เข้าใจความเหนื่อยของฝ่ายที่สู้เพื่อให้คนติดคุกออกจากคุกที่ก็สู้กันมาเหนื่อยและคงอยากเห็นผลสัมฤทธิ์ของการต่อสู้และก็คงอยากจะพักกันเต็มแก่
เข้าใจความรู้สึกของฝ่ายญาติวีรชนที่ต้องการความยุติธรรมให้กับชีวิตลูกหลานพ่อแม่พี่น้องปู่ตาและต้องการให้วงจรอุบาทก์ "ยิงประชาชน" ไม่ติดคุก มันหมดไปจากประเทศไทยสักที
เข้าใจทักษิณที่ทุ่มเงินลงมากับการเมืองเยอะมาก เพื่อตัวเองจะได้กลับบ้าน ขนาดดันน้องสาวตัวเองเป็นนายกได้สำเร็จผ่านมา 2 ปีก็ยังไม่ได้กลับบ้าน ก็คงอยากปรองดองกับอะไรก็ได้ เพื่อจะได้กลับบ้านซะที และก็คิดว่าเขามีความชอบธรรมเพราะคิดว่าตัวเองเป็นทุนที่ลงขันกับการเมืองมากที่สุดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
เข้าใจส.ส.เพื่อไทยที่ต้องตอบแทนบุญคุณทักษิณและชินวัตรกันอย่างเต็มที่
เข้าใจ ปชป. ที่ต้องค้านทุกเรื่องเมื่อตัวเองไม่ได้เป็นรัฐบาล เพราะเป็นการเมืองพรรคนี้ตลอดมาและยิ่งมีประเด็นเรื่องอาจจะถูกลงโทษเพราะสั่งฆ่าประชาชนด้วยแล้ว ก็ยิ่งต้องป่วนการเมืองให้มากที่สุด เพื่อให้ตัวเองพ้นโทษ
เข้าใจรัฐบาลที่อยู่เล่นทั้งการเมืองหน้าม่านและหลังม่าน และเป็นองค์กรชอบธรรมที่ต้องแก้วิกฤตชาติหลายเรื่องที่รวนเพราะธรรมชาติและรวนเพราะพรรคฝ่ายค้านเล่นเกมการเมืองถล่มตลอดเวลา
เข้าใจความเปราะบางของสังคมไทยในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแห่งการเปลี่ยนผ่านพระประมุข และความกังวลเรื่องการจะดำรงอยู่อย่างไรของผู้ที่เคยอิงแอบผลประโยชน์จากสถาบันพระประมุขหลังการเปลี่ยนผ่านแล้ว
เข้าใจอารมณ์คนเชียร์การเมืองของทั้งสองค่ายใหญ่ ที่เหนื่อยแทบตาย และเริ่มหมดทุน หมดแรง และหมดกำลังใจ ไปกับเกมการเมืองที่น่าปวดหัวและคดเคี้ยวไม่เป็นเส้นตรงของเมืองไทย และจนบัดนี้ก็ยังไม่เห็นเส้นตรง
คือ เข้าใจนะ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะส่งเสริมให้ทุกกลุ่มไม่ต้องใช้ "ความเป็นคน" หรือ "การเคารพศักดิ์ศรีความเป็นคน" ของคนอื่น ของกลุ่มอื่น เพราะ "กูเหนื่อยแล้ว หยุดเถอะ พอเถอะ มึงหยุดเถอะ เอาแค่นี้ก็พอแล้ว"
อยากจะบอกว่าใครอยากจะหยุดก็หยุดไปเถอะ ใครจะสู้ต่อ คิดว่ามีแรงสู้ต่อ ไม่ว่าด้วยอุดมการณ์ใด ข้อเรียกร้องใด ก็สู้กันต่อไป ... หรือคนหยุดพักเหนื่อยแล้ว จะมาดันกันต่อก็ลุกขึ้นมา ...
