คุณเป็นคนไทยหรือเปล่า - ทำเหมือนเราไม่ใช่คน




คำถามนี้เกิดขึ้นในส่วนลึกๆ ของหัวใจผม เมื่อตัวเองมาประสบชะตากรรมที่นี่ (ฟินแลนด์) 

อยากตั้งคำถามนี้กับข้าราชการที่อยู่ที่นี่ (ฟินแลนด์) ว่าคุณเป็นคนไทยหรือเปล่า เพราะท่าทีที่คุณมีต่อพวกเราคนไทยที่นี่ ที่ประสบปัญหา ดูมันตรงข้ามกับคำว่า “คนไทย” 

คุณๆ จะต้องให้พวกผมบอกไหมว่า การเป็นคนไทย และยิ่งเป็นข้าราชการไทย ควรต้องทำอย่างไร
ผมรู้ว่า คุณๆ รู้ดี และรู้มากกว่าพวกด้อยการศึกษาอย่างพวกผมรู้ “แต่คุณทำอย่างนั้นไม่ได้” 

พวกผมอยากถามคุณว่า “เงินเดือนที่ได้รับจากภาษีของพวกเรา “มันน้อยไปหรือ” ถึงทำให้คุณๆ พูดหรือทำในสิ่งที่คนไทย หรือข้าราชการไทยควรทำไม่ได้

ถ้าหากว่าคนจนๆ อย่างพวกเราจะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น เพื่อให้เงินเดือนของคุณๆ สูงขึ้น เพื่อที่จะให้คุณๆ จะได้พูดอะไรที่มันเพื่อคนไทยบ้าง “เราจะยอม”

ไหว
* * *

อีกหนึ่งข้อเขียนของคนเก็บเบอร์รี่ที่ฟินแลนด์

30 September 2013 at 15:08



อุบลรัตน์ ซื่อสัตย์

ฉันเกิดที่ภาคอีสานมีอาชีพทำนา ครอบครัวฉันมีรวมกัน 9 คน ว่างจากการทำนา ก็รับจ้างทั่วไป

เห็นเพื่อนที่หมู่บ้านเขามาเก็บเบอร์รี่ที่สวีเดน ได้ตังค์กลับเมืองไทยมาก

ฉัน สามีและน้องชายเลยบอกพ่อแม่ จะพากันไปเก็บผลไม้ที่ฟินแลนด์

ความฝันและความหวังมาเก็บผลไม้ที่ฟินแลนด์

ฉันหวังว่าครอบครัวของฉันจะได้อยู่ดีกินดี ลูกจะได้เรียนสูงๆ เพราะ 6 ชีวิตฝากความฝันและความหวังอยู่ที่คนสามคนที่มาฟินแลนด์เพราะเราหวังว่าจะได้ตังค์กับบ้านคนละ 200,000 บาท

บริษัทไม่เคบอกเลยว่าจะไม่มีผลไม้เก็บมีแต่บอกว่า ผลไม้เยอะ ที่ไหนก็เก็บได้ เก็บได้ทุกที ถูกคนฟินน์ไล่ก็ให้ยิ้มสู้

บริษัทบอกอีกว่าที่นอนที่พักดีป่วยก็จะพาไปหาหมอ จะดูแลพวกเราเป็นอย่างดี ผลสุดท้ายไม่เคยมาดูแลพวกเราเลยทำกับพวกเราเหมือนไม่ใช่คน

ฉันมาถึงฟินแลนด์ฉันดีใจมากเพราะจะได้เจอคนฟินน์ เขาคงใจดี นายจ้างคงใจดี เบอร์รี่คงมีเยอะคววามฝันและหวังคงจะเป็นจริง

แต่ไม่ใช่อย่างที่คิดเก็บลูกดำยังไม่ถึงอาทิตย์ ลูกดำไม่มีเก็ฐ ขอย้ายก็ไม่ให้ย้าย ยังบอกอีกว่า

ใครจะเก็บผลไม้ ให้อยู่ฝั่งนี้ใครจะกลับไทยให้ออกมาอยู่อีกฝั่ง

ถูกเขาไล่ไม่ให้เก็บในที่ของเขายังไม่โหดร้ายเท่า

มาถึงที่ขู่จะส่งกลับ ขู่จะเอาตำรจมาจับเขาก็เรียกตำรจมาจับพกเราจริงๆ แต่พวกเราไม่ได้ทำอะไรผิด

ทำให้ความรู้สึกของตอนนี้ทำไมเจออะไรที่โหดร้ายขนาดนี้

ทำเหมือนเราไม่ใช่คน

30 ก.ย. 13 การต่อสู้ของคนงานเก็บเบอร์รี่ 9



Many Thai youth in Helsinki have been remarkably helpful. They help their parents to bring food, lots of food, to us and all the 50 Thai pickers. They also help with translation, cleaning, touring them around, and also driving us to our new camp. Thank you

Thank you Pai, Boy and everyone!

น้องไผ่ที่ยังเรียนชั้นม. ปลาย ที่แสนจะสุดคล่องแคล่ว และน้องบอย และทีมเยาวชนไทยที่เฮลซิงกิ นี่น่ารักสุดๆ

ทั้งมาดูแลเรื่องอาหาร ช่วยทำความสะอาด ช่วยแปล ช่วยพาไปเดินเล่นชมเมือง และยังขับรถมาส่งกันยังที่พักด้วย (ต้องขอบคุณบอยและทีมงานอย่างสูงำหรับเรื่องรถ)

* * *
Ber Ex picker workers with their lawyer, Ville Hoikkala

คนงาน Ber Ex ให้ข้อมูลทนายที่รับดูแลคดี Ville Hoikkala
* * *

Much thank to Li and Taneli, from the Left Youth. Without both of them many things are impossible. Li Andersson Taneli Hämäläinen

หัวเรี่ยวหัวแรงจากแกนนำเครือข่ายเยาวชนซ้ายก้าวหน้าของฟินแลนด์ ถ้าไม่ได้สองคนนี้ การต่อทางการเมืองต่างๆ คงทำไม่ได้เช่นนี้
* * * 

Friends from Aanakoski and Soulathi came to visit us in Helsinki and our new place at Espoon Seurakuntayhtyma.

เพื่อนจาก Aanakoski และ Soulathi เดินทางมาเยี่ยมและตามมาส่งจนถึงที่พักใหม่ ซึ่งเป็นแคมป์เยาวชนที่มีอุปกรณ์พร้อมทุกอย่าง ... เป็นครั้งแรกในรอบสองเดือนของหลายคนที่มีโอกาสนอนเตียงนอน

* * *


Waiting for the bus to move to Hilan Leirikeskus camp!
Thank you so much to the Hilan Leirikeskus.

ระหว่างรอเดินทางมายังแคมป์เยาวชนที่ Hilan Leirikeskus.
ทางแคมป์ดูแลทั้งอาหารเช้าและอาหารกลางวัน
ส่วนทางชุมชนคนไทยที่นี่มาเลี้ยงอาหารค่ำกัน

ตอนนี้หลายคนออกไปตกปลา หลายคนตีปิงปอง ไปเดินเล่น และบางคนแอบหลับ
* * *

สองอาทิตย์แห่งการต่อสู้ที่หนักหน่วง และต้องเร่งทำเอกสารมากมายและประสานรอบทิศ เข้มแข็งมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยคำพูดของนักสู้ลูกข้าวเหนียวที่บอกว่า 

"ขอให้พวกเราเหนียวแน่นและเป็นหนึ่งเดียวกัน ดุจดังก้อนข้าวเหนียวปั้น"

ความในใจของคนเก็บเบอร์รี่

28 September 2013 at 16:29

ไพรสันติ ไหว จุ้มอังวะ


ผมเกิดปีพ.ศ. 2513 เป็นลูกคนโตจากจำนวนลูก 5 คน เกิดมาในครอบครัวยากจน จำได้ว่าตอนเป็นเด็กแม้แต่ผ้าที่จะห่มยังไม่มี ถึงหน้าหนาวต้องหาไม้ฟืนมาก่อกองไฟ

ผมพ่อ แม่ และน้องๆ ต้องนอนล้อมกองไฟใต้ถุนบ้าน ส่วนผ้าที่ห่มคือผ้าถุงเก่าๆ ของแม่ที่ฉีกขาด ... แล้วจะมีอะไรที่ทำให้อบอุ่นกว่านี้อีกเล่า ก็เราอยากเกิดมาจนเอง

ปี2531 หรือ 1988 ผมอายุ 18 ปี ได้เดินทางไปทำงานก่อสร้างที่สิงคโปร์และกลับมาแต่งานตอนอายุ 20 ปี ตอนนี้มีลูก 2 คน คนโตเป็นผู้หญิงอายุ 22 ปีคนเป็นเป็นผู้ชายอายุ 15

ชีวิตที่ต้องดิ้นรนยังไม่หยุดนิ่ง ต้องเดินทางไปทำงานที่บรูไน -ไต้หวัน และเกาหลีใต้ทั้งงานก่อสร้างและก็งานโรงงาน เพื่อหาเงินส่งมาเลี้ยงดูครอบครัวและเรียนรู้มหาวิทยาลัยชีวิต

ไปต่างประเทศสองปีกลับบ้านสองปี อยู่อย่างนี้จนกระทั่งเมื่อกลับจากเกาหลีใต้เมื่อปี 2553 จึงตัดสินใจหยุดชีวิตที่จะไปทำงานต่างประเทศและพาภรรยาและลูกๆ ทำการเกษตรที่บ้าน

ก่อนปี2556 ในชีวิตไม่เคยมีหนี้สินเลยสักบาทเดียว

(อ้อลืมบอกไป อาชีพของผมคือการทำไร่อ้อยจำนวน 10 ไร่)

ต้นปี2556 ชีวิตผมก็เปลี่ยนไป เพราะความอยากที่จะได้ ผมไปเจอที่แปลงหนึ่งอยู่บนเขา รอบๆข้าง เขาปลูกยางพารากันหมดแล้ว และโตแล้ว ผมถามลุงเจ้าของที่ว่ามีใบอะไรไหมลุงบอกว่าไม่มี ที่แถวนี้ เขาจองมาเป็น 20 ปีแล้ว ส่วนปลูกยางข้างๆ มีแต่คนมีเงินพวกเสี่ย คนละ 200 ไร่ 400 ไร่

