 และนักโทษมาตรา 112 นี่โคตรเป็นคดีการเมืองเลย...การเมือง "ปิดปากนักการเมืองและประชาชนซะอยู่หมัด" 

เป็นเรื่องการเมืองที่รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยไม่กล้าแตะต้องมาโดยตลอด

25 ก.ค. 13

XXX หรือจงใจจะมาเกาะแดงแย่งมวลชนครับ โทษนะที่พูดตรงๆ
Junya Lek Yimprasert ใครเกาะแดงแย่งมวลชนฮะ ถ้ามวลชนแดงเป็นคนมีวุฒิภาวะ เขาแยกแยะออกกันเองว่าอยากทำอะไร ... มวลชนไม่ใช่ผักปลา จะจับใส่กระบุงไหนก็ได้นี่ฮะ

24 ก.ค. 13

ถ้าไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นของใคร ไม่ต้องการรับรู้ ไม่ต้องการตอบโต้ด้วย แล้วเลือก unfriends ไปทุกคน

เราจะเหลือเพื่อนในเฟซบุ๊คกันสักกี่คน และเราจะคุยกับคนกันได้แค่กี่คน?

การไลค์ของกูไม่ใช่การเห็นด้วยหรือชอบเท่านั้น ...
แต่เป็นการแสดงออกว่าเออกูอ่านเมนต์มึงแล้วนะ
กูขอบคุณที่มึงแสดงความคิดเห็น

กูคุยหมดล่ะ เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย
โต้กันบ้าง งอนกันบ้าง ง้อกันบ้าง
แต่ก็คุยกันต่อ ไม่บล๊อค ไม่ unfriend
นอกจากคนที่ต้องการมาด่าหาเรื่องอย่างเดียว
ซึ่งจริงๆ ก็มีไม่กีคนนะ!

แต่ใครจะ unfriend กูเพราะกูตรงๆ ไม่เอาใจใคร ไม่ประจบใคร และไม่กราบใคร ก็เชิญตามสะดวกนะฮะ

* * *

การอ้าง "รักเจ้า" มันทำให้คนอ้าง "เห็นแก่ตัวได้" และไม่ต้องมี "สำนึกรับผิดชอบ" กับสังคมหรือกับมนุษยชาติ/มนุษย์ร่วมชาติคนอื่นๆ ได้...ก็เท่านั้นเอง!

* * *

"การถ่อยเพื่อพ่อ"
"ถ่อยเพื่อปกป้องพุทธศาสนา"
ถ่อยในนามเพื่อความเป็นหนึ่งเดียว"
"ถ่อยเพื่อชาติไทย"
"ถ่อยกับนายกยิ่งลักษณ์"
"ถ่อยกับพรรคเพื่อไทย"
"ถ่อยกับคนใส่เสื้อสีแดง"
"ถ่อยกับคนไม่รักเจ้า"
"ถ่อยกับเด็กไม่เคารพผู้ใหญ่"

เหล่านี้ถือเป็นการกระทำที่จัดได้ว่า
"ถ่อยแบบน่ายกย่อง"

กสทช. ถือว่าให้ผ่านฮะ

* * *

ผู้กุมและกำกับนโยบายของประเทศไทย ทำราวกับว่าประชาชนเป็นเด็กไร้วุฒิภาวะอายุ 10 ขวบกันมาตลอดเวลา

มาดูร่างประกาศของ กสทช. นี้ ยิ่งเห็นได้ชัดเจนถึงความล้าหลังทางแนวคิดของคณะกรรมการ กสทช. ที่เงินเดือนแพงลิบสูงยิ่งกว่าเงินเดือน นรต. แต่เป็นกลุ่มคนที่คลั่งอำนาจ ไม่เคยไว้ใจใครเลยในชาตินี้ ไม่เคยให้ความเคารพสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และ ไม่เคยส่งเสริมให้ประชาชนใช้สิทธิและเสรีภาพเหล่านั้น

อ่านะ ก็ ...ประเทศนี้ไม่ใช่ของคนไทยใจเสรีนี่คะ?

“มาตรา ๓๗ ห้ามมิให้ออกอากาศรายการที่มีเนื้อหาสาระที่ก่อให้เกิดการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือมีการกระทำซึ่งเข้าลักษณะลามกอนาจาร หรือมีผลกระทบต่อการให้เกิดความเสื่อมทรามทางจิตใจหรือสุขภาพของประชาชนอย่างร้ายแรง”



* * *
อ่ะนะ ร่างของญาติก็ไม่ได้เป็นอะไรที่ "แตะต้องมิได้" กลัวอะไรกันนักหนา
อยากจะไปแสดงความเห็นและข้อเสนอแนะก็ทำได้เต็มที่

มีการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นด้วยฮะ ใครสนใจก็เข้าร่วมเวทีนี้ได้ค่ะ

เวทีเปิดรับฟังความคิดเห็นต่อร่าง พรบ.นิรโทษกรรมฉบับประชาชน นำเสนอโดยกลุ่มญาติวีรชน เม.ย. - พ.ค. ๒๕๕๓
* * *


คิด่า พรบ. นิรโทษกรรมของญาติวีรชนไม่ใช่เพื่อการ "ล้างแค้น" แต่มันเป็นเรื่อง "ปักหมุดหลักการ" กันซะทีมากกว่า ...

ประเด็นที่ทำให้เป็นประเด็น คือ การพยายามไปให้ประเด็นเรื่อง พรบ. ของญาติราวกับว่ามันเลวร้าย มัน Definite (มันเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรไม่ได้เลย) มันจะทำให้นักโทษการเมืองไม่ได้ออกจากคุก มันจะทำให้ประเด็นเรื่องการพิจารณาเรื่องนี้หลุดจากสภาฯ บลา บลา บลา

การสร้างความเป็น "ปีศาจ" ให้กับร่างของญาติ จนเกินเลย คือเกมการเมืองที่น่ากลัวมากๆ

ร่างพรบ. ญาติก็เป็นข้อเสนอหนึ่ง เช่นเดียวกับของอีก 8-9 ร่างพรบ. ทำไมทำกับว่ามันจะเป็น "สาเหตุ" ที่ทำให้ พรบ. นิรโทษกรรมจะไม่ได้เข้าสภา และทำให้นักโทษการเมืองไม่ได้ออกจากคุก

ก่อนจะโยนความผิดทั้งหมดมาที่ ร่างพรบ.ของญาติ ซึ่งไม่แฟร์มากๆ ทำไมไม่ไปดูครั้งที่ผ่านๆ มาว่า พรบ. นิรโทษกรรมมันหลุดวาระสุดท้ายมาทุกที ด้วยเหตุผลใดกันแน่
* * *

เพื่อความอยู่รอดของรัฐบาล ตัวแทนของประชาชนในสภา สามารถสร้างเงื่อนไขให้ไม่สามารถเอาผิดนายทหารที่ฆ่าประชาชนกันได้อยู่ตลอดเวลา... นับเนื่องมานานหลายสิบปี

เราจะต้องอยู่กันไปอย่างนี้อีกนานใช่ไหมเนี่ย?

* * *

ในช่วงเช้าวันนี้ เครือข่ายญาติวีรชนเมษา-พฤษภา 53 เดินทางไปยื่นจดหมายขอความสนับสนุนร่างพรบ.นิรโทษกรรมประชาชน ฉบับญาติวีรชน ต่อพรรคร่วมฝ่ายค้าน และช่วงสายได้เดินทางเข้าพบนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพื่อขอความสนับสนุนร่างฉบับญาติ

ซึ่งทางนายกรัฐมนตรีให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น และรับปากว่าจะช่วยดูให้ อะไรทำได้ก็จะช่วยอย่างเต็มที่ เพราะมีหน้าที่รับใช้ประชาชน ส่วนร่างพรบ.ฉบับญาติ ขณะนี้ให้คุณพงศ์เทพ เทพกาญจนาดูเรื่องข้อกฎหมายอยู่เพื่อพิจารณาวาระต่อไป

---------------------------------------------
ต่อไปนี้เป็นรายงานข่าวชาวบ้าน จากพี่ พายุ เรดสยาม(นุ้ย แดงสยาม) ถึงบรรยากาศภายในห้องที่นายกพบปะกับญาติวีรชน
ญาติวีรชนพฤษภา 2553 รอมา 2 ปีกว่าจะได้พบและพูดคุยกันอย่างเปิดอก กับนายกรัฐมนตรีที่ได้ขึ้นสู่อำนาจจากชีวิตและเลือดเหนือของนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย

ขอให้นายกหญิงยิ่งลักษณ์ จริงจังกับการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่กลุ่มญาติวีรชนพฤษภา 53 กลุ่มนี้ได้เข้านำเสนอและร้องเรียนด้วยเถิด

* * *

เรื่องการเมือง "ช่างมันเถอะ ปรองดองบนการแก้ไขไม่แก้แค้น" ของเพื่อไทยที่เล่นงานแค่อภิสิทธิ์กับเทพเทือก แต่จูบปากกับทหารและไม่แตะสถาบันฯ มันก็เห็นท่าทีกันมาตั้งแต่แรกแล้ว ...

แต่กระแสตอบรับของประชาชนก็ไม่เอากับท่าทีนี้ของเพื่อไทยแรงมากตั้งแต่เข้าบริหารใหม่ๆ แม้จะใช้กลยุทธ์โยนหินถามทางกันมาตลอดสองปีก็ตาม

ประชาชนจำนวนมากรู้เกมการเมืองดีขึ้น

เมื่อไม่ยอมเป็นเบี้ยให้ปชป.ใช้เป็นเบี้ยถล่มเพื่อไทยได้สำเร็จมาร่วมทศวรรษ มีหรือจะยอมเป็นเบี้ยให้เพื่อไทยเล่นเพียงเพื่อจัดการกับพรรคฝ่ายค้านเท่านั้น

โดยที่ไม่ต้องแตะต้องทหาร - ที่ไม่ต้องลงมาเล่นการเมือง แต่สามารถกุมชะตาบ้านเมืองด้วยการสังหารประชาชนครั้งละ 40 - 70 หรือ ครั้งละเป็นร้อยคน มาหลายครั้งแล้ว และก็จะทำต่อไปได้อีกถ้าไม่มีมาตรการลงโทษและควบคุมทหารกันอย่างจริงจัง

เพื่อไทยคิดหรือว่า การซื้อเวลา ยื้อเวลา จนแนวร่วมเหนื่อยล้า แล้วแนวร่วมหรือประชาชนจะยอมให้ทหารลอยนวล โดยไม่ต้องรับผิดชอบกับความผิด (อีกครั้ง) กันอย่างง่ายๆ และไม่ส่งเสียงประท้วงหรือคัดค้าน

23 ก.ค. 13

เข้าใจความเหนื่อยของฝ่ายที่สู้เพื่อให้คนติดคุกออกจากคุกที่ก็สู้กันมาเหนื่อยและคงอยากเห็นผลสัมฤทธิ์ของการต่อสู้และก็คงอยากจะพักกันเต็มแก่

เข้าใจความรู้สึกของฝ่ายญาติวีรชนที่ต้องการความยุติธรรมให้กับชีวิตลูกหลานพ่อแม่พี่น้องปู่ตาและต้องการให้วงจรอุบาทก์ "ยิงประชาชน" ไม่ติดคุก มันหมดไปจากประเทศไทยสักที

เข้าใจทักษิณที่ทุ่มเงินลงมากับการเมืองเยอะมาก เพื่อตัวเองจะได้กลับบ้าน ขนาดดันน้องสาวตัวเองเป็นนายกได้สำเร็จผ่านมา 2 ปีก็ยังไม่ได้กลับบ้าน ก็คงอยากปรองดองกับอะไรก็ได้ เพื่อจะได้กลับบ้านซะที และก็คิดว่าเขามีความชอบธรรมเพราะคิดว่าตัวเองเป็นทุนที่ลงขันกับการเมืองมากที่สุดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

เข้าใจส.ส.เพื่อไทยที่ต้องตอบแทนบุญคุณทักษิณและชินวัตรกันอย่างเต็มที่

เข้าใจ ปชป. ที่ต้องค้านทุกเรื่องเมื่อตัวเองไม่ได้เป็นรัฐบาล เพราะเป็นการเมืองพรรคนี้ตลอดมาและยิ่งมีประเด็นเรื่องอาจจะถูกลงโทษเพราะสั่งฆ่าประชาชนด้วยแล้ว ก็ยิ่งต้องป่วนการเมืองให้มากที่สุด เพื่อให้ตัวเองพ้นโทษ

เข้าใจรัฐบาลที่อยู่เล่นทั้งการเมืองหน้าม่านและหลังม่าน และเป็นองค์กรชอบธรรมที่ต้องแก้วิกฤตชาติหลายเรื่องที่รวนเพราะธรรมชาติและรวนเพราะพรรคฝ่ายค้านเล่นเกมการเมืองถล่มตลอดเวลา

เข้าใจความเปราะบางของสังคมไทยในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแห่งการเปลี่ยนผ่านพระประมุข และความกังวลเรื่องการจะดำรงอยู่อย่างไรของผู้ที่เคยอิงแอบผลประโยชน์จากสถาบันพระประมุขหลังการเปลี่ยนผ่านแล้ว

เข้าใจอารมณ์คนเชียร์การเมืองของทั้งสองค่ายใหญ่ ที่เหนื่อยแทบตาย และเริ่มหมดทุน หมดแรง และหมดกำลังใจ ไปกับเกมการเมืองที่น่าปวดหัวและคดเคี้ยวไม่เป็นเส้นตรงของเมืองไทย และจนบัดนี้ก็ยังไม่เห็นเส้นตรง

คือ เข้าใจนะ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะส่งเสริมให้ทุกกลุ่มไม่ต้องใช้ "ความเป็นคน" หรือ "การเคารพศักดิ์ศรีความเป็นคน" ของคนอื่น ของกลุ่มอื่น เพราะ "กูเหนื่อยแล้ว หยุดเถอะ พอเถอะ มึงหยุดเถอะ เอาแค่นี้ก็พอแล้ว"

อยากจะบอกว่าใครอยากจะหยุดก็หยุดไปเถอะ ใครจะสู้ต่อ คิดว่ามีแรงสู้ต่อ ไม่ว่าด้วยอุดมการณ์ใด ข้อเรียกร้องใด ก็สู้กันต่อไป ... หรือคนหยุดพักเหนื่อยแล้ว จะมาดันกันต่อก็ลุกขึ้นมา ...