การเมืองมันก็เป็นเช่นนี้น่ะแหละ มันมีประวัติศาสตร์ มันมีวิวัฒนการ และมันก็มีพัฒนาการ และนั่นก็หมายถึงมันต้องมีการเปลี่ยนแปลงที่เข้าใกล้ "เส้นตรง" หรือ "หลักการ" มากขึ้นเรื่อยๆ ไปด้วย
โต้กันน่ะดีแล้ว เอาประเด็นเป็นหลัก โต้กันให้มันชัดเจนไปเลย
แต่จะโต้กัน จะต่อว่ากัน จะโจมตีกัน ก็ให้ระลึกไว้เสมอก็แล้วกันว่า "เคารพสิทธิความเป็นมนุษย์" และ "สิทธิมนุษยชน" ของคนอื่นกันด้วยแล้วกัน
* * *
ดูเหมือนว่าเมื่อ "คนตาย" ไม่ใช่ "วีรชน" "ไม่ใช่คนเสื้อแดง" และ "ไม่มีสิทธิพูด" แล้ว ต่อไปนี้ คนที่ยังเป็น "วีรชน" "คนเสื้อแดง" และ "มีสิทธิพูด" คือ "นักโทษการเมือง" ที่ยังอยู่ในคุก (ยกเว้นนักโทษ 112 นะฮะ)
พวกเขาจะกลายเป็นได้ทั้ง "เหตุผล" หรือ "สาเหตุ" ให้ พรบ. นิรโทษกรรมฉบับใดฉบับหนึ่งผ่านรัฐสภาหรือไม่ผ่านรัฐสภา ... ด้วยข้ออ้างเอานักโทษการเมืองออกจากคุกก่อน (หลังจากติดคุกไป 3 ปีกว่า) เรื่องอื่นๆ เอาไว้ก่อน
ถ้าผลออกมาไม่เป็นที่ถูกใจ พวกเขาจะกลายเป็น "แพะรับบาป" กลุ่มต่อไป
เพราะท้ายที่สุด "แพะรับบาป" ที่เป็นมาในอดีตและก็อาจจะดำรงอยู่ต่อไป ก็คือคนชั้นล่าง ชาวบ้าน และแนวร่วม - คนไร้เส้นไร้เงินเหล่านี้นี่เอง
* * *
จากการทำงานกับคนเจอวิกฤตเรื่องถูกหลอกไปทำงานต่างประเทศ จึงมีบทเรียนว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
เคยได้รับเงินมาช่วยเรื่องคดีคนเก็บเบอร์รี่ที่เสียหายจากฤดูกาลเบอร์รี่ปี 2552เป็นเงิน 270,000 บาทจากสวีเดน จึงมีการประชุมตัดสินใจร่วมกัน มียกมือโหวตด้วยว่า ให้ใช้เป็นค่าทนายกลุ่มที่สู้คดี (กว่า 30 คน) เพราะถ้าแบ่งกันก็จะได้คนละแค่ 200 บาท ไม่คุ้ม
แต่กระนั้นแกนนำบางคนที่บ้านจะหลุดจำนอง เงินไม่มี เดือดร้อนมาก ก็พยายามตื้อขอเอาเงินจำนวนนี้ ดีนะที่ก่อนเดินทางมาเมืองนอก กูโอนเงินทั้งหมด หลังหักค่าประชุมให้กับทนายไป และปิดบัญชี แต่ก็ทำรายงานการเงินส่งให้สหภาพที่สวีเดนที่ช่วยเหลือเรียบร้อยไป
ขนาดเงินแค่นี้ กูก็ยังถูกหาได้ว่ากินเงินคนงาน - ดีที่รอดตัวไปเพราะมีการทำระบบรายงานการเงินชัดเจน
กูจึงเข้าใจดียิ่งว่า ตามธรรมชาติของคนชาวบ้านชาวช่องที่เดือดร้อนน่ะมันรุนแรงแค่ไหน ... ยิ่งเมื่อเห็นข่าว(จริงข่าวลือ) คนนั้นได้ คนโน้นได้ ก็คาดหวัง และก็วิถีปากต่อปากของชาวบ้านนี่น่ากลัวมากนะฮะ... ตัวเลขเงินมันจะวิ่งขึ้นเรื่อยๆ ฮะ ตอนนี้ได้ข่าวว่าวิ่งไปถึง 150 ล้าน ...ฮา
ความจริงคือ มันมีคนติดคุกเพราะ 2553 จริง หลายร้อยคน (ไม่ใช่แค่ 34 คนที่เหลืออยู่ตอนนี้)
และมีคนที่ได้รับผลกระทบจากการเป็นด่านหน้าเจ็บจริง คุกจริง ที่เข้าไม่ถึงการเยียวยาจริง
เข้าใจได้ว่าพวกเขาก็เดือดร้อนแสนสาหัส และก็คาดหวังว่าจะได้รับการเยียวยาจากทักษิณหรือรัฐบาลเหมือนกับคนอื่นบ้าง และเมื่อไม่ได้รับ ก็รู้สึกเจ็บปวดและผิดหวังจริง ...