ผมคิดดูแล้วก็น่าซื้อเพราะราคาถูก




ผมตัดสินใจกู้เงินจากน้องสาวภรรยาจำนวน 300,000 บาท เพื่อมาซื้อที่แปลงนี้ 23 ไร่ ต้องลงแรงฟันป่าเพราะแม้ที่ตรงนั้นเจ้าของเดิมจะฟันป่าไว้แล้ว แต่ที่ใช้พื้นที่ปลูกข้าวโพดทิ้งร้างไว้หลายปี จึงต้องเคลียร์พื้นที่กันหลายเดือนส่วนต้นไม้ใหญ่ในไร่ผมก็รักษามันไว้ให้เป็นร่มเงาและรักษาความชุ่มชื้นของพื้นที่

เมื่อได้ที่ดินเตียนแล้ว10 ไร่ จึงลงมือปลูกมันสำปะหลังไว้เมื่อเดือนพฤษภาคม ปีนี้นี่เอง โดยหวังว่า “เผื่อได้เงินไปใช้หนี้บ้าง”และวางแผนว่าปีหน้าจะลงมือปลูกยางพาราเพื่อคืนผืนป่า

เมื่อมีภาวะหนี้สินชีวิตก็ต้องดิ้นรนอีกครั้ง

มีเพื่อนบ้านบอกว่าเขามาฟินแลนด์ ได้เงินกลับบ้าน 100,000 บาท

ในจิตใจตอนนั้นรู้แต่ว่าจะหาเงินที่ไหนมาใช้หนี้เขา จึงตัดสินใจที่จะมาที่ฟินแลนด์เพราะคงได้เงินกลับไปใช้หนี้ที่มีอยู่ก่อนแล้ว

ใช้เงินหมดรวม120,000 บาท ทั้งกู้ ธกส. และเพิ่มหนี้นอกระบบอีก

ก่อนออกเดินทางมีความหวังในใจว่า“หาเงินเก็บเบอร์รี่ที่ฟินแลนด์จะได้ใช้หนี้ อย่างน้อยๆ ก็ต้อง 60,000 - 70,000 บาท ส่วนที่เหลือก็จะไว้เป็นทุนขายอ้อย 10 ไร่ คงได้สัก 100,000 ไปใช้หนี้ ขายมันสำปะหลังที่ปลูกไว้ 10 ไร่คงได้ใช้หนี้สัก 50,000

ตอนนั้นมีความหวังมากๆ

30ก.ค. 56 ก้าวเท้าลงเหยียบแผ่นดินฟินแลนด์ เป็นวันแรก ในใจคาดหวังว่าคงจะเจอนายจ้างที่ดี มีความรับผิดชอบ นายจ้างผมคือ Ber-Ex

เข้าห้องอบรมที่พักที่บริษัท Ber-Ex จัดไว้เขาบอกว่า “ถ้าไม่มีเบอร์รี่เก็บจะย้ายหาแหล่งเก็บเบอร์รี่ใหม่ให้” นี่คือคำพูดส่วนหนึ่งของ Ber-Ex ที่ทุกๆ คนต่างก็ได้ยินกันทุกคน

1 สิงหาคม 56 เรามาอยู่ที่ Juvaเริ่มเก็บบลูเบอร์รี่วันที่ 2 สิงหาคม 56ตื่นเต้นมากที่จะได้เก็บเบอร์รี่เป็นครั้งแรก แต่ต้องยอมรับว่าหายากมาก เพราะใกล้ๆมีแคมป์คนไทยมาอยู่ก่อนแล้วรวม 100 คน เขาบอกเขามาวันที่ 13 ก.ค. 56

เขามาก่อนผม 19 วัน คนเป็น 100 คนแล้วคนที่มาที่หลังอย่างเราจะเอาอะไรเล่า โชคดีเป็นของเราเมื่อถึงฤดูหมากแดงแคมป์นี้ย้ายออกจาก Juva เพราะคนเซอร์เวย์ป่าของเขาไปเจอแหล่งที่หมากแดงเยอะกว่าที่นี่

ทนตื่นนอนเช้า ทนนอนดึกทนเพื่อดิ้นรนหาเบอร์รี่ เพื่อให้ได้ขายให้ Ber-Ex เพื่อเราจะได้มีเงินไปใช้หนี้

ในจำนวนเพื่อนร่วมทีมเก็บ คือ 9 คน 2คันรถ เมื่อเก็บใกล้ไม่มีก็ต้องออกเดินทางไกลๆ ต้องทนนอนป่าเพราะทางมันไกลให้คันหนึ่งเอาผลไม้มาชั่ง ถ้ามาทั้ง 2 คน ค่าน้ำมันคงหมดแน่ๆเงินที่เขาให้เบิกอาทิตย์ละ 50 ยูโรต่อคน ก็หมดไปกับค่าน้ำมัน

อาหารที่กินคือ แกงเห็ดป่าที่หาได้ตามป่า

บางวัน 9 คน ไข่ต้มคนละฟอง

บางวันก็ต้มมาม่าคลุกข้าว

ยอมทนหาเก็บเบอร์รี่เพื่อที่จะให้ได้มาขายให้Ber-Ex เพื่อแลกเงิน

บลูเบอร์รี่โลละ 1.4 ยูโร

9 ส.ค. เพื่อนๆทุกคนไม่สามารถหาเบอร์รี่ใกล้ๆ ได้จึงได้ปรึกษากันว่าจะหาแหล่งเบอร์รี่ใหม่ที่ไกลออกไปกว่าที่นี่พวกเราทุกคนจึงตกลงกันว่าให้แต่ละทีมๆ ละ 1 คนออกเซอร์เวย์ป่าที่ไกลออกไปเพื่อหาแหล่งเบอร์รี่ เก็บเงินเรี่ยไรกันเติมน้ำมันเองทีมเซอร์เวย์ ออกหาป่า 2-3 วัน

11 ส.ค. 2556 เวลา 2 ทุ่ม Ber-Ex บอกให้กาเน่เข้าเจรจากับคนงานแต่ Ber-Ex ไม่ยอมย้ายตามที่ทีมเซอร์เวย์ต้องการย้ายไปด้วยเหตุผลที่ว่าไม่มีบ้านเช่ารองรับแถวๆ นั้น

“ถ้าใครจะย้ายให้กลับบ้านไป” คำพูดคำนี้มันกินใจและทำให้ทุกคนหมดหวังที่จะย้ายไปหาแหล่งเบอร์รี่แห่งใหม่จะกลับบ้านก็ภาระหนี้สินที่มีอยู่ ยอมทนต่ออีกสักนิด พอถึงฤดูเก็บลูกแดงคงจะได้ลูกแดงเพิ่มขึ้น

18 ส.ค. 56 เก็บลูกแดงวันแรกเฉลี่ยก็ได้วันละ 100 กก. ต่อคนความหวังที่จะหมดหนี้สินที่กู้ยืมมาเพื่อเก็บเบอร์รี่เริ่มมีมากขึ้น

การออกเก็บเบอร์รี่บางวันมีอุปสรรค์มาก

มีอยู่วันหนึ่ง ผมและเพื่อนได้เก็บเบอร์รี่ใกล้บ้านคนฟินน์โดยที่คิดว่าเขาคงไม่หวง เพราะเป็นป่าสน พอเก็บได้สัก 2 ชั่วโมงเจ้าของบ้านเขามาและดุด่าใหญ่เลย เพื่อนๆ ทุกคนรีบวิ่งหนีและเอารถคันหนึ่งออกจากที่นั่น

ส่วนผมหนีไม่ได้เพราะรถอยู่ใกล้ผู้หญิงคนนั้น ไหนจะพ่วงลูกที่ติดรถก็ถอดไว้ผมคนเดียวจะเอาพ่วงมาติดกับตัวรถก็ยกยาก

ผมบอกเขาว่าผมขอโทษเพราะเห็นเป็นบ้านเก่าๆ ริมน้ำ รวมทั้งตัวเขาก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้นเลยไม่รู้ว่าเขาหวง ผมบอกขอโทษและเสียใจ

เขาบอกขอโทษแล้วเบอร์รี่เขาจะกลับมาหรือผมเองก็ยอมรับว่าผิด
จากวันนั้น ผมไม่กล้าเข้าเก็บเบอร์รี่ใกล้บ้านคนฟินอีกเลย

วันที่ฝันสลาย

4 ก.ย. 56 ผมได้รับโทรศัพท์จากทางบ้านโดยที่ภรรยาเล่าว่า “พ่อ ป่าไม้ขึ้นไปที่ไร่ของเรา 2 คันรถ 20กว่าคน เขาบอกว่าพ่อบุกรุกป่า เขาถ่ายรูปตอไม้และที่พักที่พอปลูกไว้ชื่อพ่อตอนนี้ถึงจังหวัดแล้ว กลับมาเมื่อไหร่เขาจะจับข้อหาบุกรุกป่าด้วย”

ผมยอมรับว่าผมรักที่ตรงนั้นมากเพราะกว่าจะได้ต้องเป็นหนี้ ต้องฟันป่าพร้อมภรรยาและลูกๆต้องนอนอยู่ที่นั่นหลายเดือน เพราะมันอยู่ไกลจากบ้านผมร่วม 00 กม.