การเมืองมันก็เป็นเช่นนี้น่ะแหละ มันมีประวัติศาสตร์ มันมีวิวัฒนการ และมันก็มีพัฒนาการ และนั่นก็หมายถึงมันต้องมีการเปลี่ยนแปลงที่เข้าใกล้ "เส้นตรง" หรือ "หลักการ" มากขึ้นเรื่อยๆ ไปด้วย

โต้กันน่ะดีแล้ว เอาประเด็นเป็นหลัก โต้กันให้มันชัดเจนไปเลย
แต่จะโต้กัน จะต่อว่ากัน จะโจมตีกัน ก็ให้ระลึกไว้เสมอก็แล้วกันว่า "เคารพสิทธิความเป็นมนุษย์" และ "สิทธิมนุษยชน" ของคนอื่นกันด้วยแล้วกัน
* * *

น่าหนักใจแทนนักโทษการเมืองจริงๆ
ดูเหมือนว่าเมื่อ "คนตาย" ไม่ใช่ "วีรชน" "ไม่ใช่คนเสื้อแดง" และ "ไม่มีสิทธิพูด" แล้ว ต่อไปนี้ คนที่ยังเป็น "วีรชน" "คนเสื้อแดง" และ "มีสิทธิพูด" คือ "นักโทษการเมือง" ที่ยังอยู่ในคุก (ยกเว้นนักโทษ 112 นะฮะ)

พวกเขาจะกลายเป็นได้ทั้ง "เหตุผล" หรือ "สาเหตุ" ให้ พรบ. นิรโทษกรรมฉบับใดฉบับหนึ่งผ่านรัฐสภาหรือไม่ผ่านรัฐสภา ... ด้วยข้ออ้างเอานักโทษการเมืองออกจากคุกก่อน (หลังจากติดคุกไป 3 ปีกว่า) เรื่องอื่นๆ เอาไว้ก่อน

ถ้าผลออกมาไม่เป็นที่ถูกใจ พวกเขาจะกลายเป็น "แพะรับบาป" กลุ่มต่อไป

เพราะท้ายที่สุด "แพะรับบาป" ที่เป็นมาในอดีตและก็อาจจะดำรงอยู่ต่อไป ก็คือคนชั้นล่าง ชาวบ้าน และแนวร่วม - คนไร้เส้นไร้เงินเหล่านี้นี่เอง
* * *

ฝ่ายคนเสื้อแดงที่เดือดร้อนติดคุกเพราะเหตุการณ์ 2553 เมื่อเดือดร้อนกันมาก เวลาเดือดร้อนนี่ มันใช้เวลานานมากกว่าจะลุกได้ไหม ... ที่นี่ก็วุ่นวายกันว่าจะหาเงินกันมาได้อย่างไร

จากการทำงานกับคนเจอวิกฤตเรื่องถูกหลอกไปทำงานต่างประเทศ จึงมีบทเรียนว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ

เคยได้รับเงินมาช่วยเรื่องคดีคนเก็บเบอร์รี่ที่เสียหายจากฤดูกาลเบอร์รี่ปี 2552เป็นเงิน 270,000 บาทจากสวีเดน จึงมีการประชุมตัดสินใจร่วมกัน มียกมือโหวตด้วยว่า ให้ใช้เป็นค่าทนายกลุ่มที่สู้คดี (กว่า 30 คน) เพราะถ้าแบ่งกันก็จะได้คนละแค่ 200 บาท ไม่คุ้ม

แต่กระนั้นแกนนำบางคนที่บ้านจะหลุดจำนอง เงินไม่มี เดือดร้อนมาก ก็พยายามตื้อขอเอาเงินจำนวนนี้ ดีนะที่ก่อนเดินทางมาเมืองนอก กูโอนเงินทั้งหมด หลังหักค่าประชุมให้กับทนายไป และปิดบัญชี แต่ก็ทำรายงานการเงินส่งให้สหภาพที่สวีเดนที่ช่วยเหลือเรียบร้อยไป

ขนาดเงินแค่นี้ กูก็ยังถูกหาได้ว่ากินเงินคนงาน - ดีที่รอดตัวไปเพราะมีการทำระบบรายงานการเงินชัดเจน

กูจึงเข้าใจดียิ่งว่า ตามธรรมชาติของคนชาวบ้านชาวช่องที่เดือดร้อนน่ะมันรุนแรงแค่ไหน ... ยิ่งเมื่อเห็นข่าว(จริงข่าวลือ) คนนั้นได้ คนโน้นได้ ก็คาดหวัง และก็วิถีปากต่อปากของชาวบ้านนี่น่ากลัวมากนะฮะ... ตัวเลขเงินมันจะวิ่งขึ้นเรื่อยๆ ฮะ ตอนนี้ได้ข่าวว่าวิ่งไปถึง 150 ล้าน ...ฮา

ความจริงคือ มันมีคนติดคุกเพราะ 2553 จริง หลายร้อยคน (ไม่ใช่แค่ 34 คนที่เหลืออยู่ตอนนี้)

และมีคนที่ได้รับผลกระทบจากการเป็นด่านหน้าเจ็บจริง คุกจริง ที่เข้าไม่ถึงการเยียวยาจริง

เข้าใจได้ว่าพวกเขาก็เดือดร้อนแสนสาหัส และก็คาดหวังว่าจะได้รับการเยียวยาจากทักษิณหรือรัฐบาลเหมือนกับคนอื่นบ้าง และเมื่อไม่ได้รับ ก็รู้สึกเจ็บปวดและผิดหวังจริง ...

กูถึงไม่อยากเอ่ยถึงตัวบุคคลเวลาพูดเรื่องนี้ เพราะไม่งั้นมันจะติดอยู่แค่นั้น เพราะมันไม่ใช่ปัญหาเรื่องแค่ตัวบุคคล

กูถึงไม่อยากพูดเรื่องตัวบุคคล เพราะเหนื่อยและเสียเวลา... แต่ชวนมาพูดถึงปัญหาภาพรวมกันดีไหม แล้วดูว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน ...

มีคำแนะนำใดบ้างให้กับคนที่ไม่ได้รับการช่วยเหลือเยียวยา จะได้รับการช่วยเหลือหรือเข้าถึง ไม่ว่าจะด้วยเงินช่วยเหลือ หรือเงินกู้ปลอดดอกเบี้ยบางอย่างเพื่อให้เขาสามารถตั้งตัวได้ ... ทำกันเป็นระบบโดยไม่เลือกปฏิบัติ

และแน่นอนว่าไม่ใช่ด้วยการหวังพึงทักษิณคนเดียว แต่จะมีกองทุนหรือเรียกร้องให้รัฐตั้งกองทุนที่มีการดูแลจัดการอย่างเป็นระบบ ที่ให้คนเดือนร้อนเหล่านี้เข้าถึงได้ไหม ทำได้อย่างไรบ้าง?

และท้ายที่สุด กองทุนฉุนเฉินจากรัฐเพื่อให้คนเจอวิกฤตเข้าถึงจะกลายเป็นนโยบายรัฐบาลไปได้ได้อย่างไร ให้กับประชาชนทุกคน

(นี่ไม่ใช่เรื่องเกินไปฮะ เพราะที่ฟินแลนด์นี่มีหน่วยงานที่คนเดือดร้อนสามารถเดินเข้าไปขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน วงเงินขั้นต่ำประมาณ 20,000 บาท และมีการช่วยเหลือหลายระดับตามต่อหลังจากนั้นอีก)

อยากให้พูดภาพรวมเหล่านี้ไปด้วยมากกว่า และหาทางช่วยเหลือคนเดือดร้อน ที่ยังลุกไม่ได้จนถึงบัดนี้เพราะการเมือง 2553 และจากปัญหาต่างๆ
* * * 

เบาใจไปอย่างหนึ่งที่ไม่ต้องวุ่นวายถูกดึงไปเกี่ยวเรื่องปัญหารับเงินทักษิณที่เป็นประเด็นถกเถียงกันอยู่ตอนนี้ เพราะไม่เคยขอเงินทักษิณ แม้ว่าทักษิณจะให้กูก็ไม่รับ 

เพราะอยากทำงานวิพากษ์การเมืองอย่างอิสระเช่นนี้ต่อไปโดยต้องกังวลว่าจะวิจารณ์คนนี้ได้ไหม คนนั้นได้ไหม โดยไม่ต้องเกรงใจกันเพราะรับความช่วยเหลือกันมา

เสรีภาพและความเป็นอิสระ ก็เลยต้องแลกมาด้วยการเขียนหนังสือขายต่อไปนี่ล่ะ แม้จะไม่พอยาไส้ก็ตามที ...ฮา!

* * *

อ้อ... เรื่องเงินเยียวยาจากนายใหญ่ทักษิณนี้

กูก็ฟันธงแบบกลางๆ เลยนะว่า ...

เพราะการให้เงินหรือใช้เงินมันไม่เป็นระบบ ไม่มีนโยบายชัดเจน ไม่มีกระบวนการโปร่งใส ไม่มีรายงานกิจกรรมและการใช้จ่ายเงินกับสาธารณชนหรือคนเกี่ยวข้องให้ได้รับทราบทั่วไป มันเลยมีประเด็นให้ถกเถียงกันไม่จบล่ะ ...

ดูๆ ไปก็เหมือนกับพูดถูกกันเกือบทุกฝ่ายล่ะ ... เพราะต่างฝ่ายก็เหมือน "ตาบอดคล้ำช้าง" เพราะได้ข้อมูลกันมาแบบนั้น เห็นข้อมูลกันแค่นั้น ... แต่ไม่มีใครเห็นข้อมูลทั้งหมด หรือได้เห็นช้างทั้งตัวเลย


* * * 

ถ้าเจ้าสัวธนินทร์ เจ้าสัวเจริญ เจ้าสัว 50 ตระกูลที่มั่งคั่งที่สุดในไทย หยุดทำบุญปิดทองหลังองค์พระสยามเทวาธิราช และมาเปิดหน้าทำบุญกันหน้าพระด้วยสนับสนุนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และรบริจาคเงินตั้งกองทุน" เพื่อการฟื้นฟูและตั้งหลักชีวิต" ให้กับประชาชนในประเทศไทยกันบ้าง

การเมืองประเทศไทยคงน่าสนใจขึ้นอีกเยอะ เพราะประชาชนจะมีตัวเลือกเทวดาคนใหม่ ที่ทุนหนาให้เลือกได้มากขึ้น

และคนจน คนเดือดร้อน ก็จะมีทางเลือกที่เข้าไปขอพึ่งได้มากขึ้น ไม่ใช่ถนนคนจนทุกสายต้องมุ่งหน้าไปขอพึ่งทักษิณกันคนเดียวอยู่เช่นนี้

* * *

เข้าใจความรู้สึกโจเช่นกันว่า โจคงไม่อยากเผชิญหน้ากับแรงกดดันต่างๆ รอบด้านในสภาพที่เขาเองก็คงยังไม่อยู่ในสภาพการที่มั่นคงในหลายเรื่อง ทั้งเรื่องที่อยู่ อุปกรณ์สื่อสาร อุปกรณ์การเดินทาง จึงดูเหมือนว่าจะปิดเพจไปแล้ว

ในฐานะของคนที่คุยกันบ้างหลังไมค์ และถามไถ่ห่วงใยกันในฐานะคนลี้ภัย 112 ที่ไม่ง่ายที่จะตั้งชีวิตใหม่ได้อีกครั้งอย่างรวดเร็ว ... ก็ขอนำการให้สัมภาษณ์ตอบหลายประเด็นของโจมาให้ฟังกันนะฮะ ...

ทั้งนี้ไม่ได้ตัดสินว่าโจผิดหรือใครผิด แต่คิดว่าทุกฝ่ายมีเหตุผลและสาเหตุที่จะตอบโต้กันได้ต่อไป

และถ้าตัดเรื่องการตอบโต้และภาษาที่อาจจะดูรุนแรงไปบ้าง ไม่รู้ว่าประเด็นคำถามของโจ มีการตอบกันตรงคำถามและตรงประเด็นหรือยัง?

ฟังคลิป โจ กอร์ดอน ชี้แจงเรื่องเมย์อียูแอบอ้างขู่กรรโชกทรัพย์ 2 หมื่นเหรียณ 


* * *

SAVE OPEN HEART - ช่วยฟื้นคืนบ้านเปิดใจ


หลังจากร่วมหนึ่งปีแห่งการดำเนินคดีความต่างๆ และเจรจากับธนาคารเรื่องบ้านเปิดใจ 

วันนี้พี่ประเวศ ทนายความที่อาสาตัวและต้องควักกระเป๋าตัวเองเพื่อช่วยเหลือจรรยาในการรักษาบ้านเปิดใจมาตลอด 1 ปี แจ้งมาว่า ธนาคารส่งจดหมายมาบอกว่ายินดีจะยุติคดีและยอมรับข้อเสนอเงินปลดหนี้ตามยอดที่ทางเราเสนอไป คือ 500,000 บาท แต่มาพร้อมกับเงื่อนไขที่ธนาคารคิดว่าเราจะทำไม่ได้

ทางพี่ประเวศจึงมีข้อเสนอเพื่อการต่อสู้ทางคดีครั้งนี้ คือ ให้เรานำเงินตามที่ระบุในจดหมายจากธนาคารไปวางไว้ที่ศาล ในวันขึ้นศาลเชียงใหม่ ในวันที่ 5 สิงหาคม ที่จะถึงนี้ - แต่พี่ประเวศก็บอกมาว่า "คดีนี้ไม่ง่าย"

เนื่องจากเพื่อนสนิทของจรรยาที่ค่อยช่วยเหลือในยามยากลำบากกันมาตลอด 20 ปี ได้รับปากจะให้ยืมเงินเพื่อปลดหนี้ครั้งนี้

แต่เงินก็จำนวนมหาศาลอยู่ จรรยาจึงจำต้องเร่งตามเรื่องรายได้จากการขายหนังสือแรงงานอุ้มชาติเพื่อมาช่วยลดจำนวนเงินกู้ด้วย ... และก็เร่งขายหนังสือที่มีอยู่เพื่อการระดมเงินครั้งใหญ่ยิ่งนี้

ซึ่งการผลิตหนังสือขายก็ด้วยเป้าหมายเพื่อการหาเงินปลดหนี้บ้านเปิดใจเป็นเหตุผลสำคัญ

จึงต้องขออนุญาตประกาศอีกครั้งด้วยความเกรงใจยิ่งว่า ...

