One of the driving force in my life is the words of my sister saying that "you make your own choice, you deal with it yourself".
And if it's not helpful, the words of Thai berry pickers saying to me that "no one can help anyone, everyone is all dying", is echoing in my mind.
พลังขับเคลื่อนชีวิตที่ทำให้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตก็ไม่เคยยอมแพ้คือ คำพูดของพี่สาวที่ว่า "มึงเลือกของมึงเอง ก็ต้องแก้ปัญหาด้วยตัวมึงเอง"
หลายครั้งที่รู้สึกจะสู้ไม่ไหว คำพูดของคนงานเบอร์รี่ก็ก้องเข้ามาว่า "ไม่มีใครช่วยใครได้หรอกครับ มันก็จะตายกันหมดแล้ว"
ตลอดทั้งเดือนนี้ คำพูดทั้งสองประโยค คือ พลังขับเคลื่อนที่สำคัญในชีวิต ณ ยามนี้
* * *
พร้อมนำข้อความของพี่สมยศ มาบอกกล่าวกับพวกเราว่า "พี่สมยศตอบว่า "ไม่แน่นอน เขาจะขอสู้ต่อไป และจะขอตายในคุก"
ขอยืนเคียงข้างพี่สมยศในการต่อสู้ครั้งนี้!!!
และขอเป็นกำลังใจให้นักโทษ 112 ที่ออกจากคุกทุกคนสามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้อย่างสง่างาม
ธันย์ฐวุฒิ ทวีวโรดมกุล
วันนี้ ได้มีโอกาสสอบถามพี่สมยศอีกครั้งว่า เมื่อผมได้รับอภัยโทษ ให้พ้นโทษออกมาแล้ว หลังจากนี้แล้ว คิดอย่างไร คิดที่จะเลือกแนวทางเดียวกันกับผมมั๊ย พี่สมยศตอบว่า "ไม่แน่นอน เขาจะขอสู้ต่อไป และจะขอตายในคุก" คำพูดนี้แม้ผมจะฟังดูแล้วสลด และเศร้าใจ แต่ก็ขอนับถือ และเคารพในการตัดสินใจของพี่เขา หว้งว่าจะอีกไม่นาน ที่จะมีอะไรดีๆ เกิดขึ้นกับพี่สมยศ และพวกที่พิเศษกรุงเทพฯ รวมถึง เพื่อนๆ ที่หลักสี่ด้วยนะครับ เพราะไม่มีใคร.. ควรต้องอยู่ในที่เหล่านี้นเลย สักคน
* * *
เพราะชาวนาต้องโง่ ต้องทำงานอึดยังกับควาย และต้องกินอยู่อย่างพอเพียง ...
ทั้งนี้เพื่อให้เหลือ "มูลค่าส่วนเกิน" มากที่สุด เพื่อนำมาเลี้ยงดูราชสำนักและเมืองหลวง ให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างหรูหราฟู่ฟ่า ...