แต่สิ่งหนึ่งที่น่าสะเทือนใจที่สุดคือป่าไม้ขึ้นไปแล้วจับผู้หญิงอีกคนที่ไร่อยู่ใกล้ๆ ผม

เธอจนมาก จนจนไม่มีข้าวกรอกหม้อสามีก็ติดเหล้า ไม่มีที่นา เขาทำไร่อยู่ที่นั่นมาร่วม 10 ปีเขาเคยซ์้อยางพารามาปลูก แต่ก็ถูกป่าไม้ถอนทิ้งจนหมด

พอได้รับโทรศัพท์จากภรรยาวันนั้นผมนอนไม่หลับทั้งคืนไหนจะสงสารตัวเอง และสงสารผู้หญิงที่ถูกจับไป (ผู้หญิงอายุประมาณ 50วันนั้นสามีเขาไม่อยู่)

ทำไมนะ ทำไมต้องคอยรังแกคนจนๆที่ไม่มีทางสู้ เธออดมื้อกินมื้อทำไร่มันสำปะหลังเพื่อแลกข้าว หาเห็ดป่าเก็บดอกกระเจียว และหาหน่อไม้ขาย เพื่อนำเงินมาซื้อข้าวกรอกหม้อเพื่ออยู่ร่วมโลกกับพวกคนมีเงินไปวันๆ

ผมถามภรรยาว่า “แล้วที่ข้างๆ กันที่เขาปลูกยางจนโตและพึ่งจะลงก็มีคนละ 3-4 ร้อยไร่ล่ะ”

ภรรยาผมตอบว่า “ป่าไม้บอกที่เขาเป็นป่าเสื่อมโทรมแล้ว เขาไม่ได้บุกรุก”

นี่หรือคือคนจนเราจะถูกเหยียบย่ำอีกสักเท่าไรถึงจะพอ กฎหมายไม่มีข้อยกเว้นสำหรับคนจนเลยหรือไง

ภรรยาผมบอกว่า จนวันนี้ไม่มีใครประกันตัวผู้หญิงคนนั้นออกมาเลย สามีตอนนี้ก็เป็นบ้าไปแล้ว

เรื่องนี้ผมยอมรับว่าผมต้องร้องไห้เสียน้ำตาเพราะสงสารเธอเพราะเราอยู่ป่าด้วยกัน ทำไร่ด้วยกัน มีอะไรเขาก็เอามาแบ่งปันกันกินถึงเราจะพึ่งรู้จักกันที่นั่น เราก็รักกันเหมือนพี่น้อง แล้วคนจนๆ อย่างเราจะช่วยอะไรเขาได้เล่า

5 กันยายน 56 กลับจากเก็บเบอร์ณี่ตอนเย็นเพื่อนที่มาก่อนบอกว่า พรุ่งนี้ย้ายแคมป์ ผมถามว่า “ย้ายทำไม” ไม่มีใครให้คำตอบได้ ผมถามล่ามผู้หญิงชื่อบุ๋มเธอบอกว่า “บริษัท Ber-Ex สั่งย้าย”

ผมถามไม่ย้ายได้ไหมเพราะที่นี่มีลูกแดงได้เก็บ เธอบอกว่า “ไม่ได้ต้องย้ายเพราะ Ber-Ex สั่งมา” ผมจึงถามเธออีกว่า “ย้ายไปจะมีเบอร์รี่เก็บหรือ?” เธอสวนกลับมาว่า “ถ้าไม่มีเขาจะย้ายพวกคุณไปทำไม”

ทุกคนหรือส่วนมากไม่มีใครอยากย้ายเพราะลูกแดงพอมีให้เก็บ คิดว่าลูกแดงคงพอได้เก็บตลอดฤดูกาล เพราะแต่ละวัน เฉลี่ยก็ได้คนละ70-80 ก.ก.

6 กันยายน 56 มาอยู่ที่ซารียาวีวันแรก

วันต่อมาได้ออกเก็บเบอร์รี่แต่เช้าตรูผมและเพื่อนย้ายมาอยู่ที่นี่ 7 คันรถ ต่างคนต่างรีบออกเดินทางหาเบอร์รี่ต่างคันรถก็ไปกันคนละทาง วันนั้นผมพยายามวิ่งหาเบอร์รี่ 100 กว่า กม.ได้เบอร์รี่คนละ 30 กก. ส่วนคนอื่นๆ ไม่ได้เป็นส่วนใหญ่

วันที่สองที่อยู่ที่นี่ก็ออกไปหาเบอร์รี่อีก แต่ก็ไม่มี จึงโทรบอก Ber-Ex ว่าที่นี่ไม่มีเบอร์รี่ให้เก็บขอย้ายกลับไป Juva เหมือนเดิมได้ไหม Ber-Exบอกให้พวกเราเข้าไปเซอร์เวย์ป่าตามถนนสายต่างๆ ที่เขาบอกไว้

แต่ไม่มีเบอร์รี่

คนงานทุกคนยืนยันขอย้ายกลับไปที่เดิม Juvaแต่ Ber-Ex ไม่ยอมย้าย แถมด้วยเงื่อนไข

“ใครอยากย้ายก็กลับบ้านไป”

“ใครอยากอยู่ก็เก็บเบอร์รี่”

มันเจ็บปวดมากสำหรับคำพูด Ber-Ex

แค่ย้ายไปตรงที่มีเบอร์รี่ให้เก็บเราเองก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ย้ายมาไม่มีเบอร์รี่เก็บจะให้เราไปเก็บอะไรไหนจะค่าน้ำมัน ไหนจะค่าเช่ารถ ค่าเช่าบ้าน ต้องอยู่ต้องกินจึงเป็นที่มาของคำพูดของพวกเราทุกคนว่า “กลับก็กลับ”

เฮ้อ! พังอีกแล้วความฝันเรามันจบลงแบบนี้เองหรือคนจน

ไม่มีคำว่าขอโทษ ไม่มีแม้แต่คำว่าเสียใจจาก Ber-Ex

นี่หรือนายจ้างเราที่เราเป็นหนี้มาเพื่อเก็บเบอร์รี่ให้เขาตื่นตี 3 กลับ 2-3 ทุ่ม เป็นไข้ก็กินยาทนทุกอย่างเพื่อที่จะให้ได้เบอร์รี่มาขายให้เขา แต่เขาไม่ได้เห็นคุณค่าของเราเลย

ทำไมนะ Ber-Ex ถึงใจดำเหลือเกิน

นึกถึงความใจดำและไม่มีความรับผิดชอบของBer-Ex ทำให้ผมบอกตัวเองว่า “จะไม่กลับมาฟินแลนด์อีก”

แต่วันนี้ “กำลังใจ” หลังจากวันนั้นมาที่ผมได้เจอพี่เล็ก จรรยายิ้มประเสริฐ คุณลี่ และพี่ผู้ชายชื่อริกุ ทำให้พวกผมมีกำลังใจที่จะสู้เพื่อวันข้างหน้า
สู้เพื่อศักดิ์ศรีของความเป็นคน

เราจากซารียาวีมาอยู่ที่ศูนย์คนว่างงานโดยการช่วยพาของพี่เล็ก พี่ริกุ และคุณลี่

เรามาเจอคนดีๆ ที่นี่มากมายเขาให้ความรัก ให้ความอบอุ่นกับเรา แม้ว่าเขาจะเป็นคนจนในฟินแลนด์แต่เขาก็ไม่ได้จนน้ำใจเลย

สายตาที่ชาวฟินน์มองเราเป็นสายตาที่อบอุ่นมองเราอย่างให้กำลังใจ มองเราอย่างเห็นอกเห็นใจ ซึ่งมันแตกต่างจากสายตาเจ้านายเราที่ชื่อBer-Ex ซึ่งสายตาที่เขามองเรา มองอย่างรังเกียจ มองเหมือนเราเป็นทาสของเขา

ขอขอบคุณอีกครั้งต่อพี่น้องชาวฟินน์ทุกๆที่นี่ที่ให้ความรัก ให้ความดูแลเรา สิ่งดีๆ ความรู้สึกดีๆ ของคนที่นี่ทำให้ผมเปลี่ยนความคิดที่ว่า “ผมจะไม่กลับมาที่นี่อีก” เป็นคำว่า “ผมจะกลับมาและขอเจอพี่น้องชาวฟินน์ที่นี่อีกครั้ง”

ถึงผมจะกลับเมืองไทยแต่หัวใจของผมยังอยู่กับพี่น้องคนฟินน์ที่นี่คนฟินน์ที่แสนดีที่นี่ยังจะอยู่ในใจผมตลอดไป

ไพรสันติไหว จุ้มอังวะ


28 ก.ย. 13 การต่อสู้ของคนงานเก็บเบอร์รี่ 8


Ber Ex workers' morning general meeting to discuss about their struggle and plan of action for the day.

เกือบทุกวัน ... พวกเราจะประชุมกันยามเช้าเพื่อสรุปความคืบหน้าและวางแผนกิจกรรมประจำวัน


มีคนไทยนำอาหารแห้งมาฝากกันมากมาย และร้านขายสินค้าเอเชีย Vii Voan ซึ่งเจ้าของเป็นคนเวียดนาม เมื่อได้รับฟังเรื่องราวของคนงานไทย บริจาคข้าวสาร 200 กก. และอาหารแห้งอีกหลายชนิดให้คนงาน

พวกเราจึงนำมาขายแลกเป็นเงิน เพราะตอนนี้เราไม่ต้องทำอาหารเลย มีกลุ่มคนไทยนำอาหารมากมายมาเลี้ยงกันจนพุงกางทุกวัน

ขอบคุณคนไทยที่ไม่ทิ้งกัน และขอบคุณคนเอเชีย และคนฟินน์ที่เข้าใจและสนับสนุนค่ะ

There are many Thai and including Vii Voan have brought many dry foods (rices, fishes and noodle, etc.) for Ber Ex 50 pickers workers, but we don't need to cook by ourselves now, because many Thais in Helsinki have cooked delicious Thai foods and brought to us here.

We, thus, would like to sell this cooking materials for fund raising to give to these workers.

* * *


สตางค์ นักร้องคนงานเบอร์รี่
ร่วมฝึกร้องเพลงกับทีมนักดนตรีเยาวชนไทยที่เฮลซิงกิ
เตรียมตัวขึ้นเวทีคอนเสิร์ตระดมทุนปลดหนี้ให้คนงาน Ber Ex
ที่ถ้าไม่มีอะไรผิดผลาด ได้วางแผนว่าจะจัดในวันเสาร์หน้า 5 ตุลาคม 2556
คอนเสิร์ตเชื่อมสัมพันธภาพ คนไทย-คนฟินน์เพื่อคนงานเก็บเบอร์รี่

26 27 ก.ย. 13 การต่อสุ้ของคนงานเก็บเบอร์รี่ 7


เมื่อค่ำคืนวาน
สตางค์นักร้องโลโซของเรา
ทำหน้าที่ขับขานบทเพลงเพื่อชีวิตแรงงาน
ให้กับกลุ่มคนงานและชาวไทยและชาวฟินน์รวมกันกว่า 100 คน
ที่มาเยี่ยมและนำอาหารมาให้มากมาย

ขอบคุณอย่างมากมายต่อน้ำใจคนไทยและครอบครัวที่เมืองเฮลซิงกิ
ทั้งพี่แพท คุณครูอนุศรี และพี่หน่อยแห่งสมาคมไทยฟินิชส์

* * * 


Preparing now to travel to the Labour Ministry to meet with the state secretary, at 3 PM today.