ถ้าคนอ่านหนังสือหรือคนสนับสนุนการเขียนของจรรยา จะช่วยกัน และต้องการมีส่วนร่วมสู้เพื่อ "ฟื้นคืนและฟื้นฟูบ้านเปิดใจ" เพื่อให้พัฒนาเป็นพื้นที่ให้คนอยากสร้างสรรค์งานศิลปะได้ไปใช้อยู่อาศัย - แม้จรรยาจะยังไม่ได้กลับไปอยู่ก็ตาม

ก็ขอเชิญชวนให้ซื้อหนังสือนะฮะ

สำหรับแรงานอุ้มชาติ เราได้รับคืนมาจากสายส่งและอยู่กับพี่ประเวศ 400 เล่ม ซึ่งท่านสามารถสั่งซื้อเพื่อเอาไปช่วยขายต่อให้เพื่อนฝูงหรือมวลชนได้โดยติดต่อที่พี่ประเวศ 086-3893378 (ลดราคาให้กับคนนำไปขายต่อตามราคาสายส่ง 40%)

และสำหรับเล่มล่าสุด เปลื้องผ้าและไม่ไทยเลย ซื้อออนไลน์กันได้ที่http://booksoho.com/#book?id=3

ขอบคุณทุกท่านนะฮะที่มีส่วนร่วมช่วยเหลือกันมาตลอด หรือจะช่วยเหลือสนับสนุนนักต่อสู้ที่พยายามยืนตัวตรงอย่างสมศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์กันอีกครั้ง
(ย้ำอีกครั้งว่า ไม่ต้องการคนมาทำบุญทำทานนะฮะ)!

อ่านเรื่องราวของบ้านเปิดใจได้ที่นี่  การสร้างฝันกับวิถีชีวิตเศรษฐกิจอินทรีย์

21 ก.ค. 13

ใครๆ ก็ได้พูดความคิดทางการเมืองไทยออกสื่อกันโครมๆ ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา แต่ไม่มีรายการทีวีที่เป็นดอกผลจากการเคลื่อนครั้งใหม่ติดต่อถามไถ่ จรรยา คนเคยรู้จัก ที่กลายมาเป็นคนไกลบ้านลี้ภัย 112 และเขียนงานมากมายเผยแพร่จากต่างแดน เลยว่าเป็นอย่างไรบ้าง?

ถ้าไม่มี Thai E-News ก็แทบจะไม่ได้ส่งเสียงออกสื่อเลยจริงๆ นะเนี่ย?

บทรำพึงยามป่วย กลัวว่าจะตายก่อนที่จะได้พูด.

20 ก.ค. 13

ผ่านค่ำคืนแห่งการแพ้ยาแก้อับเสบอย่างรุนแรงมาได้อย่างเหนื่อยอ่อน

ร่วมสิบชั่วโมงกับอาการ คันยิบๆที่ขอบตาทั้งสองข้างให้ต้อง ปวดร้าวไปทั้งกระหม่อมและที่หลังไหล่ แน่นหน้าอกหายใจติดขัด และปวดตามข้อต่างๆ

แพ้ยานี่มีอาการน่ากลัวกว่าอาการป่วยต้องกินยาซะอีก เล่นเอาผวากลัวช๊อคไปเหมือนกัน.

ชีวิตในยามที่ป่วยไม่ได้นี่ ความป่วยไข้มักจะมาเยือน ไม่สงสารเห็นใจกันบ้างเลยนิ!

* * *
ตอนนี้จรรยาขายหนังสืออย่างจริงจังฮะ

เพราะมันเป็นเพียงทรัพย์สินเดียวที่มี ณ ตอนนี้  
ที่แปลงเป็นเงินทองได้ตอนนี้สำหรับการใช้จ่ายเพื่อแก้วิกฤตชีวิตหลายเรื่องตอนนี้
ทั้งเรื่องสุขภาพและเรื่องการย้ายที่อยู่

ขอเชิญชวนให้สนับสนุนให้จรรยาได้สู้ต่อและทำงานต่อ ด้วยการซื้อหนังสือนะฮะ
"แรงงานอุ้มชาติ" ซื้อได้โดยตรงจากทนายประเวศ ประภานุกูล ประเวศ ประภานุกูล
"เปลื้องผ้าและไม่ไทยเลย" ซื้อออนไลน์ ได้ที่
BookSoHo http://booksoho.com/#home

สำหรับดาวน์โหลดหนังสือแจกฟรี ไปที่นี่เลยฮะ มีเพียบwww.junyayimprasert.blogspot.com

เมื่อคนอ่านชวนซื้อ "เปลื้องผ้าและไม่ไทยเลย"


A Freedommind Cat

มุมขายของ 01 - เปลื้องผ้าและไม่ไทยเลย Rerun (Full review)
(ปั่นก้นไหม้มาเมื่อกี้)

"วาบแรกที่อ่าน "เปลื้องผ้าและไม่ไทยเลย" จบ ฉันรู้สึกเหมือนกับการได้นั่งอยู่ในวงเหล้าฟังเหล่าสารพัดเพื่อนสาวนั่งเล่าถึงชีวิตรักของพวกเธอ ... ด้วยความเคารพ ... อย่างเมามันส์ เกินกว่าที่วงสนทนาอื่นๆ จะ "เปลื้อง" ตนเองได้หมดจดได้สะท้อนสะท้านเยี่ยงนั้น ด้วยภาษาที่ธรรมดาๆ อาจจะดู "ห่าม" สำหรับบางคน หากภาษาแบบนี้ "เพื่อน" เท่านั้นที่จะสามารถใช้มันถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของพวกเธอได้อย่างตรงไปตรงมา แน่นอนว่าเรื่องเหล่าเธอทั้งหลายนั้นมีหลากรสชาติทั้งสุขกระสันต์ หวานหอม หากมีรสเฝื่อนจนขมปี๋ในบางชั่วขณะหรืออาจจะมีแม้กระทั่งคำถามต่อสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็ตาม ทว่าชีวิตรักของเหล่าเธอนั้นเล่า ก็เป็นวงจรชีวิตรักธรรมดาสามัญที่หลากผู้คนอาจจะกำลังประสบกับสิ่งเหล่านี้อยู่ .... 

หากมิใช่ในวง "เพื่อนสนิท" กระนั้นใครกันหรือจะกล้าเปิดเปลื้องชีวิตทุกด้านของตนเองได้หมดจดโดยเฉพาะ "เรื่องชีวิตทางเพศ" ??? ด้วยเจตนาของผู้เขียนที่ "ต้องการให้เรื่องชีวิตทางเพศเป็นเรื่องที่สามัญที่สามารถพูดกันได้อย่างตรงไปตรงมา" ส่วนแรกของหนังสือซึ่งก็คือ "เปลื้องผ้า" ได้ทำหน้าที่ประดุจเหล่าเพื่อนสาวที่แสนห่ามทว่าซื่อตรงกับการบอกเล่าเรื่องชีวิตทางเพศของตนเองทั้งๆ ที่บางเรื่องนั้นสุดจะทานทนก็ตาม .......

ขณะที่ส่วนแรกของหนังสือกระตุ้นผู้อ่านด้วยสารพัดอารมณ์ที่ชาวโลกพึงจะมี ส่วนที่สองของหนังสือ "ไม่ไทยเลย" ผู้เขียนต้องการจะนำเสนอแนวคิดและทัศนคติของตนที่ต้องการนำเสนอว่า "เรื่องเพศเป็นเรื่องที่ไม่ควรดัดจริต" หรือกล่าวได้อีกทางหนึ่งคือ สังคม (โดยเฉพาะสังคมไทย) ควรยอมรับว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องธรรมดาของชาวโลก รวมทั้งควรเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถพ้นจากกรอบอนุรักษ์นิยมทั้งหลายที่กดขี่ชีวิตทางเพศ (การรักษาพรหมจรรย์ก่อนแต่งงาน , ภาระของการทำแท้งที่กดขี่ความเป็นมนุษย์ของสตรี, การปิดโอกาสไม่ให้เพศทางเลือกมีที่ยืนในสังคมอย่างมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกับเพศของกระแสหลัก ฯลฯ) ได้เพื่อให้ที่จะให้คนเราสามารถแสดงออกทางเพศและใช้ชีวิตทางเพศได้หลากหลายให้สอดคล้องกับความต้องการของแต่ละบุคคลที่อยู่ในโลกที่มีแนวโน้มเป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น"

ป.ล ตอนเห็นภาพปกหนังสือแบบเต็มๆ กับเหล่าภาพประกอบของหนังสือเล่มนี้ฉันแบบกรี้ดแตก โทษฐานที่ว่าแซ่บมั่กๆ เกินค่า E-Book ที่มีราคาเพียง 120 บาทไปโข .........................
* * *


จี๊ด .... เรื่องเพศ ไม่ได้มีแค่ชายหรือหญิง เมื่อ คุณนาย ทุรมาลี ( Tikky Tourmaline ) ผู้กล้าประกาศตนว่าเป็นกะเทย และปวารณาว่าจะเกิดเป็นกะเทยอีกห้าร้อยชาติ ( ถ้าชาติภพและการเกิดใหม่มีจริง ) ลุกขึ้นมาเขียนถึง "เปลื้องผ้าและไม่ไทยเลย"

* * *

เพิ่งตัดสินใจซื้ออีบุ๊กส์ "เปลื้องผ้าและไม่ไทยเลย " มาเก็บไว้ใน ไอแพด หลังจากที่ได้อ่านจากดราฟต์ที่ผู้เขียนส่งมาให้เป็นบางส่วน

หนังสือเล่มนี้มีความน่าสนใจตรงที่ ผู้เขียนเปิดอกพูดถึงความคับข้องใจ ในฐานะเฟมินิสต์ ที่มองเรื่องเพศผ่านปัญหาสังคม ที่ยังมีความเหลื่อมล้ำทางเพศ ดังที่เราจะสังเกตได้จาก คำพูดที่ว่า ชายข้าวเปลือก หญิงข้าวสาร ที่โดยนัยยะในมุมมองของอิฉันคือ จะไปขึ้นที่ไหนก็ได้ แพร่พันธุ์ยังไงไม่มีใครว่า แต่ขณะที่ข้าวสาร เราต้องระวังทั้งมอด แมลง และ ความชื้นที่จะก่อให้เกิดการเน่า กินตัว

มันเป็นความอยุติธรรมที่สังคมไทยยอมรับกันอย่างหน้าชื่นตาบาน ดังนั้น เราจึงหนีไม่พ้นวังวนของปัญหา เมียหลวงเมียน้อย ลูกไม่มีพ่อ ดังที่เราเห็นจากละครหลังข่าวหลายๆเรื่อง และจากหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์รายวัน

อีกทั้ง เรื่องเพศ ซึ่งในมุมมองของอิฉันนั้น มันเป็นเรื่องแสนจะปกติธรรมดาสามัญ เหมือนกินข้าว กินขนม ดังนั้น เราควรจะพูดคุยเรื่องเหล่านี้กันได้อย่างเปิดอก ไม่ใช่ พอใครเปิดประเด็นเรื่องเพศขึ้นมา เหล่าชนผู้มีศีลธรรมจรรยาอันดี ยกมือทาบอก ทำตาโต อุทานว่า "บัดสี บัดเถลิง เรื่องนี้คนไทยไม่พูดกัน " โดยหารู้ไม่ว่า เรื่องเพศนั้น คนโบราณเองก็ให้ความสำคัญ แม้จะน้อยกว่าชีวิตประจำวันในด้านอื่น แต่มันก็คือส่วนเสริมที่จะเติมเต็มชีวิตให้สมบูรณ์ขึ้น แต่สิ่งที่สมบูรณ์สุดยอดคือ โลกุตระในสายตาของท่าน ดังที่นักเขียนอินเดียท่านหนึ่งกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า ไม่มีโลกียะก็ไม่มีโลกุตระ

เพศสัมพันธ์ มันมีความหมายลึกซึ้งเกินกว่า การที่จะมองแค่คนสองคนสมสู่กัน มันมีทั้งบริบททางสังคม ชนชั้น เข้ามาประกอบด้วย อีกทั้งมันไม่ควรจะมีกฏเกณฑ์ตายตัว ดังที่ผู้เขียนเขียนเอาไว้ในคำนำว่า "ปัจจุบันนี้ เซ็กส์ของกูไม่มีเพศ มีแต่มนุษย์สองคนที่รักกัน ปราถนากัน นับถือ ให้เกียรติ ห่วงใยและดูแลกันเท่าที่ทำได้ "

ดังนั้น คนที่มองว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องสกปรกต่ำช้านั้น ลองตรองดูเถิด ว่าคุณโดนฝังหัวด้วยขนบวิคตอเรียนมานานแสนนาน นานจนคุณคิดว่านั่นคือส่วนหนึ่งของความเป็นไทยที่สุดแสนจะเลิศวิไลกว่าใครในโลกา และสุดท้าย ฝรั่งลูกหลานจารีตแบบวิคตอเรียนเองก็ได้คิดว่า มันไม่ถูกต้องทั้งหมด คุณค่าของมนุษย์ต่างหากที่เราควรจะให้ความสำคัญ