กูถึงไม่อยากเอ่ยถึงตัวบุคคลเวลาพูดเรื่องนี้ เพราะไม่งั้นมันจะติดอยู่แค่นั้น เพราะมันไม่ใช่ปัญหาเรื่องแค่ตัวบุคคล
กูถึงไม่อยากพูดเรื่องตัวบุคคล เพราะเหนื่อยและเสียเวลา... แต่ชวนมาพูดถึงปัญหาภาพรวมกันดีไหม แล้วดูว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน ...
มีคำแนะนำใดบ้างให้กับคนที่ไม่ได้รับการช่วยเหลือเยียวยา จะได้รับการช่วยเหลือหรือเข้าถึง ไม่ว่าจะด้วยเงินช่วยเหลือ หรือเงินกู้ปลอดดอกเบี้ยบางอย่างเพื่อให้เขาสามารถตั้งตัวได้ ... ทำกันเป็นระบบโดยไม่เลือกปฏิบัติ
และแน่นอนว่าไม่ใช่ด้วยการหวังพึงทักษิณคนเดียว แต่จะมีกองทุนหรือเรียกร้องให้รัฐตั้งกองทุนที่มีการดูแลจัดการอย่างเป็นระบบ ที่ให้คนเดือนร้อนเหล่านี้เข้าถึงได้ไหม ทำได้อย่างไรบ้าง?
และท้ายที่สุด กองทุนฉุนเฉินจากรัฐเพื่อให้คนเจอวิกฤตเข้าถึงจะกลายเป็นนโยบายรัฐบาลไปได้ได้อย่างไร ให้กับประชาชนทุกคน
(นี่ไม่ใช่เรื่องเกินไปฮะ เพราะที่ฟินแลนด์นี่มีหน่วยงานที่คนเดือดร้อนสามารถเดินเข้าไปขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน วงเงินขั้นต่ำประมาณ 20,000 บาท และมีการช่วยเหลือหลายระดับตามต่อหลังจากนั้นอีก)
อยากให้พูดภาพรวมเหล่านี้ไปด้วยมากกว่า และหาทางช่วยเหลือคนเดือดร้อน ที่ยังลุกไม่ได้จนถึงบัดนี้เพราะการเมือง 2553 และจากปัญหาต่างๆ
* * *
เพราะอยากทำงานวิพากษ์การเมืองอย่างอิสระเช่นนี้ต่อไปโดยต้องกังวลว่าจะวิจารณ์คนนี้ได้ไหม คนนั้นได้ไหม โดยไม่ต้องเกรงใจกันเพราะรับความช่วยเหลือกันมา
เสรีภาพและความเป็นอิสระ ก็เลยต้องแลกมาด้วยการเขียนหนังสือขายต่อไปนี่ล่ะ แม้จะไม่พอยาไส้ก็ตามที ...ฮา!
อ้อ... เรื่องเงินเยียวยาจากนายใหญ่ทักษิณนี้
กูก็ฟันธงแบบกลางๆ เลยนะว่า ...
เพราะการให้เงินหรือใช้เงินมันไม่เป็นระบบ ไม่มีนโยบายชัดเจน ไม่มีกระบวนการโปร่งใส ไม่มีรายงานกิจกรรมและการใช้จ่ายเงินกับสาธารณชนหรือคนเกี่ยวข้องให้ได้รับทราบทั่วไป มันเลยมีประเด็นให้ถกเถียงกันไม่จบล่ะ ...