ต้องเตรียมแล้ว
วันนี้ตัวแทนคนงาน Ber-Ex 12 คน ต้องเดินทางไปพบกับเลขาของรมต.แรงงานที่ฟินแลนด์
* * *



Women Power,

Thai women in Helsinki have been coming to take care 50 Ber Ex pickers since the first day we arrived Helsinki!

Thank you.

พลังหญิง
หญิงคนงานเก็บเบอร์รี่
กับหญิงไทยในเฮลซิงกิที่น่ารักสุดๆ
ที่มาดูแลกันตั้งแต่วันแรกที่พวกเราเดินทางมาถึงเฮลซิงกิ

* * * 





27 Sept 2013

A group picture at the Helsinki's harbour after 12 representatives of the Ber Ex 50 pickers workers have met with the Sate Secretary at the Ministry of Employment and Economy.

ถ่ายรูปหมู่ที่บริเวณท่าเรืองเฮลซิงกิ หลังจากตัวแทน 12 คน ได้เข้าพบปลัดกระทรวงการจ้างงานและการเศรษฐกิจของฟินแลนด์

26 ก.ย. 13 พบกับสภาแรงงานฟินแลนด์​





เป็นเรื่องน่ายินดียิ่งที่่ประธานสภาแรงงานแห่งชาติฟินแลนด์ และเลขาธิการสหภาพแรงงานป่าไม้และของป่าที่ฟินแลนด์ มารับฟังปัญหาของคนงาน Ber-Ex และจริงจังมากกับการช่วยเหลือพวกเขา

พร้อมทั้งขอขอบคุณทีมกฎหมายของสภาแรงงานแห่งชาติฟินแลนด์ที่รับจะดูแลคดีของคนงานไทยร่วมกับทนายของเรา

วันนี้จะมีการถกกันในรายการทีวีที่นี่อีกรอบเรื่องปัญหาคนงานเก็บเบอร์รี่ที่ฟินแลนด์ฮะ

ส่วนพวกเราก็จะมีปาร์ตี้ร่วมกับกลุ่มคนฟินน์และคนไทยที่ฟินแลนด์

ขอบคุณอย่างยิ่งต่อกลุ่มคนไทยที่ฟินแลนด์ ที่ต้อนรับพวกเราอย่างอบอุ่น ทั้งนำอาหาร เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มกันหนาวมาให้กันอย่างล้นหลาม

25 ก.ย. 13 - ทำเนียบรัฐบาลฟินแลนด์





วันนี้คนงานเก็บเบอร์รี่ชาวไทยได้รับเชิญจาก ส.ส. เข้ารัฐสภาเพื่อไปนำเสนอปัญหา ได้รับความสนใจจากส.ส. หลายคน ทั้งประธานคณะกรรมาธิการแรงงานของที่นี่ด้วย

พวกเราเลยถ่ายรูปหมู่หน้ารัฐสภาฟินแลนด์กันก่อนเข้าห้องประชุม



ส.ส. อดีตนักสหภาพแรงงานของฟินแลนด์ กล่าวชื่นชมความกล้าหาญของคนงานเก็บเบอร์รี่กลุ่มนี้ที่กล้าลุกขึ้นสู้ บอกว่าแม้เส้นทางการต่อสู้จะยากลำบาก ก็ขอให้สู้จนถึงที่สุด

วันนี้มี ส.ส. ที่มีชื่อเสียงของฟินแลนด์หลายคนจากเกือบทุกพรรคการเมือง เข้ามาพูดคุยกับคนงานเก็บเบอร์รี่ชาวไทย และรับปากว่าจะดูแลปัญหาของพวกเขาอย่างจริงจัง


เมื่อลุกขึ้นสู้ โอกาสชีวิตในหลายด้านก็จะเผยโฉม

พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติฟินแลนด์ เปิดรับคนงานกลุ่มนี้ให้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ฟรี พร้อมมีเจ้าหน้าที่มากล่าวต้อนรับและแนะนำพิพิธภัณฑ์อีกด้วย

ได้เวลาถ่ายรูปหมู่กันแล้ว


ตอนนี้นักเขียนลูกอีสานคนงานเก็บเบอร์รี่ชาวไทยคนนี้ "ไพรสันติ จุ้มอังวะ" ดังแล้ว ได้รับเชิญไปออกรายการทีวีชื่อดัง คุยกันยามเช้าของฟินแลนด์ในเช้าวันศุกร์ที่จะถึงนี้ เพราะข้อเขียนจากใจของเขาที่ทำให้คนฟินน์ต้องหลังน้ำตา

ตอนนี้ข้อเขียน "ความในใจของคนเก็บเบอร์รี่" ของเขากำลังจะออกตามมาอีก 1 ชิ้น

รออ่านนะฮะ


ถ่ายรูปกับคนดัง
ไพรสันติ ไหว จุ้มอังวะ

ข้อเขียนชิ้นที่สองของเขา
ตีแผ่การต่อสู้ดิ้นรนของคนจน
ที่ถูกรังแกทั้งในประเทศไทยและในฟินแลนด์


"ทำไมนะ ทำไมต้องคอยรังแกคนจนๆ ที่ไม่มีทางสู้ เธออดมื้อกินมื้อทำไร่มันสำปะหลังเพื่อแลกข้าว หาเห็ดป่า เก็บดอกกระเจียว และหาหน่อไม้ขาย เพื่อนำเงินมาซื้อข้าวกรอกหม้อ เพื่ออยู่ร่วมโลกกับพวกคนมีเงินไปวันๆ

ผมถามภรรยาว่า "แล้วที่ข้างๆ กันที่เขาปลูกยางจนโตและพึ่งจะลงก็มีคนละ 3-4 ร้อยไร่ล่ะ"

ภรรยาผมตอบว่า “ป่าไม้บอกที่เขาเป็นป่าเสื่อมโทรมแล้ว เขาไม่ได้บุกรุก”

นี่หรือคือคนจน เราจะถูกเหยียบย่ำอีกสักเท่าไรถึงจะพอ กฎหมายไม่มีข้อยกเว้นสำหรับคนจนเลยหรือไง"

ข้อเขียนที่ทำคนฟินน์หลั่งน้ำตา

หนังสือกราบขอบคุณคนฟินและคนไทยในฟินแลนด์ทุกๆคน


เรื่องราวบางเรื่องผมไม่สามารถบอกกล่าวขอบคุณพี่น้องคนฟินน์และคนไทยในฟินแลนด์ได้ด้วยคำพูดเพราะเมื่อผมพูดสิ่งแรกที่มันจะหลั่งไหลออกมคือ น้ำตาเพราะความรู้สึกที่คนฟินที่นี่ดูแลพวกเราเป็นอย่างดี ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ที่ตรงนี้(ศูนย์คนว่างงาน) ทำให้ผมรู้สึกว่ามีความอบอุ่นด้วยมิตรไมตรีที่ดีจนกระทั่งย้ายไปอยู่ที่รีสอร์ทริมน้ำ ครอบครัวคนฟินและคนไทยในฟินแลนด์ก็ยังตามไปดูแลถึงที่นั่น

ถึงแม้ว่าอากาศจะหนาวเย็นแต่พวกเขาก็ไม่เคยเลยสักวันที่จะไม่ไปที่นั่น

เขาไปเยี่ยมไปเฝ้าดูแลทุกวันตั้งแต่เช้ายันเย็น

หลายสิ่งที่ซาบซึ้งในน้ำใจเขามากมายเช่น ขณะที่พวกเรากำลังหลับนอนในยามดึก ผมตื่นขึ้นมามองข้างม่านที่บานประตูก็จะเห็นผู้ชายคนหนึ่งไม่ยอมหลับนอน เขาเดินรอบๆ บ้านบางครั้งเขาก็มานั่งที่ระเบียงข้างหน้า เพื่อเฝ้ามองรอบๆ ที่พักเรา

ผมยืนจ้องมองดูเขาอยากจะบอกเขาว่า “ขอบคุณนะ ขอบคุณมากๆ ที่เฝ้าดูแลเรา”

ผมยืนมองดูเขาเนิ่นนานพร้อมกับมานึกถึงตัวเองและทุกๆ คนว่าทำให้เขาลำบากหรือเปล่า

เขาต้องทนหนาวทนอดนอน จนสว่างทุกวัน

เมื่อมองดูเขาก็มีสิ่งหนึ่งมันไหลคลอในดวงตา

คำถามตัวเองเริ่มตามมาว่า ทำไมเขาต้องลำบากเพราะเราด้วยเล่า ทั้งๆที่ไม่ใช่ความผิดของเขา และไม่ใช่เขาคนเดียวที่ลำบากทั้งพ่อแม่ น้องชาย น้องสาว และญาติๆ หลายคน

ทำไมนะทำไม เมื่อนึกถึงภาพนั้นก่อนนอน น้ำตาก็จะไหล ด้วยความตื่นตันใจ

และในวันหนึ่งที่จะจดจำใส่ใจ และความรู้สึกไปจนวันตาย คือวันที่พวกเราได้เดินด้วยเท้าไปดูฟาร์มตอนเดินออกจากที่พักจะมีพี่สาวผมสีทองเดินนำหน้า

สิ่งที่สะดุดตาและหัวใจคือผู้หญิงคนหนึ่งพร้อมกับลูกน้อย2 คน คนโตเป็นผู้หญิงผมทอง อายุสัก 4-5 ขวบ คนเล็กเป็นผู้ชาย คงขวบกว่าๆ

คนพี่เดินเท้าส่วนคนเล็กนั่งในรถเข็น

อากาศในวันนั้นรู้สึกว่าหนาวมากเพราะมันเป็นตอนใกล้ค่ำ เด็กน้อยผมทองเดินข้างๆ รถเข็นของน้องชาย

เส้นทางเริ่มไกลไปเรื่อยๆจาก 1 กม. ก็เป็น 2 กม. ผมทองตัวน้อยก็ยังเดินต้อยๆ ไปเรื่อยๆผมเองก็มองดูหน้าคนเป็นแม่ อยากบอกเขาว่า “อยากอุ้มเจ้าผมทองช่วยได้ไหมแต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไง” และอยากช่วยเขาเข็นเจ้าตัวน้อยก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร

ถ้าจะอุ้มเจ้าผมทองโดยไม่บอกกล่าวก็กะไรอยู่

เส้นทางที่เดินไม่ต่ำกว่า3-4 กม.