ใครที่มีลูกสาว มีลูกชาย ควรเตรียมพร้อมให้พวกเขาเรียนรู้และปรับตัวเรื่องนี้ เพื่อที่ว่า ปัญหาของน้องดาว แห่งฮอร์โมนส์ จะได้ทุเลาเบาบางลง และอคติทางเพศ คุณค่าของเนื้อเยื่อที่เรียกว่าพรหมจรรย์ก็จะได้ถดถอยความสำคัญลงไปพร้อมๆกันกับที่คุณค่าความเป็นมนุษย์ในตัวผู้อื่นคงจะเพิ่มปริมาณมากขึ้น

อยากรู้ก็เชิญอ่านค่ะ  http://booksoho.com/#book?id=3

 * * *

เมื่อชายหนุ่มคนรุ่นใหม่ทำงานเพื่อสิทธิมนุษยชนตามตะเข็บชายแดน แต่มีหัวใจสุดทันสมัย ก็อ่าน "เปลื้องผ้าและไม่ไทยเลย" และบอกว่าผู้ชายก็ควรจะอ่านหนังสือเล่มนี้ 

แนะนำหนังสือ "เปลื้องผ้าและไม่ไทยเลย"

โดย Rose Jovi

(ฝ้ายอ่านหนังสือของนักเขียนอีโรติก  อนาอิส นิน  ที่เขียนไว้ว่า “ Last night I wept. I wept because the process by which I have become woman was painful.”   เมื่อคืนกูร้องไห้  กูร้องไห้เพราะว่ากว่ากูจะเป็นผู้หญิงแบบกูได้นั้น  มันเจ็บปวดเหลือเกิน... )

กว่าเราจะเป็นเราในวันนี้ ต้องผ่านอะไรมาบ้าง... กว่าทั้งชาย-หญิงที่หกล้มเพราะตัดสินใจผิดพลาดกับชีวิต จะกลับมาลุกขึ้นยืนตรงได้อีกครั้ง เขาและเธอต้องใช้เวลานานเท่าไร และต้องผ่านความเจ็บปวดทุรน ต้องฝืนทนกล้ำกลืนมากเท่าไร....?

คงไม่มีคำตอบจากใครๆเป็นสูตรสำเร็จสำหรับระยะเวลาที่แต่ละคนต้องใช้ไปกับการเยียวยาจิตใจตัวเอง แต่ก็มีคำตอบที่เป็นสูตรสำเร็จตรงกันอย่างแน่นอนว่าทุกคนจะต้องเจ็บปวด ความพลั้งพลาดในชีวิตมักจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้เสมอ จะรอยลึก-ตื้น หรือใหญ่-เล็ก นั่นก็แล้วแต่ความเจ็บปวดของแต่ละคน

ความรักไม่มีสูตรสำเร็จ ไม่มีเงื่อนไขตายตัว ไม่มีใครจะคาดการณ์ได้ล่วงหน้าว่า ความรักอันแสนหวานซาบซึ้งในตอนนี้จะจีรังยั่งยืนและหวานหอมไม่ขมขื่นไปตลอด ใช่... ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้เลย โดยเฉพาะยิ่งในห้วงรัก ทุกอย่างในชีวิตยิ่งดูราวกับอยู่ในเทพนิยาย คู่รักจะเอิบอิ่มอยู่แต่ในห้วงความสุขจนละเลยลืมเลือนไปว่า ความทุกข์นั้นมีอยู่และมันก็ไม่ได้อยู่ไกลความสุขเลยแม้แต่น้อย
(เพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น  ทั้งคู่ก็ต้องเผชิญหน้ากับความตึงเครียดเรื่องการเร่งสร้างเนื้อสร้างตัวตามวิถีชนชั้นกลางผู้มีการศึกษาในมหานคร  ความคิดเรื่องความมั่นคงในทรัพย์สินหรือการพยายามเอาความเป็น ”ครอบครัว”  มาครอบคู่ชีวิตหนุ่มสาวในเวลาเร็วเกินไป  ความสัมพันธ์ก็เริ่มสั่นคลอน  การมีปากเสียงระหว่างคนดื้อทั้งสองคนก็เริ่มรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ  และบ่อยขึ้นเรื่อยๆ  เช่นกัน...)

และนั่นก็คือปฐมบทที่ทำให้ฝ้ายต้องเผชิญกับนรกบนโลกมนุษย์ไปอีกหลายปี ตราบจนถึงวันที่เธอตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ก้าวออกมาจากขุมนรกแห่งชีวิตคู่นั้นด้วยตัวเธอเอง.....
สำหรับจี๊ดแล้วก็ไม่ต่างกันกับฝ้าย เพียงแต่จี๊ดมีความมั่นใจในตัวเองสูงจึงทำให้เธอลุกขึ้นได้เร็วกว่าฝ้าย เมื่อเธอเห็นว่า ความสัมพันธ์ในรักสามเส้า(หรือกว่านั้น)กับชายหนุ่มชาวต่างชาติผู้โรแมนติกผู้นี้ มันเจ็บปวดเกินฝืนทนต่อไป เธอก็ตัดสินใจเลือกที่จะลุกออกมาเอง แม้จะเจ็บปวดใจ แต่เธอก็มีกาลเวลาที่จะคอยช่วยเยียวยาและรักษาให้เธอหายจากความเจ็บปวดนั้น


“เปลื้องผ้า และไม่ไทยเลย” เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นและบทความที่กลั่นออกมาจากชีวิตจริงๆของผู้คนจริงๆ ที่ผู้อ่านอาจจะรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเคยเห็นผู้คนที่เป็นตัวละครในเรื่อง ซึ่งในชีวิตจริงเราอาจจะไม่รู้ว่าพวกเขาเหล่านั้นเจ็บปวดเท่าไหร่? คิดเห็นอย่างไร? และเยียวยาตนเองอย่างไร? กว่าจะกลับมาลุกขึ้นยืนได้อีกครั้งในวันนี้ แต่ในรวมเรื่องสั้นเล่มนี้ จะฉายภาพให้เราได้เห็นกันว่าผู้หญิงที่ต้องตกอยู่ในห้วงทุกข์ยากลำบาก ทั้งในชีวิตคู่และความสัมพันธ์ทางเพศ ภายใต้บริบทของสังคมจารีตที่กดขี่และตราหน้าผู้หญิงให้ต่ำต้อยด้อยกว่าชาย ว่าพวกหล่อนมีวิธีคิดอย่างไร มีวิธีเยียวยาตนเองอย่างไรเพื่อจะได้หลุดพ้นจากกรอบอันบีบคั้นเหล่านั้น

สังคมจารีตใช่แต่จะกดขี่ผู้หญิงในการใช้ชีวิตคู่เท่านั้น แต่ยังลงลึกไปถึงความสุขหรือไม่สุขสมในเพศสัมพันธ์อีกด้วย โดยที่พวกเธออาจจะไม่รู้ตัวเองเลยด้วยซ้ำ ว่าเพศสัมพันธ์ที่ผ่านไปในทุกค่ำคืนนั้น เป็นความสุขแล้วหรือไม่...?

ใช่แต่สังคมที่อิงศาสนาอย่างเข้มงวดเท่านั้นที่สร้างกรอบบีบบังคับขืนใจหญิงเช่นนี้ สังคมจารีตของไทยก็เช่นกัน ซ้ำบางทีอาจจะทำงานได้อย่างเข้มแข็งกว่าสังคมอิงศาสนาเสียด้วย เพราะสังคมจารีตของไทยไม่เปิดโอกาสให้ใครท้าทายหรือไถ่ถามถึง ขนบ ประเพณีที่เป็นมาของมันเลย การแกล้งทำลืม ละเลือน ยิ่งทำให้หญิงไทยต้องตกอยู่ภายใต้ความทุกข์ทน และความไร้สุขในชีวิตคู่และเพศสัมพันธ์มากขึ้น มากขึ้น ตลอดมา และอาจจะตลอดไป หากพวกหล่อนไม่เรียนรู้ที่จะรู้จักลุกขึ้นมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขด้วยตัวของเธอเอง

“เปลื้องผ้าและไม่ไทยเลย” จะเปิดเผยถึงเส้นทางชีวิตของผู้หญิงไร้สุขที่ต้องตกอยู่ภายใต้กรอบจารีตของสังคมในหลายๆมุมและหลายๆสถานการณ์ และฉายให้เห็นว่าพวกเธอเหล่านั้นทำอย่างไรจึงได้หลุดพ้นจากชีวิตที่ไร้สุขในกรอบจารีตมาสู่ชีวิตที่มีความสุขเปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นตนเองในชีวิตไร้กรอบจารีต

คำว่าเปลื้องผ้าพร้อมภาพหน้าปกที่โป๊เปลือยอาจทำให้หลายคนหลงคิดไปว่าหนังสือเล่มนี้จะมีเพียงความอีโรติก รักๆไคร่ๆในเรื่องเซ็กส์เท่านั้น โดยละเลยที่จะมองไปถึงความหมายที่ว่า “เปลื้องผ้า” นั้นก็คือ การปลดเปลื้องมายาแห่งจารีตที่ปิดกั้นห่อคลุมจิตใจผู้หญิงทั้งหลายออกไปด้วย เมื่อผู้คนสามารถทำลายมายาภาพที่ถูกปลูกฝังกล่อมสมองมานานได้แล้ว ก็ย่อมจะทำให้เขาได้เห็นตัวเอง และได้รู้จักตนเอง ผู้คนที่รู้จักตนเองก็ย่อมจะสามารถเลือกได้ว่าตนจะเดินไปในทางใดที่เป็นความสุข ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตัวของเขาเอง

และแม้เนื้อเรื่องและภาพใน “เปลื้องผ้าและไม่ไทยเลย” จะกล่าวถึงผู้หญิงเสียเยอะ ก็ใช่ว่าผู้ชายจะอ่านไม่ได้ หรืออ่านแล้วจะไม่ได้เรียนรู้อะไร เพราะในสังคมจารีตที่สร้างกรอบสำหรับควบคุมพลเมืองอย่างเข้มแข็ง แน่นหนา ของสังคมไทย แม้ผู้ชายก็ยังติดยึดในกรอบที่ถูกฝังหัวมาเช่นกัน และพวกเขาก็ยังพยายามคงคุณค่าทั้งรักษากรอบจารีตนั้นไว้โดยมิพักฉุกคิดหรือสงสัยว่า กรอบที่ตนยึดมั่นว่าสูงส่งและเพียรพยายามรักษาอยู่นั้นมันทำให้คนที่ตนรักเจ็บปวดหรือเปล่า? มันสร้างการกดขี่และข่มขู่คนอื่นอยู่หรือเปล่า? โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรอบที่ว่า “ความดี ความเป็นคนดี" ในสังคมจารีตของไทย

ในนามแห่งความดี ความเป็นคนดีของไทย เราจะเห็นพวกเขาใช้กรอบอันนี้มาวางกฎระเบียบ ทั้งใช้บังคับ ตีค่าหรือตราหน้าคนอื่นๆที่ไม่ยอมอยู่ในแบบแผนจารีตที่พวกเขาพยายามวางครอบงำสังคมไว้เสมอ และสังคมจารีตที่เข้มข้นอย่างสังคมไทยนี้มันก็มีพฤติการณ์ที่แปลกประหลาดอันหนึ่งคือ เมื่อมีใครคนใดคนหนึ่งหรือสถาบันอันใดอันหนึ่งยกชูคุณค่าบางอย่างที่เขาชอบมาว่าเป็นความดี เขาก็จะสามารถใช้คุณค่าดังกล่าวนั้นมากดขี่ ขู่บังคับและข่มคนอื่นๆในสังคมได้เลยทันที โดยที่ไม่มีการถามหรือปรึกษากันก่อนเลยว่า คุณค่าความดีงามที่เขายกย่องเชิดชูนั้นในความเห็นของคนอื่นๆ คิดว่าเป็นเช่นไร? มันดีจริงๆ หรือมันไม่ดี? มันมีคุณค่าน่ายกย่องหรือมันไร้ค่าจนหาสาระไม่ได้...??

ไม่มีเลยที่สังคมไทยจะมีการไถ่ถามถึงความหมายในคุณค่าความดี-งามต่างๆเช่นนี้ มีแต่โยนลงมาและบังคับใช้กับผู้คนในสังคมเลยเท่านั้น สิ่งนี้บ่มเพาะและปลูกฝังมานานจนเรียกได้ว่าเป็นวัฒนธรรมไทยไปเสียแล้ว และตรงนี้มันก็บอกถึงความเป็นสังคมจารีตที่เข้มแข็งเข้มข้นของสังคมนี้ว่าอยู่ในระดับสูงเพียงใด...