ดูๆ ไปก็เหมือนกับพูดถูกกันเกือบทุกฝ่ายล่ะ ... เพราะต่างฝ่ายก็เหมือน "ตาบอดคล้ำช้าง" เพราะได้ข้อมูลกันมาแบบนั้น เห็นข้อมูลกันแค่นั้น ... แต่ไม่มีใครเห็นข้อมูลทั้งหมด หรือได้เห็นช้างทั้งตัวเลย
ถ้าเจ้าสัวธนินทร์ เจ้าสัวเจริญ เจ้าสัว 50 ตระกูลที่มั่งคั่งที่สุดในไทย หยุดทำบุญปิดทองหลังองค์พระสยามเทวาธิราช และมาเปิดหน้าทำบุญกันหน้าพระด้วยสนับสนุนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และรบริจาคเงินตั้งกองทุน" เพื่อการฟื้นฟูและตั้งหลักชีวิต" ให้กับประชาชนในประเทศไทยกันบ้าง
การเมืองประเทศไทยคงน่าสนใจขึ้นอีกเยอะ เพราะประชาชนจะมีตัวเลือกเทวดาคนใหม่ ที่ทุนหนาให้เลือกได้มากขึ้น
และคนจน คนเดือดร้อน ก็จะมีทางเลือกที่เข้าไปขอพึ่งได้มากขึ้น ไม่ใช่ถนนคนจนทุกสายต้องมุ่งหน้าไปขอพึ่งทักษิณกันคนเดียวอยู่เช่นนี้
เสรีภาพและความเป็นอิสระ ก็เลยต้องแลกมาด้วยการเขียนหนังสือขายต่อไปนี่ล่ะ แม้จะไม่พอยาไส้ก็ตามที ...ฮา!
* * *
กูก็ฟันธงแบบกลางๆ เลยนะว่า ...
เพราะการให้เงินหรือใช้เงินมันไม่เป็นระบบ ไม่มีนโยบายชัดเจน ไม่มีกระบวนการโปร่งใส ไม่มีรายงานกิจกรรมและการใช้จ่ายเงินกับสาธารณชนหรือคนเกี่ยวข้องให้ได้รับทราบทั่วไป มันเลยมีประเด็นให้ถกเถียงกันไม่จบล่ะ ...
ดูๆ ไปก็เหมือนกับพูดถูกกันเกือบทุกฝ่ายล่ะ ... เพราะต่างฝ่ายก็เหมือน "ตาบอดคล้ำช้าง" เพราะได้ข้อมูลกันมาแบบนั้น เห็นข้อมูลกันแค่นั้น ... แต่ไม่มีใครเห็นข้อมูลทั้งหมด หรือได้เห็นช้างทั้งตัวเลย
* * *
การเมืองประเทศไทยคงน่าสนใจขึ้นอีกเยอะ เพราะประชาชนจะมีตัวเลือกเทวดาคนใหม่ ที่ทุนหนาให้เลือกได้มากขึ้น
และคนจน คนเดือดร้อน ก็จะมีทางเลือกที่เข้าไปขอพึ่งได้มากขึ้น ไม่ใช่ถนนคนจนทุกสายต้องมุ่งหน้าไปขอพึ่งทักษิณกันคนเดียวอยู่เช่นนี้
* * *
เข้าใจความรู้สึกโจเช่นกันว่า โจคงไม่อยากเผชิญหน้ากับแรงกดดันต่างๆ รอบด้านในสภาพที่เขาเองก็คงยังไม่อยู่ในสภาพการที่มั่นคงในหลายเรื่อง ทั้งเรื่องที่อยู่ อุปกรณ์สื่อสาร อุปกรณ์การเดินทาง จึงดูเหมือนว่าจะปิดเพจไปแล้ว
ในฐานะของคนที่คุยกันบ้างหลังไมค์ และถามไถ่ห่วงใยกันในฐานะคนลี้ภัย 112 ที่ไม่ง่ายที่จะตั้งชีวิตใหม่ได้อีกครั้งอย่างรวดเร็ว ... ก็ขอนำการให้สัมภาษณ์ตอบหลายประเด็นของโจมาให้ฟังกันนะฮะ ...
ทั้งนี้ไม่ได้ตัดสินว่าโจผิดหรือใครผิด แต่คิดว่าทุกฝ่ายมีเหตุผลและสาเหตุที่จะตอบโต้กันได้ต่อไป
และถ้าตัดเรื่องการตอบโต้และภาษาที่อาจจะดูรุนแรงไปบ้าง ไม่รู้ว่าประเด็นคำถามของโจ มีการตอบกันตรงคำถามและตรงประเด็นหรือยัง?
* * *