ขากลับจวนจะมืดอากาศเริ่มหนาว ขนาดตัวผมน้ำมูกยังไหลปิ่มๆ เด็กน้อยสองคนคงจะหนาวมาก

แม้แต่เด็กยังมาลำบากเพราะเราคิดแล้วก็ได้แต่ส่ายหัวตัวเองไปมา เพราะความน้อยใจในตัวเอง และมองดูเด็กน้อย 2 คนมันเหมือนกับว่ามีอะไรมาจุกที่ลำคอ

มองดูเนิ่นนานก็นึกถึงหลานสาว(ลูกของลูกสาว) วัย 3 ขวบกว่าๆ ที่อยู่ที่บ้าน ถ้าเป็นหลานเรา เราคงไม่ปล่อยให้เขาเดินทางไกลขนาดนี้

ขอบคุณมากๆนะ คนเป็นแม่ ขอบใจเจ้ามากๆ เจ้าผมทองและเจ้าตัวน้อยที่พาพวกเราให้มาเห็นคนที่นี่

คุณพี่ที่ปลูกผักใจดีมากให้ผักมากินตั้งเยอะแยะ ขอบคุณคุณพี่มาก ขอบคุณจริงๆ

คุณลุงคุณป้าที่เลี้ยงผึ้งด้วย ให้น้ำหวานผึ้งมาตั้ง 4-5 กระป๋อง

จากรีสอร์ทที่พักมาอยู่ที่โบสถ์วันนี้เป็นวันที่เท่าไหร่แล้วนะจำไม่ได้ หรือไม่อยากจำ แต่สิ่งที่จดจำคือความดีของทุกๆคน

ดึกสงัดของคืนนี้ผมรู้ตัวเองว่าเหนื่อยเพลียหลับไปสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกเมื่อรู้สึกว่ามีเสียงคนเดินเบาๆ จึงค่อยๆ เปิดม่านตาขึ้นมองเห็นผู้หญิงคนหนึ่งอายุคงจะ 60-70 ปี ท่านเดินมาทางปลายเท้าของทุกๆ คนที่กำลังนอนหลับสนิท

คุณป้าเดินมาถึงปลายเท้าเพื่อนที่นอนด้วยกันข้างๆกับผม ในมือของคุณป้าคือผ้าห่ม และคลุมผ้าให้ผู้ชายคนนั้นอย่างนุ่มนวลและเดินทำอย่างนั้นกับหลายๆ คน มันทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาถึงแม่

ใช่เขาไม่แตกต่างอะไรเลยจากแม่ที่คอยห่วงใยและให้ความอบอุ่นกับลูกๆ ทุกคน

ผมอยากจะเรียกคุณป้าว่าแม่จ๋าแม่ ยังห่วงลูกๆ แม่ยังมองดูลูกๆ อยู่หรือ แม่รู้หรือว่าลูกๆ หนาวถึงได้ตื่นมาห่มผ้าให้ลูกๆ ในยามดึกดื่นอย่างนี้ หรือแม่ไม่หลับนอนเลยหรือยามลูกๆหลับ

น้ำตาผมไหลลงเปียกหมอนจนหลับไป

ขอขอบพระคุณนะคุณแม่ลูกจะจดจำจนวันตาย หากวันหนึ่งข้างหน้าบุญวาสนามีจริง ลูกๆ ขอมาเจอคุณแม่อีก

เรื่องราวความดีของคนที่นี่เล่าสักสิบหน้ากระดาษคงไม่หมด

เมื่อมาเจอคนดีที่นี่ทำให้ผมลืมเรื่องร้ายหลายอย่าง แต่จะให้เขียนเรื่องร้ายๆ ที่นี่มันคงสั้นแค่บรรทัดเดียว

ขอบคุณคนฟินน์ทุกๆคน ขอบคุณมากๆ

ถ้าคิดจะทดแทนบุญคุณชาตินี้ทั้งชาติคงชดใช้ไม่หมด

จะรักจะคิดถึง คนฟินน์ที่นี่ ไม่มีวันลืมและจะตลอดไป


ไหว

ไพรสันติ จุ้มอังวะ


ป.ล. สิ่งที่ลืมไม่ได้อีกคือทนาย พี่เล็กพี่ผู้ชาย และคุณลี่

23 - 24 ก.ย. 13 การต่อสุ้ของคนงานเก็บเบอร์รี่ 6



การต่อสู้ของคนงานเก็บเบอร์รี่ที่ฟินแลนด์ยังไม่จบ

เมื่อวานบริษัทมาจ่ายเงินค่าผลไม้ แต่ก็ตุกติก โดยบริษัทยอมให้บริษัทตัวแทนชาวไทยโอนเงินของคนงานครึ่งหนึ่ง 25 คน ไปเข้าบัญชี(ใครก็ไม่รู้ที่เมืองไทย) อ้างว่าเป็นการหักใช้หนี้เงินกู้

ซึ่งคนงานก็ได้มีการเช็คกับเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานทันที ว่าการหักนั้นทำไม่ได้

คนงานกลุ่มนี้จึงต้องอยู่ต่อสู้ต่อไป และจะไปยื่นหนังสือขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลฟินแลนด์

ตอนนี้คลิปวีดีโอ ภาพ และเรื่องราวของพวกเขากำลังทยอยเอาขึ้น dropbox สื่อไหนต้องการคลิปข่าวเหล่านี้ ติดต่อมาได้ฮะ

ขอโทษนะฮะ ... อย่าว่าแต่คนงานทนพฤติกรรมเจ้าหน้าที่สถานทูตไทยไม่ได้เลยฮะ ที่กดดันคนงานอย่างเดียวว่าจะกลับบ้านวันจันทร์อังคารนี้ไหม แม้ว่าคนงานยังไม่ได้เงิน และยังไม่ได้ทำคดีฟ้องร้องทางนี้เรียบร้อยดีเลย

จนแม้แต่คนฟินน์ก็ทนไม่ได้ เดินเข้าไปบอกเจ้าหน้าที่สถานทูตไทยตรงๆ เลยว่า หน้าที่พวกคุณคือควรจะไปบอกบริษัทให้รับผิดชอบคนงานกลุ่มนี้ ไม่ใช่มาแสดงกริยาไม่ให้เกียรติคนงานไทยต่อหน้าบริษัท และคนฟินน์เช่นนี้

* * * 

From yesterday! Can't belief how small I am.

http://aksa.fi/18-poimijan-tilipussi-erittain-pakkasella-tassa-sunnuntain-valitut-palat/
Last night in Aanakoski, lot of fun and lot of tear.
We miss you.  

กลุ่มคนงานเก็บเบอร์รี่ชาวไทย 50 คนที่สู้ยิบตาเพื่อกู้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และค่าเสียหายที่ฟินแลนด์เป็นกลุ่มคนพิเศษจริงๆ ... ดีใจที่ได้ร่วมสู้กับทุกคน




* * *

Five strong women who solidly in solidarity with 50 Ber-Ex forest berry workers.

ผู้หญิงแกร่ง 5 คน ที่ยืนหยันร่วมต่อสู้กับคนงาน Ber-Ex ทั้ง 50 คน ตั้งแต่วันแรก และจะจนถึงวันที่พวกเขาได้รับชัยชนะ


* * *

We have arrived in Helsinki an hour ago. Thanks to Kirsti and Miska for driving us safely to Helsinki. And Thanks to the Left Youth for arranging the home for all of us.

ขนของเดินทางมาถึง Helsinki ขอบคุณ Krisi และ Miska ที่ขับรถบัสมาส่งพวกเรา และของคุณ เครือข่ายเยาวชนซ้ายสำหรับการจัดเตรียมที่พักและกิจกรรมต่างๆ ในเฮลซิงกิให้กับพวกเรา

* * *

'Lazy' pickers juice, produces by 50 Ber-Ex workers to fund raise for their struggle. 

น้ำเบอร์รี่ "คนขี้เกียจ"

ผลิตโดยกลุ่มคนงานเก็บเบอร์รี่ชาวไทย 50 คน ที่กำลังสู้เพื่อศักดิ์ศรีของคนงานไทยที่ฟินแลนด์อยู่ ณ ขณะนี้



 

21 ก.ย. 13 การต่อสุ้ของคนงาเบอร์ร่ 5


สามคนงานเก็บเบอร์รี่บอกเล่าเรื่องราวปัญหา โดยบอกว่าไม่มีคนไทยที่ขี้เกียจจะมาทำงานเก็บเบอร์รี่ (บริษัทกล่าวหาคนงานกลุ่มนี้ต่อสื่อว่า เป็นคนงาน "ขี้เกียจ")

ทุกคนบอกว่า "ถ้าไม่ได้เงิน กลับบ้านไม่ได้"
ตอนนี้หลายคนบอกว่า "ถ้าจะต้องอยู่สู้คดีจนยุติ จะปีหรือสองปี ก็จะขออยู่สู้คดี" กันเลยทีเดียวล่ะ

ไม่บ่อยเลยที่จะเห็นความมุ่งมั่นต่อสู้เพื่อความยุติธรรม และศักดิ์ศรีความเป็นคนของคนงานเช่นกลุ่มนี้

พวกเขาได้ใจคนทุกคนที่ได้ฟัง

บาทหลวงที่โบสถ์ถึงกลับบอกว่า สนับสนุนการต่อสู้ของพวกเรา และพวกเราจะอยู่ที่โบสถ์แห่งนี้นานแค่ไหนก็ได้

ตอนนี้มีร้านอาหารไทยและกลุ่มคนไทยนำอาหารแห้ง อาหารสุขมาให้ และบอกว่าถ้าต้องการให้ทำอาหารให้โทรไปบอกได้