(...การติดอันดับโลกของไทยทั้งด้านการท้องก่อนวัย  การทำแท้ง  การติดโรคทางเพศ  และเอดส์   ควรจะทำให้รัฐบาลและสังคมตระหนักว่าที่ผ่านมา  นโยบายในเรื่องสุขภาวะทางเพศที่มีปัญหา ได้นำสู่แนวนโยบายที่ผิดทาง  ที่มุ่งไปที่การควบคุมและคุมเข้มเรื่องการห้ามการมีเพศสัมพันธ์  มากกว่าการให้ทุกสถาบัน  และทุกเพศทุกวัยในสังคมตระหนักถึงความเป็นจริงและความเชื่อมโยงแห่งเสรีภาพวิถีเพศกับการดูแลตัวเองได้อย่างเข้มแข็ง ปลอดภัย และมีความสุข
ทั้งนี้  รัฐควรจะส่งเสริมให้คนในสังคม  รู้จักเซ็กส์ที่ปลอดภัย  และไม่อายที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับศิลปะแห่งชีวิตคู่และเซ็กส์ที่สุขสม
 
ต้องหยุดการห้ามเยาวชนมีเซ็กส์ด้วยข้ออ้างอนุรักษ์นิยม  ด้วยทัศนคติที่มองว่าเยาวชนเป็นกลุ่มเสี่ยง  เป็นกลุ่มที่นำมาซึ่งปัญหาสังคม  จึงต้องถูกสอดส่องในวันสำคัญต่างๆ  อาทิ   วาเลนไทน์  วันลอยกระทง  ทำกันราวกับว่าเยาวชนหญิง-ชายเป็นดั่งอาชญากร 
รัฐต้องเปิดรับเรื่องการทำแท้งได้อย่างเสรี  เพื่อผู้หญิงที่มีครรภ์ในสภาวะไม่พึงประสงค์และไม่อยู่ในสภาวะที่จะดูแลบุตรได้  ทั้งทางเศรษฐกิจและสถานภาพในสังคม  ไม่ใช่เฉพาะด้านสุขภาพเท่านั้น 
เปิดเสรีภาพการเลือกวิถีเพศ  การเลือกคู่ครอง  ปรับแก้กฎหมายให้มีกระบวนการรับรองสิทธิการเลือกเหล่านั้น  ไม่ว่าจะเรื่องเพศ  และการใช้ชีวิตคู่ที่ไม่ว่าจะระหว่างเพศหรือเพศเดียวกัน
เปิดรับข้อเสนอด้านนโยบายที่ก้าวหน้าทั้งหลาย  เพื่อคุ้มครองผู้ได้รับผลกระทบจาก  “ความรุนแรงในครอบครัว” ทั้งมี “มาตรการป้องปรามการทารุณเด็กและการค้าประเวณีเด็กและผู้หญิง” ที่มีประสิทธิภาพ 
 
ส่งเสริมแนวนโยบายให้สังคมตระหนักในเรื่อง  “เซ็กส์ที่มีความสุข”  “เซ็กส์ด้วยความรับผิดชอบ”  และ “เซ็กส์บนฐานของการเข้าใจมัน”  เคารพตนเองและคู่ครองหรือคู่นอน และไม่ใช้กำลังบังคับการมีเพศสัมพันธ์...)

ข้างบนคือข้อเสนอที่กลั่นออกมาจากประสบการณ์การทำงานช่วยเหลือสังคมอย่างยาวนานของผู้เขียน “เปลื้องผ้าและไม่ไทยเลย” ต่อผู้มีอำนาจในรัฐบาล เพื่อที่จะปฏิรูปสังคมไทยให้หลุดพ้นจากการเป็นสังคมจารีต อนุรักษ์นิยมที่ดัดจริตและตอแหลสร้างภาพโกหกตัวเอง เพื่อที่สังคมนี้จะได้กลายเป็นสังคมที่ยืนอยู่กับความเป็นจริง เป็นสังคมที่เรียนและรู้จักตนเองอย่างแท้จริง รู้สถานภาพของตนในสังคมโลก และรู้ว่าตนจะนำพาสังคมก้าวเดินไปในแนวทางใดจึงจะทำให้สังคมนี้เป็นสังคมที่พัฒนาแล้วอย่างเท่าเทียมกับประเทศที่เจริญแล้วในโลก

หลายคนคงประหลาดใจว่าทำไม ข้อเสนอเพื่อปฏิรูปสังคมจากหนังสือ “เปลื้องผ้าและไม่ไทยเลย” ที่ผมยกมาจึงเป็นเรื่องราวของเซ็กส์และเพศสัมพันธ์ ที่จริงแล้วข้อเสนอเพื่อปฏิรูปสังคมจากหนังสือเล่มนี้นั้นมีหลากหลายแง่มุม(ผู้สนใจควรจะเข้าไปศึกษาเองจากในเล่ม) แต่ที่นำเสนอการปฏิรูปเรื่องเซ็กส์ก็เพราะ เรื่องนี้เป็นพื้นฐาน เป็นเรื่องสามัญธรรมดาที่อยู่คู่กับมนุษย์ เป็นเรื่องอารมณ์พื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนต่างก็มีความรู้สึกต่อมันด้วยกันทั้งนั้น

แต่... ด้วยความที่อยู่ในสังคมจารีตจึงทำให้คนในสังคมถูกกด ถูกปิดการรับรู้และเรียนรู้กับเรื่องพื้นๆของมนุษย์เช่นนี้ไป ทำให้การรับรู้ในเรื่องเซ็กส์และเพศวิถีของผู้คนในสังคมจารีตแห่งนี้บิดเบี้ยวและเกิดความเข้าใจผิดๆต่อๆกันมา และเป็นต้นธารให้เกิดความรุนแรงในหลากหลายมิติขึ้นในสังคม จากความเก็บกดในจิตใจของผู้คนในสังคม การจะปฏิรูปสังคม เราย่อมหลีกไม่พ้นที่จะต้องเรียนรู้ที่จะรู้จักสังคมที่ตนอยู่อย่างถูกต้อง และก่อนที่จะรู้จักสังคมของตนได้อย่างถูกต้องก็ย่อมจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะต้องรู้จักตนเองให้ถ่องแท้เสียก่อน


      ความน่าอ่านของหนังสือ  “เปลื้องผ้าและไม่ไทยเลย”  คือ การที่หนังสือเล่มนี้ช่วยสะท้อนภาพสังคมพร้อมทั้งตัวตนของเราออกมาอย่างชัดเจน  ตรงไปตรงมา  และเปลื้องเปลือย  เพื่อที่เราจะได้รู้จัก  ได้เรียนรู้ตนเอง  เรียนรู้สังคม  จะได้เข้าใจตนเองและสังคม  เพื่อจะได้ช่วยกันทลายกรอบกฎเกณฑ์ที่มันกดขี่  บีบคั้น  และบังคับความเป็นคน  ความเป็นมนุษย์ของเราให้หมดสิ้นหรืออย่างน้อยก็ลดน้อยลงไป  เพื่อที่เราจะได้อยู่ในสังคมมนุษย์ที่เทียมหน้าเสมอภาค  เข้าใจตนเอง  เข้าใจผู้อื่น  และเข้าใจสังคมร่วมกัน  

* * *

หาซื้อหนังสือได้ที่นี่นะฮะ http://booksoho.com/#home

19 ก.ค. 13 Unveiled and UnThaied


To all my progressive foreigners friends who have interest in Thailand's development and progress. May I introduce my latest book 'Unveiled and unthaied' which is now selling online in E-book format.

I am confident that this book which is unveiling sexual life's of Thai women under patriarchy in Thailand and 'unthaing' themselves to confidently living their lives as their wishes and with self-respects, will not disappointed you.

Below is the news about my book in Thai E-News. The details on how to buy the book is in the news.

* * *
Andrew MacGregor Marshall

My friend and comrade Junya Lek Yimprasert has published a new book — "Unveiled and unThaied" — which discusses the sexual lives of Thai women in a male-dominated society, and encourages them to "unThai" themselves and live as they choose. I'm sure many of my Facebook friends will be keen to read it. Details on how to buy it are in the attached article.

รีบๆ ซื้อกันหน่อยนะฮะ "เปลื้องผ้าและไม่ไทยเลย"
หนังสืออิโรติกเรื่องเซ็กส์ วิถีคู่ ที่ท้าทายวิถีอนุรักษ์ไทย

ขอแรงสนับสนุนหนังสือที่ "ไม่สนการเซ็นเซอร์ได้ทุกทีซิน่า" ที่ใช้เวลาปลุกปล้ำและขยี้ขย้ำมาร่วมปี เล่มนี้กันหน่อยนะฮะ

------------------
การซื้อหนังสือทาง E-book อาจจะยุ่งยากกว่าการเดินเข้าร้านหนังสือ หยิบหนังสือและจ่ายเงินตรงนั้นเลย ... เรื่องนี้คนเขียนหนังสือที่ทุนน้อย และไม่โด่งดังก็คงต้องขอความกรุณาผู้อ่านว่า เราเดินกันคนละครึ่งทางนะฮะ – อาจจะยุ่งยากกันนิดหน่อยก็ขอให้ถือว่า เมื่ออยากอ่านหนังสือ ก็ช่วยคนเขียนหนังสือด้วยก็แล้วกันนะคะ ... ขอบคุณมากๆ
-----------------
สำหรับผู้ที่ต้องการซื้อ "เปลื้องผ้าและไม่ไทยเลย" ราคาเล่มละ 120 บาท หาซื้อได้ที่ที่ร้านหนังสือออนไลน์ BookSoHo โดยมีคำแนะนำการสั่งซื้อ

"ขั้นตอนการสั่งซื้อ" http://booksoho.com/#about/HOWTOBUY
"การอ่านอีบุ๊คจากคอม" http://booksoho.com/#about/CHROME
"การอ่านอีบุ๊คด้วยแอพฯ banana Reader" http://booksoho.com/#about/BREADER
My friend and comrade Junya Lek Yimprasert has published a new book — "Unveiled and unThaied" — which discusses the sexual lives of Thai women in a male-dominated society, and encourages them to "unThai" themselves and live as they choose. I'm sure many of my Facebook friends will be keen to read it. Details on how to buy it are in the attached article.
รีบๆ ซื้อกันหน่อยนะฮะ "เปลื้องผ้าและไม่ไทยเลย"
หนังสืออิโรติกเรื่องเซ็กส์ วิถีคู่ ที่ท้าทายวิถีอนุรักษ์ไทย

ขอแรงสนับสนุนหนังสือที่ "ไม่สนการเซ็นเซอร์ได้ทุกทีซิน่า" ที่ใช้เวลาปลุกปล้ำและขยี้ขย้ำมาร่วมปี เล่มนี้กันหน่อยนะฮะ

------------------
การซื้อหนังสือทาง E-book อาจจะยุ่งยากกว่าการเดินเข้าร้านหนังสือ หยิบหนังสือและจ่ายเงินตรงนั้นเลย ... เรื่องนี้คนเขียนหนังสือที่ทุนน้อย และไม่โด่งดังก็คงต้องขอความกรุณาผู้อ่านว่า เราเดินกันคนละครึ่งทางนะฮะ – อาจจะยุ่งยากกันนิดหน่อยก็ขอให้ถือว่า เมื่ออยากอ่านหนังสือ ก็ช่วยคนเขียนหนังสือด้วยก็แล้วกันนะคะ ... ขอบคุณมากๆ
-----------------
สำหรับผู้ที่ต้องการซื้อ "เปลื้องผ้าและไม่ไทยเลย" ราคาเล่มละ 120 บาท หาซื้อได้ที่ที่ร้านหนังสือออนไลน์ BookSoHo โดยมีคำแนะนำการสั่งซื้อ

"ขั้นตอนการสั่งซื้อ" http://booksoho.com/#about/HOWTOBUY
"การอ่านอีบุ๊คจากคอม" http://booksoho.com/#about/CHROME
"การอ่านอีบุ๊คด้วยแอพฯ banana Reader" http://booksoho.com/#about/BREADERMy friend and comrade Junya Lek Yimprasert has published a new book — "Unveiled and unThaied" — which discusses the sexual lives of Thai women in a male-dominated society, and encourages them to "unThai" themselves and live as they choose. I'm sure many of my Facebook friends will be keen to read it. Details on how to buy it are in the attached article.
รีบๆ ซื้อกันหน่อยนะฮะ "เปลื้องผ้าและไม่ไทยเลย"
หนังสืออิโรติกเรื่องเซ็กส์ วิถีคู่ ที่ท้าทายวิถีอนุรักษ์ไทย

ขอแรงสนับสนุนหนังสือที่ "ไม่สนการเซ็นเซอร์ได้ทุกทีซิน่า" ที่ใช้เวลาปลุกปล้ำและขยี้ขย้ำมาร่วมปี เล่มนี้กันหน่อยนะฮะ

------------------
การซื้อหนังสือทาง E-book อาจจะยุ่งยากกว่าการเดินเข้าร้านหนังสือ หยิบหนังสือและจ่ายเงินตรงนั้นเลย ... เรื่องนี้คนเขียนหนังสือที่ทุนน้อย และไม่โด่งดังก็คงต้องขอความกรุณาผู้อ่านว่า เราเดินกันคนละครึ่งทางนะฮะ – อาจจะยุ่งยากกันนิดหน่อยก็ขอให้ถือว่า เมื่ออยากอ่านหนังสือ ก็ช่วยคนเขียนหนังสือด้วยก็แล้วกันนะคะ ... ขอบคุณมากๆ
-----------------
สำหรับผู้ที่ต้องการซื้อ "เปลื้องผ้าและไม่ไทยเลย" ราคาเล่มละ 120 บาท หาซื้อได้ที่ที่ร้านหนังสือออนไลน์ BookSoHo โดยมีคำแนะนำการสั่งซื้อ

"ขั้นตอนการสั่งซื้อ" http://booksoho.com/#about/HOWTOBUY
"การอ่านอีบุ๊คจากคอม" http://booksoho.com/#about/CHROME
"การอ่านอีบุ๊คด้วยแอพฯ banana Reader" http://booksoho.com/#about/BREADER

18 ก.ค. 13

ไอและไข้รุมๆ มาหลายวันจนทนไม่ไหว
เมื่อวานเลยตัดสินใจไปหาหมอ และได้ยาแก้อักเสบมากิน 10 วัน

ชีวิต "นักเขียนจ้างงานตัวเอง" ที่ "สวัสดิการสังคม" ของที่นี่ไม่คุ้มครอง เลยป่วยซ้ำ
เพราะต้องหาเงินอีกหมื่นบาทเพื่อจ่ายค่าหมอ ค่า x-ray และค่ายา

เฮ้อ!
* * * 

My friends write to me "How in hell did you manage to get yourself into this mess?"

My answer is that ...

Simply, it's the hell of Thailand article 112 that unionists, NGOs and journalists, both from Thailand and overseas - who have worked and connection in Thailand - have been avoiding to touch this issue since the beginning of their operation, because they know well that their life might bein 'hell'.