เป็นเช่นนี้มาตลอดยุคสมัยการเมืองภายใต้ร่มพระบรมโพธิสัมภาร
แต่มันกำลังจะเปลี่ยนแปลงเพราะการเมืองเลือกตั้ง และเพราะพรรคการเมืองในท้ายที่สุดต้องฟังเสียงชาวนาชาวไร่ ซึ่งเป็นพลังเสียงผู้ลงคะแนนเสียงจำนวนมหาศาล ที่ไม่ได้จำกัดตัวอยู่กับพรรคการเมืองเจ้าเก่าอีกต่อไป
ปัญหาเรื่องข้าวเรื่องชาวนาในปัจจุบัน จึงเป็นปัญหาการเมือง จึงเป็นปัญหาวิธีคิดแบบ "คนเมือง" ที่ไม่ให้เคยให้คุณค่าหรือนับถือคนผลิตอาหารเลยในประเทศไทย
* * *
นับตั้งแต่ปี 2500 - 2530 อุดมการณ์การปกครองและจัดสรรงบประมาณแผ่นดินของไทยอยู่ภายใต้รัฐบาลนายพลทหารที่ฉ้อฉลอย่างเบ็ดเสร็จ - จะมีช่วงเบรคบ้างก็เพียงแค่ระหว่างปี 2517-2519 ซึ่งก็เป็นไปอย่างหน้าซิ่วหน้าขวาน
แต่ต้องยอมรับว่า นับตั้งรัฐบาลนายกชาติชาย ตั้งแต่ปี 2530 พร้อมกับการล้มสลายของค่ายคอมมิวนิสต์และนโยบายการเมืองใหม่ทั่วโลกเพื่อ"เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า" ภายใต้การทำภาคีร่วมมือทุกระดับทั้งระดับทวิภาคี พหุภาคีและระดับภูมิภาค
ทำให้ค่ายทหารที่เคยคุมนโยบายการเมืองและการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินอย่างสบาย ต้องเผชิญกับคู่แข่งที่ใช้กระบวนการได้มาซึ่งอำนาจที่ต่างจากวิถีกระบอกปืนที่เคยชิน ...
ทหารจึงใช้ยุทธศาสตร์สงครามเย็น "ปกป้องชาติและกษัตริย" อย่างเข้มขึ้นขึ้นเรื่อยๆ จนโค่นรัฐบาลชาติชายด้วยรัฐประหาร 2534 พร้อมกับประสบความสำเร็จในการชูภาพ "ศูนย์รวมใจคนไทยทั้งชาติ" ของ "ในหลวง" ในการไกล่เกลี่ยความขัดแย้งทางการเมืองหลังรัฐประหาร 2534
กระบวนการเชิดชู "ในหลวง" กันจนเลยเถิด โดยเฉพาะผ่านทาง "ข้าราชการคนเมือง" และพรรคการเมืองของอำมาตย์ "พรรคประชาธิปัตย์" ที่เริ่มสั่นคลอนมากขึ้นเรื่อยๆ กับการตื่นตัวทางการเมืองของ "คนไกลเมือง" และเมื่อคน "เมืองไกล" เริ่มขยายและพัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ และผู้มีเสียงเริ่มรู้จักการสร้างอำนาจต่อรองมากขึ้นเรื่อยๆ
การเมืองไทยยามนี้ อยู่ในช่วงระยะสุดท้ายของการพยายามของค่ายอำมาตย์เพื่อยึดกุมพลังที่อ่อนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ของ "ในหลวง"
หน้าที่ของเรา "พลเมือง" ที่รู้เท่าทันคือมองปรากฎการณ์เหล่านี้ด้วยสติ อดทนและสันติ และสร้างอำนาจต่อรองกับตัวแทนทางการเมืองให้ขับเคลื่อนนโยบายอย่างโปร่งใสและซื่อสัตย์ เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่
ความโปร่งใส ซี่อสัตย์ มีประสิทธิภาพ และป้องกันการคอรัปชั่นได้สำเร็จมากที่สุดของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ณ ยามนี้ คือเกราะป้องกันการถูกโค่นจากสำคัญที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด
ถ้ารัฐบาลอยู่รอดครบเทอม ก็จะถือได้ก็จะเป็นจุดเริ่มของการปักหลักเสถียรภาพทางการเมืองไทย - ภายหลังการเมืองภายใต้ทหารและอำมาตย์ - ครั้งสำคัญที่สุดของไทย!
ขอให้เป็นไปในทิศทางนี้เถิด เพราะยังมีปัญหาใหญ่ๆ ที่สั่งสมมานานอีกหลายเรื่องเหลือเกินที่รัฐบาลไทยต้องแก้ไข!!!!
* * *
ยินดีด้วยกับจิตรา บุญรอด และสุนทร
ปิดฉากกันซะทีกับคดีมาราทอนกว่า 3 ปี!!!
* * *