คนฟินน์เอาผลไม้ ปลา เนื้อ ผ้าห่ม เสื้อผ้า มาให้กันทุกวัน

ยิ่งเห็นน้ำใจของคนอื่นมากมาย กลุ่มคนไทยกลุ่มนี้กลับยิ้งเห็นความเหี้ยมโหดและไร้มนุษยธรรมของบริษัท Ber-Ex ที่มีเจ้าหน้าที่สถานทูตไทยเป็นโฆษกให้กับบริษัทมากขึ้น

และคนฟินน์ก็เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน
* * *

เรื่องปัญหาคนงานเก็บเบอร์รี่ที่ฟินแลนด์

ต้องอัดกันอีกรอบว่า รมต. เฉลิมไม่สนใจเลย เจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานระดับสูงไม่สนใจเลย แถมยังปล่อยให้บริษัทอ้างชื่อเจ้าหน้าที่กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ และของสถานทูตไทยมาใช้ขู่คนงานกันอีกด้วย

ยิ่งเป็นจริงตามคำขู่บริษัทนายหน้าค้าแรงงาน เมื่อสถานทูตไทย ทำตัวเป็นโฆษกให้บริษัทอีกต่างหาก บอกคนงานว่านอกจากไม่ได้เงินค่าจ้างอะไรแล้ว "บริษัท Ber-Ex ยังใจดีให้ยืมเงินซื้อตั๋วกลับบ้านใบใหม่ให้อีกด้วย" 

(หลังจากบริษัทเปลี่ยนวันกลับบ้านในตั๋วของคนงานโดยที่คนงานพยายามทำทุกช่องทางทั้งบอกกับบริษัทและสถานทูตทางโทรศัพท์ และทนายความของคนงานชาวฟินน์ เดินทางไปปรึกษากับสายการบินฟินแอร์ด้วยตัวเอง ก็ไม่สามารถยับยั้งการเปลี่ยนตั๋วได้ เพราะสิทธิในการเปลี่ยนตั๋วกรุ๊ฟนี้อยู่กับบริษัท)

บริษัทที่ไม่ยอมจ่ายค่าผลไม้ให้คนงาน
กลั่นแกล้งคนงานทำให้คนงานเสียตั๋วเครื่องบิน
ยังมีหน้ามาบอกกับคนงานว่า "จะให้ยืมเงินซื้อตัวใบใหม่"

โดยคนที่นำข้อความนี้มาบอกกับคนงานคือเจ้าหน้าที่สถานทูตไทยที่ยังมีหน้าบอกกับคนงานว่า "แม้บริษัทจะโกรธคนงาน แต่ก็ใจดีให้ยืมเงินค่าซื้อตั๋วใหม่"

เหอ เหอ จะมีอะไรตลกร้ายกว่านี้อีกไหมท่าน

ลิงก์ข้อมูลภาษาฟินน์

* * *

The Thai Ambassador for Finland and his team, together with Ber-Ex boss and his team, are now in discussion with the 50 Thai pickers.

I will update again when there is some progress.

ทูตไทยประจำประเทศฟินแลนด์ และคณะ พร้อมกับนายจ้างบริษัท Ber-Ex และคณะมาพบคนงานเพื่อเจรจาเรื่องการกลับบ้านและรายได้

ถ้ามีความคืบหน้าอย่างไรจะนำมา update อีกครั้งหนึ่ง

20 ก.ย. 13 เรื่องราวของคนงานเก็บเบอร์รี่ 4

แกนนำคนงานเบอกว่า ถ้าสส. เพื่อไทยปล่อยให้พวกเขาถูกนายหน้าค้าแรงงาน และข้าราชการไทยทั้งกระทรวงแรงงาน และสถานทูตไทยรังแก โดยไม่ขยับช่วยอะไรพวกเขาเลยในเรื่องนี้ สมัยหน้าหมดสิทธิ์เลย

* * *

อภิชัย นาคสุข ตัวแทนบริษัท Ber-Ex โทรบอกกับภรรยาของแกนนำคนงาน Ber-Ex ที่ฟินแลนด์ ว่า เขาจะไม่ช่วยอะไร แล้วต่อไปก็ไม่ต้องโทรมาหาเขาอีก โดยอ้างว่าเจ้าหน้าที่กองบริหารแรงงานไทยในไปต่างประเทศชื่อวิวัฒน์ และ อัครทูตที่ปรึกษาสถานทูตไทย ณ ประเทศฟินแลนด์ ชื่อวรวุฒิ ไม่ยอมรับการใช้บัตรสมาชิกกองทุนของคนงานกลุ่มนี้ บอกว่าคนงานต้องซื้อตั๋วเครื่องบินกลับเอง

ถ้าไม่ซื้อกลับเอง ทางสถานทูตไทยจะให้เงินกู้ซื้อตั๋วเครื่องบิน

และยังขู่ว่า “คนที่อยู่เบื้องหลัง” บอกว่าอยากไปร้องเรียนนายกฯ ก็เชิญ เขาไม่กลัว

* * * 

Ber-Ex pickers arrived at Aanekoski on 19 Sept. Their dinner is Spicy chicken and fried egg.

เมื่อวานพวกเราเดินทางเข้ามาพักที่โบสถ์ที่เมือง Aanekoski

พ่อครัวทำกระเพาไก่ไข่ดาวเป็นอาหารเย็น

สำหรับวันนี้เราจะมีปาร์ตี้อาหารไทยระดมทุน และขายน้ำผลไม้ที่ผลิตโดยพวกเราจากเบอร์รี่ที่เก็บโดยคนงาน 50 คน

ทั้งนี้เรามีคนฟินน์และคนไทยที่บริเวณใกล้เคียงมาช่วยเรื่องอาหารในงานปาร์ตี้วันนี้

ส่วนเมนูจะเป็นข้าวมันไก่ เนื่องจากเรามีพ่อค้าข้าวมันไก่อยู่ในหมู่คนงานด้วย

และพี่วรรณ ผู้หญิงไทยที่ใจดีและกว้างขวางที่เมืองนี้ จะทำขนมมลอดช่องสิงคโปร์มาร่วมสมบทค่ะ

คืนนี้คงจะสนุก

* * *



เมื่อคืนมีรายการดีเบตทางการเมืองที่คนดูมากที่สุดรายการหนึ่งของฟินแลนด์ นำเสนอเรื่องปัญหาคนงานเบอร์รี่ โดยเฉพาะคนงาน Ber-Ex  ตัวแทนคนงานทั้งทนาย Ville Hoikkala และ Li Anderson ไปร่วมถกในฝ่ายคนงาน มีตัวแทนจากกระทรวงต่างประเทศที่กำหนดโควต้ามาด้วย และตัวแทนจากบริษัทเบอร์รี่ (เจ้าของบริษัท Ber-Ex ปฏิเสธที่จะเข้ามาถกในรายการ)

พวกเราดูรายการสดจากอินเตอร์เนต

ที่แน่ๆ การต่อสู้ของคนงานไทย 50 คนนี้ได้สร้างประวัติศาสตร์ที่ฟินแลนด์ และทำให้คนทั้งประเทศฟินแลนด์ได้ตื่นต่อสภาพปัญหาที่คนงานไทยได้เจอ

ข้ออ้างของกลุ่มทุนและข้าราชการทั้งสองประเทศตลอดหลายปีที่ผ่านมาว่า "คนงานเก็บเบอร์รี่ส่วนใหญ่มีความสุขสบายดี มีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ไม่ได้" กลายเป็นเรื่องที่คนทั้งประเทศฟินแลนด์กังขา

* * *

คนงานเก็บเบอร์รี่ชาวไทย 50 คนที่อยู่ฟินแลนด์ อยากให้สัมภาษณ์กับรายการทีวีในประเทศไทย เพราะถูกกดดันอย่างหนักจากบริษัทนายหน้า และเห็นการพยายามปัดภาระของข้าราชการไทย

บริษัทนายหน้าบอกกับแกนนำคนงานว่า “คนที่อยู่เบื้องหลัง” บอกว่าอยากไปร้องเรียนนายกฯ ก็เชิญ เขาไม่กลัว”

พวกคนงานอยากบอกเล่าปัญหาและความเดือดร้อน ใครเป็นสื่อหรือติดต่อสื่อได้ ประสานมาได้เลยนะฮะ

* * *
คำถามต่อ ธกส. และรัฐบาลไทย คือ จะยังคงอุ้มธุรกิจค้ากำไรงามเช่นนี้ ที่ทำนาบนหลังของคนงานไทยจากภาคอีสานปีละกว่าหมื่นคน ที่เป็นผู้แบกรับความเสี่ยงและความเสียหายทุกอย่างเช่นนี้ต่อไปอีกนานเท่าไร?

ปีนี้มีการประท้วงของคนงานเก็บเบอร์รี่ทั้งที่สวีเดนและฟินแลนด์

ประชาไท เรื่องราวการต่อสู้ของคนงานเก็บเบอร์รี่ชาวไทยที่ฟินแลนด์

19 ก.ย. 13 - การต่อสู้ของคนงานเก็บเบอร์รี่ 3

ทั้ง 7 คนตัวแทนที่ได้รับเลือกอย่างเป็นเอกฉันท์จากคนงานทั้ง 50 คน
ประกาศยืนหยัดสู้แบบ "ไม่ได้เงินตามสิทธิ์ ไม่กลับบ้าน" กันเลยทีเดียว
These strong leaders of 50 Ber-Ex pickers-workers are solidly in unity, saying that ' no payment of their work, no going home'.