The silent of most Thai unionists and NGOs who were/ are heavily funded from overseas on 'Thailand 'freedom of speech' and 'article 112', and their support and, even, taking part in the ultra-royalists movements since 2006 make me sick.

The International unions and NGOs communities who also choose to shut-their-mouths on LM 112 and continue working with royalists' NGOs and unions like the April-May 2010's massacres has never happened ... will never understand why I put myself in 'hell', and will never understand why I decide to work as a 'self-employed-writer'.

I rather be in 'hell' than continuing to be blinded or pretend to be blinded.

* * *

ประเด็นที่น่าสนใจอยู่ตรงนี้คือ แม้จะมีรายได้เข้าประเทศมาก แต่ความเสียหายก็สูงมาก กระทรวงแรงงานจะมีมาตรการเชิงรุกอย่างไรบ้างในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างจริงจัง

เพราะการโปรโมตเรื่องรายได้จากคนงานไทยในต่างประเทศที่ผ่านมา ถูกนำมากลบข้อมูลความเสียหายและคนเสียหาย โดยที่กระบวนการรัฐไม่เคยช่วยเหลือคนกลุ่มนี้ที่มีเยอะมากได้เลย ... และปล่อยให้เผชิญชะตากรรมกันเอาเองด้วยทัศนคติที่เจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานมีกันว่า "ที่ทับล่ะไม่ร้อง ที่ท้องจะมาให้รับ"
---------

"นอกจากนี้ ข้อมูลการร้องทุกข์ของแรงงานไทยที่ทำงานในต่างประเทศ เดือน พ.ค. พบว่ามีการร้องเรียนกว่า 1 หมื่นราย แบ่งเป็นกรณีร้องเรียนที่ไม่เกี่ยวกับเงินสิทธิประโยชน์ 5,355 ราย และเกี่ยวกับเงินสิทธิประโยชน์ 4,820 ราย รวมเป็นยอดเงินกว่า 100 ล้านบาท โดยมีแรงงานในประเทศอิสราเอลร้องเรียนสูงสุด 25 ล้านบาท รองลงมาคือสิคโปร์ 22 ล้านบาท เกาหลีและไต้หวัน (เกาสง) อีกแห่งละ 16 ล้านบาท"


www.posttoday.com 
แรงงานไทยนำเงินเข้าประเทศ3.5หมื่นล. 
ช่วง 5 เดือนแรก แรงงานไทยในต่างประเทศ 4 แสนคน สร้างรายได้เข้าประเทศแล้วกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท

สำหรับคนซื้อหนังสือเปลื้องผ้าและไม่ไทยเลยฮะ

สำหรับคนซื้อหนังสือเปลื้องผ้าและไม่ไทยเลยฮะ

ขอบคุณที่ซื้อและอดทนในการพยายามอ่านหนังสือเล่มนี้

คุณ ธีรพงษ์ ส. แห่ง BookSoHo มีคำอธิบายเรื่องปัญหาต่างๆ ของการซื้อและการอ่านค่ะ ...

เนื่องจากความมักมากของผู้เขียนที่อยากให้ผู้อ่านได้ประโยชน์สูงสุดและได้หนังสือเล่มสวย ก็เลยใส่ภาพและการดีไซน์ไว้หนักไปหน่อย ทำให้ไฟล์มันใหญ่กว่าหนังสือ E-book โดยปกติทำให้หลายคนอ่านไม่ได้

ทางคุณธีรพงษ์กำลังอยากจะเขกกะโหลกเราวันละ 10 รอบ พร้อมแก้ไขปัญหาอยู่นะฮะ และได้มีคำชี้แจงไว้ดังข้างล่างนี้ค่ะ

อย่าเพิ่งทิ้งกันนะฮะ หนังสือเล่มนี้ตั้งใจเขียนให้อ่านกันจริงๆ จนได้ฉายา "นักเขียนไส้แห้ง" ไปตามระเบียบเรียบร้อย

ก็ขอให้ช่วยกันลุ้นและชวนกันอ่านต่อไปค่ะ
* * *

๑. แอพฯ banana Reader บนแอนดรอยด์ มีปัญหาการเปิดอ่านบนเล่มนี้ครับ เบื้องต้นพบว่า ตัวแอพฯจัดการหน่วยความจำไม่ดีพอ ทำให้ อีบุ๊คเล่มนี้ซึ่งมีรูปภาพขนาดใหญ่จำนวนมาก กินหน่วยความจำเกินขนาดในบางเครื่อง ผมกำลังหาทางแก้ไขอยู่ครับ ต้องขออภัยด้วย (กับเล่มอื่นไม่พบปัญหานี้)

๒. epub จากบุ๊คโซโหเข้ารหัสเพื่อปกป้องลิขสิทธิ์ไว้ครับ ดังนั้นหากแฮ็กเอาไฟล์ไปเปิดด้วยโปรแกรมอื่นก็จะอ่านไม่ได้ หรือหากใครเอาไฟล์ไปแจกก็อ่านไม่ได้
๓. ทางทุเลาปัญหากรณีแบบคุณเจริญชัย คือให้เปิดอ่านด้วยคอมพ์ ไปพลางก่อน โดยทำตามวิธีนี้ http://booksoho.com/#about/CHROME หากซื้อด้วยเครดิตซื้อ ก็ยังไม่ต้องชำระเงินนะครับ หากชำระเงินไปแล้ว ประสงค์จะขอคืนเงินก่อน ผมยินดีโอนเงินคืนให้ ต้องขออภัยด้วย บริการเพิ่งเปิดใหม่ มีสิ่งที่โปรแกรมเมอร์คาดไม่ถึงเสมอเป็นธรรมชาติของการพัฒนาซอฟท์แวร์ จะพยายามปรับปรุงให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ครับ ขอบคุณที่อุดหนุนและทดลองใช้

17 ก.ค. 13 ตามไปสอยมากันได้เลยฮะ เล่มนี้ไม่คิดตังส์ "หนังสื่อ facebook 2012"

วันนี้กูป่วย ไม่โพสต์มาก
แต่อยากเชิญชวนไปทวนความจำการเมืองแห่งปี 2012 กัน
เพราะแม้จะกลางปี 2013 แล้วสถานการณ์หลายเรื่องก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง

ตามไปสอยมากันได้เลยฮะ เล่มนี้ไม่คิดตังส์
"หนังสื่อ facebook 2012"
http://junyayimprasert.blogspot.fi/2013/06/facebook-2012.html




16 ก.ค. 13

การหากินโดยสุจริตนี่มันยากฉิบxxx ในประเทศและในโลกที่การหากินโดยไม่สุจริต และกินค่าสัมปทานหัวคิว และเงินบริจาคงอกเงยราวกับดอกเห็ด และมีแต่คนยกย่องสรรเสริญ

ก็แม่งเมื่อ ...
ขายหนังสือเรื่องแรงงานก็ไม่ได้ตังส์
ขายหนังสือเรื่องเซ็กส์ก็ไม่รู้จะได้ตังส์หรือเปล่า

กูก็มาคิดว่าน่าจะบวชเป็น "ท่านแม่แห่งเมืองหิมะน้ำแข็ง" ซะดีไหม ท่าจะรุ่งแฮะ

ตั้งตัวเป็นเจ้าลัทธิ "สอนหญิง" ให้ไม่รู้สึกผิดไปเสียทุกเรื่อง และจะทำอย่างไรให้ตัวเองมีความสุข ... ท่าทางจะรุ่งและน่าจะรวยไม่ยากนะ ... ชิมิ ชิมิ

สเตตัสยามอยากนับเงินยูโรเป็นฟ่อนๆ บ้างไรบ้างอ่ะ
* * *

ขอบคุณทั้ง 31 ท่านแรกที่ซื้อ "เปลื้องผ้าและไม่ไทยเลย" เป็นอย่างสูงนะฮะ

และก็คิดว่าหลายคนเจอปัญหากับความยุ่งยากกันบ้างก็เลยยังไม่ได้ซื้อ และก็ยังไม่ชินและคุ้นเคยกับระบบอ่านหนังสือออนไลน์ E-book

เช่นเดียวกับทุกร้านออนไลน์ ท่านต้องสมัครเป็นสมาชิกก่อนซื้อฮะ ทั้งนี้

1. มีคำแนะนำโดยละเอียดว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง ที่นี่http://booksoho.com/#about/HOWTOBUY

2. สำหรับคนไม่มี Ipad, Iphone, Tablet ก็สามารถอ่านจากเครื่องคอมฯ ได้ค่ะ โดยมีคำแนะนำดังนี้ http://booksoho.com/#about/CHROME

3. เนื่องจากหนังสือนั้นมีภาพประกอบเยอะทั้งเล่ม ทำให้ไฟล์ใหญ่ จึงจะต้องใช้เวลาโหลดระยะหนึ่ง ... ในช่วงนี้คนใจร้อน (เช่นกู) จะตกใจว่าทำไมมันโหลดไม่ได้ และกดปิดเปิดไฟล์เพื่อรีโหลดกันวุ่นไปหมด จนต้องปรึกษาคนตั้งระบบ

4. จะมีงานดีๆ ออกมาที่ BookSoHo อีกหลายเล่ม ดังนั้นถ้ามีปัญหาอะไรกับการจัดซื้อและอ่านเล่นของจรรยา หรือเล่มอื่นๆ ติดต่อขอคำแนะนำและขอแอดคุณ ธีรพงษ์ ส. ผู้ก่อตั้งระบบได้เลย

5. ขอบคุณทุกคนพันครั้งนะฮะ ที่ฝ่าความยุ่งยาก (ตั้งแต่นิดหน่อยจนมาก) เพื่อซื้อหนังสือ "เปลื้องผ้าฯ" เล่มนี้.
booksoho.com


เรื่องคนงานไทยที่มาเก็บเบอร์รี่ที่สแกนดิเนเวียร์


เรื่องงานไปเก็บผลไม้ป่า เบอร์รี่ หรือแบร์ ที่สแกนดิเนเวียนี่จิตวิทยาของงานที่สร้างขึ้นทั้งหมดตั้งอยู่บน "จิตวิทยาคนซื้อหวย" จริงๆ คือ "เสี่ยงได้เสี่ยงเสีย" และก็ขึ้นอยู่กับฤดูกาลด้วย บางปีดก บางปีไม่มี คาดการณ์ล่วงหน้าไม่ได้

และก็เช่นเดียวกับราคาผลผลิตการเกษตร ถ้าอะไรได้ดี เกษตรกรจะแห่พากันปลูกในปีถัดไป แล้วก็เจ๊ง

กรณีเบอร์รี่ ถ้าปีไหนดีดก ปีต่อมาคนก็จะอยากมามากขึ้น แล้วก็จะเสียหายมากขึ้น และก็จะเป็นวงจรแบบนี้ไปเรื่อยๆ

วิถีงานเบอร์รี่ มันเหมือนกับการซื้อหวย เราจะรู้จักและชื่นชมแต่ "คนที่ถูกรางวัล" ส่วนคนที่เสียเงิน 150,000 บาท ทำงานหนักเจียนตาย 70 วันๆ ละ 12-20 ชม. ไม่ได้พัก ทั้งยุง ทั้งฝน ทั้งชื้น ทั้งลื่น และทั้งหนาว ตลอดฤดูกาล ก็จะเกิดความอับอาย เก็บเรื่องราวอันเจ็บปวดไว้กับตัวเองและครอบครัว

และก็ไม่มีข้าราชการทั้งจากไทยและจากสแกนดิเนเวีย พยายามศึกษาว่าคนเสียหายนั้นมีเท่าไรกันแน่

เพราะไม่อยากให้ความจริงมากระทบอุตสาหกรรมที่ทำผลกำไรให้อย่างงดงามที่สวีเดนและฟินแลนด์ จนขนาดคนว่างงานในพื้นที่เก็บเบอร์รี่กว่า 25% ไม่ต้องทำงานอะไรได้ทั้งปี (แต่ก็ไม่ยอมเก็บเบอร์รี่ขายให้บริษัทเด็ดขาด)


จรรยา ยิ้มประเสริฐ
https://www.facebook.com/junya.yimprasert/posts/10200340708381044?comment_id=4975514


* * * 

เรื่องงานไปเก็บผลไม้ป่า เบอร์รี่ หรือแบร์ ที่สแกนดิเนเวียนี่จิตวิทยาของงานที่สร้างขึ้นทั้งหมดตั้งอยู่บน "จิตวิทยาคนซื้อหวย" จริงๆ คือ "เสี่ยงได้เสี่ยงเสีย" และก็ขึ้นอยู่กับฤดูกาลด้วย บางปีดก บางปีไม่มี คาดการณ์ล่วงหน้าไม่ได้

และก็เช่นเดียวกับราคาผลผลิตการเกษตร ถ้าอะไรได้ดี เกษตรกรจะแห่พากันปลูกในปีถัดไป แล้วก็เจ๊ง

กรณีเบอร์รี่ ถ้าปีไหนดีดก ปีต่อมาคนก็จะอยากมามากขึ้น แล้วก็จะเสียหายมากขึ้น และก็จะเป็นวงจรแบบนี้ไปเรื่อยๆ

วิถีงานเบอร์รี่ มันเหมือนกับการซื้อหวย เราจะรู้จักและชื่นชมแต่ "คนที่ถูกรางวัล" ส่วนคนที่เสียเงิน 150,000 บาท ทำงานหนักเจียนตาย 70 วันๆ ละ 12-20 ชม. ไม่ได้พัก ทั้งยุง ทั้งฝน ทั้งชื้น ทั้งลื่น และทั้งหนาว ตลอดฤดูกาล ก็จะเกิดความอับอาย เก็บเรื่องราวอันเจ็บปวดไว้กับตัวเองและครอบครัว

และก็ไม่มีข้าราชการทั้งจากไทยและจากสแกนดิเนเวีย พยายามศึกษาว่าคนเสียหายนั้นมีเท่าไรกันแน่