* * *

50 Ber-Ex pickers group picture with friend from Soulathi and Annakoski. 

ภาพหมู่คนงาน Ber-Ex 50 คนกับกลุ่มองค์กรที่ให้การช่วยเหลือจากฟินแลนด์ ... ความมุ่งมั่นไม่สั่นคลอน
* * *

แม้จะต้องร่วมต่อสู้เพื่อความถูกต้องและความยุติธรรมกับคนงานเบอร์รี่ที่ฟินแลนด์
จรรยาก็รำลึกเสมอว่าวันนี้ วันที่ 19 กันยายน เมื่อ 7 ปีที่ผ่านมา คือวันอัปยศ

ก็ไม่เพราะการเมืองไทยไม่เคยเชื่อมั่นประชาชนหรอกหรือ
คนยากคนจนไทยที่ต้องออกมาขายแรงงานที่ต่างชาติ
จึงถูกดูถูกเหยียดหยามและเอารัดเอาเปรียบจากนายทุนอาณานิคมใหม่แห่งโลกยุคเทคโนโลยีเช่นนี้

* * *

คนงานเก็บเบอร์รี่ชาวไทยทุกคนไม่ใช่คนหลังเขา หรือคนป่าเถื่อน ที่เลี้ยงดูแค่มาม่ากับข้าวสวย ก็ทำงานกันอย่างทรหดอดทนวันละ 12-15 ชั่วโมง ตลอด 60-70 วันโดยไม่ต้องพัก

ทุกคนมีเรื่องราว พี่มงคลเดินทางไปทำงานในหลายประเทศ เป็นคนที่มีมารยาทงาม อ่อนน้อมถ่อมตน และขณะเดียวกันก็สู้เพื่อชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นที่เมืองไทย

ตอนนี้พี่มงคลเป็นหนึ่งในคนงาน Ber-Bx 50 คน ที่ต่อสู้ทางคดีที่ฟินแลนด์ ที่ไม่ใช่แค่เรียกร้องเรื่องค่าเสียหายเท่านั้น แต่เพื่อกู้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่กระบวนค้าแรงงานทาสมาเก็บเบอร์รี่ดูถูกและเหยียดหยาม
* * *

วันที่ 10 กันยายน พวกเรา 3 คนได้เดินทางมาเพื่อไปพบคนงานไทยที่อยู่ที่แคมป์ Saarijarvi และพวกเราและเพื่อนๆ นักกิจกรรมในพื้นที่อีกหลายคนที่ตามมาสมทบ ได้ร่วมเป็นประจักษ์พยานต่อสภาพความจริงแห่งการใช้ชีวิตและการทำงานของกลุ่มคนงานภายใต้สถานภาพ “นักท่องเที่ยวจ้างงานตัวเอง” ที่ในความเป็นจริงช่างห่างไกลจากความเป็น “นักท่องเที่ยว” ตามที่ระบุในวีซ่า อย่างมากมายจนน่าตกใจ

อ่าน "ชำแหละเบื้องหลังเก็บ‘เบอร์รี่’เคล้าน้ำตา การต่อสู้ของคนงานชาวไทยในฟินแลนด์"

18 ก.ย. 13 - คนงานเก็บเบอร์รี่ทำน้ำเบอร์รี่ระดมทุนสู้

Baking cake's lesson to Ber-Ex's workers-pickers.

ครูสอนอาหารชาวฟินแลนด์ มาสอนทำเค้กแอ๊ปเปิล และเค้กเบอร์รี่ให้กับคนงาน Ber-Ex

* * *


Ber-Ex's workers-pickers are processing 'Solidarity berry juice' to fund-raise for their struggle. 

คนงาน Ber-Ex ทำน้ำเบอร์รี่เพื่อขายระดมทุนสู้

17 ก.ย. 13 - การต่อสู้ของคนงานเก็บเบอร์รี่ 2

เรื่องนี้ต้องขอบคุณจริงๆ ฮะ

นอกจากขอบคุณสมาคมคนว่างงานฟินแลนด์ ที่ดูแลเรื่องที่พักและอาหารอย่างดีกับพวกคนไทยทั้ง 50 คนแล้ว ทั้งจัดกิจกรรมพูดคุย เชิญสส. มาพบคนงาน และพาคนงานดูงานด้วย - ถ้าไม่ได้สมาคมนี้ช่วยดูแลพวกเราคงแย่เหมือนกัน - ขอบคุณจริงๆ

ก็ต้องขอขอบคุณพี่สาวน้องสาวคนไทยมาแต่งงานอยู่ที่ฟินแลนด์ โดยเฉพาะคนที่เมื่องใกล้ๆ กับที่พวกเราอยู่ตอนนี้ คือ Soulathi ที่พอทราบข่าวว่าพวกเราอยู่ตรงไหน ก็ติดต่อสื่อสารระหว่างกัน และนำอาหาร เสื้อผ้า มาให้ ตามมาเยี่ยมเยียน ตามมาดูแลคนงานไทยด้วยน้ำใจ "คนไทยไม่ทิ้งกัน"

วันนี้ก็บอกว่าจะนำข้าวเหนียวส้มตำมาเลี้ยงกันด้วย

ขอบคุณมากๆ ฮะ

ส่วนคนไทยที่อยู่เฮลซิงกิก็ฝากเตรียมตัวนะฮะ พวกเราคงจะเข้าเฮลซิงกิกันในอีกไม่นาน กำลังจะประสานเรื่องไปพบสภาแรงงาน กากันทัวร์เมืองหลวงฟินแลนด์(ครั้งแรก) และพาคนงานทัวร์ทำเนียบรัฐบาลฟินแลนด์กันด้วยฮะ

* * *


ปีนี้คาดการณ์กันว่าน่าจะมีคนไทยร่วม 20,000 คน ที่ถูกพามาเก็บเบอร์รี่ ที่ถูกชักจูง ล่อหลอก โดยบริษัทนายหน้าทั้งชาวไทยและชาวฟินน์ และสวีเดน ที่พากันเปิดเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย

เพราะธุรกิจค้ากำไรกับแรงงานไทยปีล่ะกว่าหมื่นคน ที่มีแต่คนงานเท่านั้นที่เสียหาย และกลุ่มธุรกิจที่นี่ไม่เคยต้องจ่ายค่าเสียหาย มันได้กำไรงาม

ปีนี้การประท้วงก็มีทั้งที่สวีเดนและฟินแลนด์

ที่ฟินแลนด์ คนกลุ่ม 50 คนได้รับการสนับสนุนการต่อสู้อย่างกว้างขวาง และสภาแรงงานฟินแลนด์ ได้ประกาศหนุนการต่อสู้ของกลุ่มคนงานไทย 50 คนแล้ว และก็ประกาศแล้วว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องกฎระเบียบต่างๆ และจะต้องมีการรับรองค่าจ้างคนงาน

-------------------------------
ขอวิจารณ์ท่าทีสถานทูตไทยอีกรอบ เพราะประสบด้วยตัวเอง

คำถามของสถานทูตต่อจรรยาและกลุ่มคนงานกลุ่มนี้ในทำนองว่า ไม่ห่วงว่าจะกระทบต่อภาพลักษณ์ และโอกาสงานของคนงาน 4,000 คน หรอกหรือ?

ก็อยากจะตอบว่าที่สู้กันขนาดนี้ก็เพราะห่วงนี่ล่ะ ถึงต้องพูด ถึงต้องสู้

แต่รัฐบาลไทยทำอะไรบ้างนอกจากพยายามสร้างความเชื่อมั่นกับนายทุนที่นี่ว่าจะไม่ปิดช่องทางการค้าทาสแรงงานยุคใหม่?

ตัวท่านทูตไทยที่ฟินแลนด์ ไม่ยอมเดินทางมาเยี่ยมคนงานที่ประท้วงด้วยตัวเอง แต่รีบเดินทางขึ้นไปคุยกับบริษัทเบอร์รี่ที่เขตภาคเหนือของประเทศฟินแลนด์เพื่ออะไร?

เพือ่จะบอกว่า จะจัดการกับคนงานที่พวกเขาเรียกว่าเป็นพวก "ขี้เกียจและหัวรุนแรง" 50 คนนี้ ให้สงบปากสงบคำ และเพื่อจะบอกว่าการเปิดปากพูดของพวกเขา จะไม่กระทบกับการเปิดโอกาสให้ธุรกิจที่นี่ขนคน ที่คนงานกลุ่มนี้เรียกว่า "ทาส" ปีละ 4,000 คน มาให้นักธุรกิจเบอร์รี่ฟินแลนด์ต่อไปหรือเปล่า?

อ้อ สถานทูตส่งทีมงานมา 2 คน มาพร้อมกับมาม่า ไข่ไก่และข้าว ตามที่เขียนถึงไปแล้ว ... เจ้าหน้าที่ ที่คนงานรู้สึกว่ามีท่าทีเหยียดคนงานแบบข้าราชการไทย และเข้าข้างบริษัทอย่างเห็นได้ชัด จนคนงานเดินออกจากการพูดคุยกันหลายครั้งหลายครา

* * *

อ้อ หนึ่งในเงื่อนไขที่สถานทุตไทยขอกับแกนนำคนงานคือ
ขอคุยกับคนงานตัวต่อตัว โดยไม่มีจรรยา โดยไม่มีคนฟินน์อยู่ด้วยได้ไหม
ซึ่งกลุ่มคนงานลงมติเป็นเอกฉันท์ว่า "ไม่ยอม"

กระนั้น ตอนเจ้าหน้าที่ทูตเดินทางมาหาพวกเรา

พอจรรยาพยายามจะพูดอธิบายเพื่อช่วยชี้แจงประเด็นให้เข้าใจ
เจ้าหน้าที่ผู้นี้ ซึ่งบอกเราว่าเป็นทูตที่ปรึกษา
ก็ยังพูดกับจรรยาต่อหน้าคนงานอีกว่า
"ขอคุยกับคนงาน (เท่านั้น)" ได้ไหมครับ
จนต้องให้กลุ่มคนงานลงมติว่า "ให้จรรยาพูด"

ต่างกันลิบลับกับช่วง สส. ฟินแลนด์มาเยี่ยม
เพื่อให้เข้าใจภาพรวม
จรรยาช่วยนำเสนอภาพสไลด์เรื่องราว
และช่วยเป็นล่ามแปลการพูดคุยระหว่างท่านสส. กับคนงานตลอดการเยี่ยมเยียน

ไม่เคยมีสักครั้งที่ทางกลุ่มฟินแลนด์จะขอว่า
"ขอคุยกับคนงาน" เท่านั้น
เช่นท่าทีของสถานทูตไทย

* * *


คนงานไทยกลุ่มนี้จำนวนมากเคยเป็นคนไปทำงานในต่างประเทศมาก่อน ทั้งสิงคโปร์ บรูไน ไตหวัน เกาหลี อิสราเอล สวีเดน ญี่ปุ่น พวกเขารู้จักดีกับคำว่า "ยากลำบาก" และ "อดทน"