เพราะไม่อยากให้ความจริงมากระทบอุตสาหกรรมที่ทำผลกำไรให้อย่างงดงามที่สวีเดนและฟินแลนด์ จนขนาดคนว่างงานในพื้นที่เก็บเบอร์รี่กว่า 25% ไม่ต้องทำงานอะไรได้ทั้งปี (แต่ก็ไม่ยอมเก็บเบอร์รี่ขายให้บริษัทเด็ดขาด)
* * *


XXX: เง้อ........ แม่ผมก็ไปเก็บมา แถมยังจะชวนผมไปเก็บอีก

จรรยา: ตายแน่ ... มันเหนื่อยจริงๆ นะ

ทำใจทำงาน 70 วัน ตั้งแต่ตีสี่ถึงเที่ยงคืน ไม่ได้พัก เดินวันละเป็นสิบๆ กิโล และก้มๆ เงยๆ วันละพันครั้งได้เปล่าล่ะ

ไม่แนะนำจริงๆ ฮะ ... เพราะนอกจากหาเงิน 80}000 จากไทยเพื่อจ่ายค่าใช้จ่ายเดินทางไปเสี่ยงแล้ว เมื่อไปถึงก็จะถูกบีบให้เก็บเพื่อจ่ายค่าใช้จ่ายที่แคมป์และการเก็บอีก 70,000 กว่าบาท

กว่าจะเก็บค่าใช้จ่ายที่สวีเดนหรือฟินแลนด์ได้ก็เครียดกันทุกวันแล้ว จะเก็บเพื่อให้ได้อีก 80,000 เพื่อจ่ายค่าใช้จ่ายที่กู้จากเมืองไทยก็เครียดต่อ และก็เหนื่อยสุดๆ และเครียดต่อกับการเร่งเก็บในระยะสุดท้ายเพื่อหวังกำไรบ้าง

ถือว่าไปทำงานเพื่อใช้หนี้จริงๆ ฮะ .... ไม่มีใครไม่เครียดจากการทำงานเก็บเบอร์รี่
* * *

คนเก็บเบอร์รีไทยก็เหมือนกับคนงานพม่าที่แม่สอดเลยฮะ ...

ยิ่งพวกหัวหน้างานทำตัวเป็นมาเฟีย นี่คนงานหงอเลยฮะ ...

เนื่องจากสภาพปัญหาที่เลวร้ายที่คนงานเก็บเบอร์รี่ชาวไทยต้องพบเจอ สื่อและนักกิจกรรมจึงพยายามเดินทางไปแคมป์ (ที่ทุกบริษัทจะปิดเป็นความลับไม่เปิดเผยชื่อในสาธารณะ ต้องเสาะหากันเอง) แต่การเข้าแคมป์ก็ทำไม่ได้อีก ถ้าไม่ได้รับอนุญาต ... คนงานไทยเหมือนเป็นนักโทษเลยฮะ ...

จะพูดคุยกับใคร พวกหัวหน้าและสายที่พามาก็จะพากันมาอยู่ใกล้ๆ ทำให้พูดไม่ได้ถนัดนัก หรือถ้าคนงานพูดปัญหา หัวหน้าก็จะสวนทันควันพร้อมสายตาขู่คนงาน ...

ส่วนนักข่าวหรือคนท้องถิ่นก็แยกไม่ออกว่าใครเป็นนายหน้าหรือใครเป็นคนถูกพามา ...

เรื่องราวคนงานเบอร์รี่ที่ออกสื่อจึงมักมาจากปากคำคนงานที่นายหน้าคัดเลือกตัวให้มาพูดกับสื่อแล้ว คนงานที่ประสบความสำเร็จเท่านั้น ...

3 ปี กับการศึกษาเรื่องนี้ เห็นใส้เห็นพุงธุรกิจและก็ส่งสารคนไทยปีละหลายพันคนที่ถูก "การค้าฝัน" พามาทำงานฟรีราวกับทาส" เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของธุรกิจเบอร์รี่และการหล่อเลี้ยงธุรกิจค้ามนุษย์กินค่าหัวคิวแรงงานของเมืองไทย

* * *
รายงานชิ้นนี้เป็นรายงานที่ให้เห็นภาพเรื่องอุตสาหกรรมเบอร์รี่ชัดมาก ...

ตอนนี้จรรยา กำลังทำงานร่วมกับนักวิชาการและนักกิจกรรมที่ฟินแลนด์ เพื่อร่วมกันเขียนหนังสือ "เส้นทางเก็บเบอร์รี่ของคนงานไทยที่มาฟินแลนด์" อยู่ฮะ คิดว่าจะพยายามทำให้มันสามารถแปลเป็นภาษาไทยและพิมพ์ภาษาไทยไปด้วย

คนไทยไม่กันเท่าไรว่า กรณีคนงานเบอร์รี่นี่ได้รับความสนใจจากสื่อ นักวิชาการ นักกิจกรรมที่ฟินแลนด์มากพอสมควร

เพราะข้าราชการเมืองไทย "นอกจากช่วยโปรโมต" ให้อุตสาหกรรมเบอร์รี่ และเตรียมตัวหาเรื่อง "มาดูงาน" ที่สแกนดิเนเวียแล้ว ก็ไม่มีใครเลยคิดจะทำข้อมูลและสภาพความเป็นจริงของเรื่องนี้ออกมาเผยแพร่ให้คนสนใจเก็บเบอร์รี่ชาวไทยมีทางเลือกของข้อมูลเพื่อใช้วิเคราะห์มาก

จรรยาได้รับเชิญไปนำเสนอปัญหาเรื่องนี้บ่อยครั้งกับสื่อและแม้แต่ข้าราชการกระทรวงแรงงานที่ฟินแลนด์ สวีเดน และ เยอรมัน ...

แต่กระทรวงแรงงานไทย รมต. กระทรวงแรงงานไทย ไม่เคยแม้แต่สักครั้งเดียวที่จะติดต่อมาเพื่อขอคำปรึกษาหรือขอข้อมูล ... ไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียวฮะ ... ทั้งๆ ที่ในแวดวงคนที่สนใจนี้ ต่างรู้ว่าเรื่องคนงานเบอร์รี่นี่ต้องถามจรรยาก็ตาม

กระทรวงแรงงานกลายเป็นที่ต่อรองเปอร์เซ็นต์เงินใต้โต๊ะระหว่างบริษัทจัดหางานกับนักการเมือง ข้าราชการ ในนามเพื่อนโยบายการค้ำประกันเงินกู้

เพราะอุตสาหกรรมนี้ต้องใช้เงินมหาศาล จะขนคน 10,000 คน มาสแกนดิเนเวีย ต้องมีเงินค่าใช้จ่ายอย่างต่ำคนละ 75,000 บาท คิดเป็นเงินก็ปีละ 750 ล้านบาทแล้ว เพื่อการใช้จ่ายจากเมืองไทย

ใครคำประกันล่ะ ก็กระทรวงแรงงานนี่ล่ะ ค้ำประกันเงินกู้ ธกส. หรือออกนโยบายให้ ธกส. ปล่อยเงินกู้เหล่านี้ ...

ใครใช้หนี้ล่ะ ...ก็คนหมื่นคน ...นี่ล่ะ

ทุกครั้งที่คน "หมื่นคน" ไม่ได้หอบเงินกลับมาใช้หนี้ได้หมด ...พวกเขาต้องหาเงินจากเมืองไทยมาใช้หนี้ต่ออีก ... บางคนเป็นปีหรือสองปีกว่าจะใช้หนี้เบอร์รี่เพียงปีเดียวหมด

ยิ่งถ้ามากันครอบครัวล่ะ 2 คน หรือ 3 คน ความเสี่ยงหนี้สูง ก็จะเยอะขึ้น

ถามว่าคนงานมีข้อมูลแค่ไหนก่อนตัดสินใจ นอกจากสายนายหน้าจะยุทุกวันว่า "ปีนี้ดี ปีนี้ได้แน่"

และกระทรวงแรงงานที่ไม่สนใจปัญหา ก็จะคอยประกาศข่าวช่วยบริษัทเมื่อหาคนเก็บไม่ได้ตามโควต้า ... และทำหน้าที่รับประกันให้บริษัทจัดหางาน

ทั้งนี้ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องและได้ประโยชน์ไม่เคยมีใคร "รับผิดชอบ" คนงานที่เสียหายได้เลย รวมทั้งบริษัทที่ได้ประโยชน์ที่สุดคือ "บริษัทรับซื้อ" ในสองประเทศนี้

อ่านรายงาน "“เจาะลึกและตีแผ่ขบวนการพาคนไทยมาเก็บเบอร์รี่
ที่สวีเดน ฟินแลนด์”
* * *


เตรียมพร้อมไปเก็บผลไม้ที่สวีเดน เตรียมการป้องกันปัญหาแล้วหรือยัง?

พัชณีย์ คำหนัก
ผอ.โครงการรณรงค์เพื่อแรงงานไทย 
ที่มา Thai Labour Campaign

ณ เวลานี้ คนงานไทยพร้อมแล้วสำหรับฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลเบอรี่ประจำปี 2556 ของประเทศสวีเดนและฟินแลนด์ เพราะล่าสุด มีคนงานไทยได้รับอนุญาตให้ไปทำงานเก็บผลเบอรี่ที่สวีเดนแล้วจำนวน 6,000 คน และยังมีคนไทยที่ได้รับวีซ่านักท่องเที่ยวจากสถานทูตสวีเดนในกรุงเทพฯ แล้วราว 4,000 คน ตั้งแต่เดือนเม.ย.ถึงมิ.ย. แต่ไม่ทราบว่าในจำนวนนี้ ไปเก็บผลไม้ป่าจำนวนกี่คน ทั้งนี้ คนที่ไปทำงานเก็บผลไม้ป่าจำนวนมากมักถือวีซ่านักท่องเที่ยว ส่งผลให้มีคนงานเป็นจำนวนมากแข่งขันกันเก็บเบอรี่ แบบหามรุ่งหามค่ำ เพื่อให้คุ้มค่ากับค่าบริการที่จ่ายให้แก่บริษัทจัดหางาน 70,000-80,000 บาท รวมทั้งยังต้องออกค่าใช้จ่ายในระหว่างทำงาน เช่น ค่าอาหาร ค่าที่พัก ค่าน้ำมัน อีกหลายหมื่นบาท (รวมค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นประมาณ 150,000 บาท) และเช่นเดียวกันคนงานจำนวนหนึ่งจากอำเภอทุ่งฝน จังหวัดอุดรธานีเพิ่งออกเดินทางไปทำงานที่ประเทศฟินแลนด์เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้ จากจำนวนทั้งสิ้นที่ได้รับอนุญาตประมาณ 2,000 คน และจะทยอยเดินทางไปยังสวีเดนในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

ก่อนหน้านี้ไม่นาน อาจจะด้วยความบังเอิญ เว็บไซด์ข่าวภาษาสวีดิช Aftonbladet พาดหัวว่า เจ้าแห่งธุรกิจเบอรี่ : ผมถูกหุ้นส่วนโกง (Head line: King of Berries: I was cheated by my companions) กล่าวคือ นาย Ari Hallikainen อายุ 52 ปี เจ้าของบริษัท ลอมโจ้ บาร์ (Lomsjö Bär) ประเทศสวีเดน ที่หอบเงินหนีจำนวนหลายล้านบาทมายังเมืองไทยและทิ้งคนงานไทยเก็บผลไม้ป่าเมื่อปี 2553 จำนวน 156 คน โดยไม่ยอมจ่ายค่าจ้างตามกฎหมาย ถูกตำรวจไทยจับกุมเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และถูกคุมขังที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อรอส่งกลับประเทศสวีเดน (ข่าวตีพิมพ์ลงวันที่ 4 ก.ค.56. ที่มา: เว็บไซด์ Aftonbladet,http://www.aftonbladet.se/nyheter/article16323048.ab ) ผู้เขียนใคร่ถามกระทรวงแรงงานว่า คิดอย่างไรกับข่าวการจับกุมเจ้าของธุรกิจผลไม้เบอรี่กรณีนี้?

หลังดำนาเสร็จตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป คนงานไทยที่มีอาชีพทำนา ก็จะเตรียมตัวออกเดินทางอย่างไม่ชักช้า เพื่อเข้าทำงานในฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลเบอรี่ตั้งแต่สิ้นเดือนกรกฎาคมถึงสิ้นเดือนกันยายน ซึ่งต่างกู้ยืมเงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) เพื่อจ่ายเป็นค่านายหน้าแก่บริษัทจัดหางานจำนวน 75,000 บาท เข้ารับการอบรมจากกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน เซ็นสัญญากับบริษัทเป็นที่เรียบร้อย (สัมภาษณ์คนงานไทยไปทำงานสวีเดน ม.2 อ.ทุ่งฝน จ.อุดรธานี. 12 ก.ค. 56 โดยโครงการรณรงค์เพื่อแรงงานไทย)

จากบทเรียนที่ผ่านมา ประเด็นปัญหาการเอารัดเอาเปรียบคนงานไทยเก็บผลไม้ป่าที่สวีเดน ที่ทำให้คนงานขาดทุนเป็นหนี้จำนวนมากและยากจนนั้น มี 4 ประการ คือ

1. การไม่มีหลักประกันว่า คนงานจะมีรายได้ตามอัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามกฎหมายของสวีเดน (ประมาณเดือนละเกือบ 80,000 บาท) และมีกำไรกลับมา ตามที่กรมการจัดหางานชักชวน เนื่องจากเคยเกิดปัญหานายจ้างโกงค่าจ้าง ไม่จ่ายค่าจ้างตามอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่กำหนด หรือตามที่ตกลงกับลูกจ้างไว้ ในช่วงเวลาที่คนงานใกล้จะกลับบ้านเต็มที นอกจากนี้ ปัญหาจำนวนคนเข้าไปเก็บมีจำนวนมาก โดยเฉพาะคนงานที่ไปในฐานะนักท่องเที่ยวนับหมื่นคน พร้อมๆ กับที่คนงานไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่า จะมีผลไม้เพียงพอสำหรับทุกคนหรือไม่ พอที่จะได้กำไรกลับมาไหม โดยที่การเก็บไม่ต้องอาศัยประสบการณ์อะไรมากนัก อีกทั้งการที่ผู้รับเหมาช่วง ปล่อยคนงานให้โดดเดี่ยว ไม่ดูแลหาผลไม้ป่าตามป่าเขาต่างๆ ผลักภาระให้คนงานไปหาเอง ซึ่งเดินทางออกไปไกลนับร้อยกิโลเมตร

2. การบริหารงานของนายจ้างแต่ละบริษัทไม่เหมือนกัน นายจ้างบางแห่งบังคับให้คนงานต้องกลับมานอนในแค้มป์ ไม่อนุญาตให้พักตามเขา ซึ่งคนงานบ่นว่า เดินทางไปนับร้อยกิโลเมตรและกลับดึกมาก การโอนเงิน หักเงินค่าใช้จ่ายของคนงานต้องผ่านธนาคารที่เมืองไทยก่อน การแลกเปลี่ยนเงินตราที่สร้างภาระให้แก่คนงาน การค้ำประกันเงินกู้ของนายจ้าง/นายหน้าไม่เหมือนกัน มีการเซ็นสัญญาฉบับที่ 2 ที่ปลายทาง การหักค่าใช้จ่ายในแต่ละวันที่ต่างกันบ้าง การจัดหาความสะดวกสบายที่พัก รถ เช่น รถเสียบ่อย ทำให้เสียเวลาทำงาน การหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามสัญญาจ้าง แต่สิ่งที่คล้ายกันคือ ชั่วโมงการทำงาน สภาพการทำงานที่หนัก พักผ่อนน้อย เร่งงาน อาหารการกินซ้ำๆ เป็นต้น

3. คนงานไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารที่สำคัญและจำเป็นสำหรับตัดสินใจที่จะไปทำงานต่างประเทศ เช่น การได้รับแจ้งถึงจำนวนคนไปทำงาน ประมาณการจำนวนผลไม้ แต่สิ่งที่จูงใจให้ไปคือ การบอกว่าจะได้เงินกลับมาหลายหมื่นจนถึงแสนบาท และการเลือกรับข้อมูลตัวอย่างบุคคลที่ประสบผลสำเร็จเท่านั้น โดยไม่ตระหนักถึงปัญหาและบทเรียนที่ผ่านมา ทั้งนี้ คนงานไม่มีทางเลือกของอาชีพอื่นที่ดีกว่า จึงต้องออกไปแข่งขันกันเก็บผลไม้ และไปอีกเป็นครั้งสอง ครั้งที่สาม อย่างไรก็ตามยังมีคนงานบางส่วนที่เคยไปแล้วผิดหวังกลับมา ไม่ประสงค์จะเดินทางอีก เพราะมองว่าไม่คุ้มค่าที่จะแบกความเสี่ยงนี้

4. นโยบายส่งออกแรงงานไทย เชิญชวนคนงานไปทำงานเก็บเบอรี่ที่สวีเดนและฟินแลนด์มีมาอย่างต่อเนื่อง แต่ขาดการเพิ่มมาตรการดูแลสิทธิประโยชน์ของคนงาน ไม่มีการบังคับให้บริษัทจ่ายค่าชดเชย และค่าจ้างให้ครบตามอัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามที่ประกันไว้ และไม่มีนโยบายปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของคนงานไทยในต่างประเทศ ขาดการตรวจสอบ ลงโทษบริษัทจัดหางาน นายจ้างที่ทำผิดกฎหมาย นอกจากนี้ อนุญาตให้บริษัทจัดหางานที่เคยถูกคนงานหลายร้อยคนร้องเรียน ขึ้นศาล ดำเนินการจัดหางานเช่นเคย ซึ่งสะท้อนถึงปัญหากระบวนการจัดหางานที่ไม่เป็นธรรม และสัญญาจ้างที่คนงานยังเสียเปรียบอยู่มาก

เฝ้าระวังการละเมิดสิทธิแรงงาน

กรณีฟินแลนด์

สำหรับคนงานไทยที่ไปเก็บผลไม้ป่าที่ประเทศฟินแลนด์ หากมีปัญหาถูกนายจ้างเอาเปรียบละเมิดสิทธิในเรื่องของสภาพการทำงาน เงินเดือน สามารถปรึกษาทนายความคุณ Ville Hoikkala โดยส่งข้อความ sms พิมพ์คำว่า Thai และหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อกลับ ส่งไปที่หมายเลขโทรศัพท์ +358 50 407 2829 จากนั้นทนายความจะติดต่อกลับไปเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ (ที่มา : http://villehoikkala.com/lakipalvelu-ville-hoikkala/en/ )

กรณีสวีเดน

คนงานไทยสามารถติดต่อสหภาพแรงงานคอมมูนัลที่มีสาขาอยู่ทุกเขตเทศบาล โดยโทรศัพท์ติดต่อในเวลาทำการ ได้ที่ 010-442 7000 แฟกซ์ 08-31 87 45 หรือติดต่อแผนกต่างๆ ดังปรากฏในเว็บไซด์www.kommunal.se/avdelningar

หรือติดต่อร้องทุกข์ที่สถานทูตไทยประจำประเทศสวีเดนและฟินแลนด์ ซึ่งคนงานมักมีประสบการณ์ร้องเรียนหน่วยงานดังกล่าว และก่อนที่จะเดินทางกลับ คนงานต้องทราบถึงสิทธิและร้องเรียน เรียกร้องสิทธิตามกฎหมายของประเทศนั้น เพื่อสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้นกับคนงานโดยรวม


Date post : 16/07/2556

15 ก.ค. 13

เมื่อจมอยู่กับตัวเอง เรามักจะคิดว่าเราทุกข์และเหงาที่สุดในโลก

แต่เพียงแค่เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง
เห็นคนเก็บขวดชาวบังคลาเทศ นอนหลับอย่างเหนื่อยล้า ในสวนพร้อมเป้ 1 ใบที่เห็นเขาแบกไปทุกที
ไม่ว่าฝนจะตก แดดจะออก หรือหิมะจะตก
เขาเดินเก็บขวดและกระป๋องเบียร์ทุกวัน
ไม่เคยพูดจากกับใคร
และไม่มีใครทักถามว่าเขาทนทำงานหนักอย่างนี้เพื่ออะไร

แม้แต่กูก็ไม่กล้าซักถาม เพราะไม่อยู่ในสภาพที่จะหันมาดูแลคนงานอพยพ
ในประเทศที่กูก็มีสถานภาพไม่ต่างกัน

การไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่าการห่วงใยเพื่อนมนุษย์อยู่ห่างๆ
ก็เป็นความละอายใจ

เพียงแค่มองออกไปนอกหน้าต่าง กูก็ไม่ใช่คนทุกข์ที่สุดในโลกเสียแล้ว!

และเมื่อเห็นน้องหญิงหลายคนในเฟซบุ๊คพร่ำเพ้อรำพันและดูหม่นเศร้าเหงาหงอย
ก็ทำให้นึกถึงเพลง Street of London

อย่าบ่นเหงาไปใยเพียงแค่พระอาทิตย์ไม่สองแสงวันนี้!

* * *

Ralph McTell - Streets Of London HD

 


* * *

โอ่ ... นี่มันภาพแห่งอนาคตอันไม่น่าจะไกล 

หลังการปรองดองแห่งชาติประสบความสำเร็จเลยนะเนี่ย!!!!


ชอบภาพนี้จริงๆ
* * *

มาฟัง หนุ่ม เรดนนท์ พูดถึงสภาพคุกไทย และสิ่งที่นักโทษการเมืองและนักโทษ 112 ต้องพบเจอ

เศร้าสะเทือนใจไปกับพวกเขาทุกคนจริงๆ




* * *


สุรภักดิ์ ภูไชยแสง เหยื่อ ๑๑๒ ที่อยุติธรรม
15 July 2013 at 18:11

ข้อมูลนี้ คัดลอกมาจากเพจของคุณ สุรภักดิ์ ภูไชยแสง เพราะเห็นว่าเป็นข้อมูลที่เพื่อนๆ นักสู้เพื่อความยุติธรรม ควรทราบ และได้ขออนุญาตแล้ว ... ยายสา

**********************

2 ก.ย 54 ผมถูก ปอท.ค้นห้อง และอุ้มเข้าสถานี..จับยัดคุก ห้ามประกัน จนในที่สุด ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง 31 ต.ค 55 // 20 ก.ย 54 คอป. นำเสนอแนวทางเพื่อการปรองดอง..25 ก.ย 54 มีมติ ครม.รัฐบาลยิ่งลักษณ์ตอบรับตามกรอบ คอป. โดยขอความร่วมมือไปยังหน่วยงานต่างๆ ของกระบวนการยุติธรรม (คดี พรบ.คอม+112 หากหลักฐานเล็กๆน้อย ไม่พอจะชี้ความผิดของจำเลย ให้พนักงานสอบสวนทำความเห็นไม่ฟ้อง..หรืออัยการไม่สั่งฟ้อง หรือศาลจำหน่ายคดี...หรือให้สิทธิประกันตัว นั้น) 25 พ.ย 54 อัยการสั่งฟ้องคดีสู่ศาล ในกรณีของอัยการก้อพอฟังขึ้นว่า..รัฐบาลไม่สามารถแทรกแซงดุลยพินิจของอัยการได้.....แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อยู่ใต้การบังคับบัญชา ของรัฐบาล อยู่ภายใต้บังคับบัญชา ของรองนายกชื่อ เฉลิม นั้นเหตุใดไม่สนองนโบบายรัฐบาล ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาต ทำไมไม่ทำความเห็นไม่ฟ้องไปยังอัยการสูงสุด (คดีความมั่นคง) นี่คือหลักฐานความจริงใจของรัฐบาลที่ได้ชื่อว่ามาจากประชาธิปไตย..ท่านสร้างภาพออกสื่อว่าปฎิบัติตามข้อเสนอ คอป. แต่ตำรวจภายใต้ท่าน ทำความเห็นสั่งฟ้องผมได้งัย...

****************************************


อัยการตอบกลับมาแล้ว กรณีผมทำหนังสือของโน๊ตบุก ของกลางคืนจากพนักงานสอบสวน.....วันนี้ผมโทรไปถาม...ท่านตอบว่า ยกคำร้องเพราะคดี ยังไม่ถึงที่สุด...ส่วนหนังสือตอบรับยังมาไม่ถึง.ในส่วนที่เป็นทรัพย์สินที่คนอื่นเป็นเจ้าของร่วมด้วยนั้น..ท่านให้เหตุผลว่าอย่างไร//

วันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2556


เรียน พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด ( สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา ๖ สำนักงานคดีอาญา) เรื่อง ขอคืนของกลางจากพนักงานสอบสวน
 
ข้อ ๑. ตามที่ข้าพเจ้าตกเป็นจำเลยคดีอาญา ฐานความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิด เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งศาลชั้นต้นได้พิพากษาเมื่อวันที่ 31 เดือนตุลาคม พ.ศ.2555 ยกฟ้องจำเลยตลอดข้อกล่าวหา ตามคดี หมายเลขดำที่ อ.๔๘๕๓/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๕ เดือนมกราคม ๒๕๕๖ 
ข้อ ๒. ในคดีนี้ พนักงานสอบสวนได้ยึดทรัพย์สินที่อ้างว่า ใช้ในการกระทำความผิด ไปหลายรายการดังนี้ ๑) คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊กยี่ห้อ โซนี่ (vaio สีขาว) ๑ เครื่อง ๒) แอร์การ์ด ๑ อัน ๓) แผ่นซีดีโปรแกรม บรรจุในกระเป๋าซีดี ๕๒ แผ่น ๔) คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ ๑ เครื่อง ซึ่งการยึดทรัพย์ดังกล่าว เพื่อไปตรวจพิสูจน์ว่าอุปกรณ์ดังกล่าว ใช้ในการกระทำผิดหรือไม่ บัดนี้ การพิสูจน์หลักฐานดังกล่าว ได้ตรวจพิสูจน์เสร็จ และผลการตรวจพิสูจน์ ได้ใช้ในการสืบพยานโจทย์ในศาลชั้นต้น เสร็จสิ้นแล้ว อีกทั้งในคำพิพากษาศาลชั้นต้น ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลย ได้ใช้ของกลางดังกล่าว ในการกระทำความผิด จึงไม่มีความจำเป็นที่พนักงานสอบสวน ยึดอุปกรณ์ดังกล่าวไว้อีกต่อไป

ข้อ ๓. อุปกรณ์ใน ข้อ ๒. เป็นทรัพย์สินของบริษัท วีว่าโซลูชั่น จำกัด ซึ่งจำเลยและบุคคลอื่น เป็นเจ้าของร่วมกัน อีกทั้งในคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ก มีข้อมูลโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (source code) เป็นทรัพย์สินของบริษัท ที่บริษัทได้พัฒนาขึ้นมา เพื่อจำหน่าย ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด ตามที่โจทย์กล่าวหา
 
ข้อ ๔. เพื่อสิทธิอันชอบธรรมตามกฎหมาย และการดำรงไว้ซึ่งกระบวนการยุติธรรม ข้าพเจ้าขอให้อัยการมีคำสั่ง ให้เจ้าพนักงานกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดทางเทคโนโลยี ส่งคืนทรัพย์สินดังกล่าวแก่ข้าพเจ้า 
ขอแสดงความนับถือ 
(ลงชื่อ)
................................
นายสุรภักดิ์ ภูไชยแสง
จำเลย / กรรมการผู้จัดการ บจก.วีว่าโซลูชั่น