แต่เมื่อการหลอกลวง กดหัว ถูกค้ากำไรบนหยาดเหงื่อแรงงานและกินแรงบนหลังของพวกเขามันมากเกินจะยอมรับ

พวกเขาจึงพากันเดินทางเข้าแจ้งความ "ค้ามนุษย์" ที่โรงพักฟินแลนด์ เพื่อเอาผิดกับบริษัทและเรียกร้องค่าเสียหาย เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2556

ทั้งนี้ ตลอดกว่าสัปดาห์ที่ได้อยู่ร่วมและได้พูดคุยกับกลุ่มคนงานไทยกลุ่มนี้ สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือ พวกเขาเป็นคนไทย เป็นคนอีสาน เป็นคนภาคกลาง (ชัยภูมิ สกลนคร อุดร หนองคาย ขอนแก่น บึงกาฬ และกำแพงเพชร) ที่ศิวิไลซ์ มีมารยาท อ่อนน้อมถ่อมตน

พวกเขาหลายคน มีทักษะการทำงานหลากหลายรอบตัว ทั้งเป็นนักร้อง นักดนตรี ช่างเครื่องยนต์ คนทำอาหารในร้านอาหารอิตาลี ฯลฯ

และทุกคนเปิดใจพร้อมเรียนรู้และสร้างมิตรภาพกับคนทั่วโลกได้อย่างสมคุณค่า "คนไทย"

เมื่อบริษัทพยายามปลักปรำและใส่ร้ายพวกเขาต่อสื่อต่างๆ ว่า พวกเขามาเพื่อสร้างความวุ่นวาย เป็นเพียงกลุ่มคนงานกลุ่มน้อยที่หัวรุนแรง พวกเขาจึงต้องสู้เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของตัวเองด้วยเช่นกัน
* * *

ในระหว่างคุยโทรศัพท์กับเจ้าหน้าที่สถานทูตในช่วงเจรจากัน

จรรยาถามเจ้าหน้าที่สถานทูต (หญิง) ถึงสามครั้งว่า คุณรู้สึกสะเทือนใจบ้างไหมกับสิ่งที่คนงานไทยกลุ่มนี้ต้องเผชิญ ตอบในนามข้าราชการไม่ได้ก็ตอบในนามส่วนตัวก็ได้

เธอตอบถึงสามครั้งว่า "ตอบไม่ได้"

จรรยาจึงบอกว่า ถ้าตอบไม่ได้ ก็ไม่ต้องคุยกัน

เจ้าหน้าที่หญิงคนนี้ มากับคณะเยี่ยมคนงาน 50 คนเช่นกัน และก็เรียกคนงานชายคนหนึ่งที่อายุน่าจะมากกว่าเธอว่า "ลูก"

จรรยาต้องท้วงว่า คนที่คุณเรียกว่า "ลูก" น่ะ อายุเป็นพี่ชายคุณได้แล้วนะฮะ

* * *



Thai berry pickers-workers food.

อาหารที่คนงานเก็บเบอร์รี่ชาวไทยต้องกินกันตลอดทั้งเดือนที่อยู่ที่นี่ จนทุกคนผ่ายผอมน้ำหนักลดกันคนละ 3-5 กก. ภายในเดือนเดียว

เมื่อวันที่ 13 กย. ที่ผ่านมา สถานทูตไทยมาเยี่ยมคนงาน 50 คนที่ดำเนินคดีฟ้องร้องบริษัท เพื่อพยายามจะเกลี่ยกล่อมคนงานว่า "คนงานคิดดีหรือยัง" และ "ทางบ้านที่เมืองไทยว่าอย่างไรบ้าง"

คนงานต่างบอกกับสถานทูตว่าทางบ้างของพวกเขานั่นล่ะ "บอกให้สู้" "ถ้าไม่สู้ชนะกลับไปเมืองไทยก็ไม่มีอะไรขายใช้หนี้ได้"

เมื่อท่านทูตที่ปรึกษาบอกว่านำ มาม่า 10 ลัง ไข่ไก่ 100 ฟอง และข้าวสาร 20 กก. มาฝากคนงาน จรรยาบอกไปว่า คนงานกินมาม่ากันมาทั้งเดือนแล้ว สถานทูตไทยยังจะให้เขากินมาม่ากันต่ออีกหรือ?

การได้ประจักษ์ด้วยตนเอง ถึงท่าที่และทัศนคติของสถานทูตไทยที่ต่างแดนต่อคนไทยที่มาทำงานที่ต่างแดนอย่างจังๆ เช่นนี้เป็นเรื่องที่จะต้องเขียนบอกเล่าให้ทางเมืองไทยรับทราบด้วยเช่นกัน

หลังจากได้ยินการบอกเล่าโดยกลุ่มคนงานไทยที่มีปัญหาในต่างแดนเกือบทุกกลุ่มในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

* * *

สามีภรรยาสองคนนี้มาพร้อมกับน้องชาย ค้ำประกันเงินกู้รวม 300,000 บาท ด้วยโฉนดที่ดินที่มีทั้งหมด 2 ใบ - ทั้งที่อยู่อาศัย และที่นา 10 ไร่ - ถ้ากลับไทยโดยไม่ได้เงินรายได้จากการเก็บเบอร์รี่และค่าชดเชย พวกเขาก็อาจจะสูญทั้งบ้านและสูญทั้งที่นา

นี่คือเหตุผลหนึ่งที่พวกเขาที่มากันทั้งครอบครัวเหล่านี้ ที่ถูกทำให้เชื่อว่าจะได้เงินกลับบ้านกันหลายหมื่น ถ้ามาหลายคนในครอบครัวก็จะได้หลายแสน ต้องฟ้องร้องคดี "ค้ามนุษย์" กับบริษัทเหล่านี้

อนึ่ง คนงานกลุ่มนี้ยังไม่มีใครได้รับเงินค่าเบอร์รี่แม้แต่คนเดียว และทั้งบริษัทที่ฟินแลนด์และบริษัทที่เมืองไทยที่พาพวกเขามา ต่างก็บอกพวกเขาว่าหลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้ว นอกจากจะไม่มีเงินเหลือกันเลย พวกเขายังเป็นหนี้บริษัทอีกด้วย

17 ก.ย. 13

เข้าอินเตอร์เนตเห็นข่าวฟ้องอั้ม Aum Neko ด้วยมาตรา 112 แล้วเศร้าใจ หวังว่าตำรวจจะไม่งี่เง่ารับฟ้องคดีแบบนี้

เมื่อการเมืองไทยมันไม่สามารถจัดการเรื่องการปิดกั้นเสรีภาพและการเล่นการเมืองแบบมาเฟียได้เช่นนี้ ก็ส่งผลต่อเสถียรภาพและคุณภาพชีวิตคนไทยอย่างมากมายไปด้วย

เป็นกำลังใจให้อั้มและทุกคนที่เจอกับกฎหมายปิดปากตัวนี้

16 ก.ย. 13 - การต่อสู้ของคนงานเก็บเบอร์รี่ 1


The story of the 50 Thai berry pickers in Finland is coming soon. It is so wonderful to be part of this historic struggle.

เตรียมอ่าน เรื่องราวการต่อสู้ของคนงานเก็บเบอร์รี่ผู้กล้าหาญชาวไทยทั้ง 50 คนที่ฟินแลนด์ ที่ประกาศสู้เพื่อศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์

9 ก.ย. 13

ไปแระ มีเรื่องเร่งด่วนจี๋ต้องไปทำ

วันสองวันนี้ ใครจะ unfriend เพราะกูวิจารณ์ชินวัตร เพราะกูวิจารณ์เจ้า เพราะกูเขียนอะไรแรงๆ ก็ตามสบายฮะ

จะมาบอกก่อน หรือไม่มาบอกก็ได้ ... แต่ถ้าจะบอกก็บอกด้วยว่า เพราะสาเหตุใด จะได้ถือเป็นการเก็บสถิติไปด้วยฮะ ...

ขอบคุณ

8 ก.ย. 13

ประเมินจากคนที่ไม่ชื่นชอบชินวัตรนะฮะ

แต่เพื่อความสงบสุขในชาติ ก็คิดว่าต้องยอมรับความจริง และสู้กับชินวัตร อย่าง "ประชาชนตาสว่าง" "ประชาชนที่รู้จักสิทธิ"

สิ่งที่นักการเมือง "เกรงใจ" มากที่สุด คือ "ประชาชนฉลาด"


* * *

ประเมินดูตามสภาพความเป็นจริง

ประเทศไทยคงจะอยู่ภายใต้การบริหารของตระกูล "ชินวัตร" อีกนานเป็นทศวรรษ
เพราะไม่มีตระกูลไหนที่มีพี่น้องลูกหลานรวมกันเป็นร้อย ที่เป็นแนวร่วมที่แข็งขันและมีสื่ออยู่ในมือเช่นนี้
ทั้งยังมีเงินในระดับที่ทุ่มทางการเมืองได้เท่ากับ "ชินวัตร" เท่าที่เห็น ณ ตอนนี้

การต่อสู้กับ "ชินวัตร" แบบ "พันธมิตร" และ "ปชป. ด้วยยุทธศาสตร์
โค่นทักษิณไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
รังแต่จะยิ่งทำให้ประเทศไทยเสียหาย ถอยหลัง ตกต่ำ และไร้เสถียรภาพ
และเป็นการต่อสู้ที่ไม่มีทางชนะ

วิธีการที่ดีที่สุดที่จะต่อสู้กับ "ชินวัตร" คือ

ต้องทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานอย่างเข้มแข็ง เพื่อให้บริหารด้วยความ โปร่งใส ไม่คอรัปชั่น ใช้งบประมาณชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่ใช้อำนาจเพื่อพวกพ้องและครอบครัว ไม่มีการแสวงหาความร่ำรวยล้นเกินจากอำนาจหน้าที่ ไม่บริหารบ้านเมืองแบบเผด็จการ ฯลฯ

รวมทั้งต้องร่วมกับประชาชนและในรัฐสภา เพื่อเรียกร้องให้ "ชินวัตร" ที่บริหารประเทศ ปรับแก้กฎหมายทั้งใน "รัฐธรรมนูญ" หรือทาง "กฎหมาย" เพื่อให้สิทธิและเสรีภาพในด้านต่างๆ กับประชาชน ... เพื่อให้ประชาชน โดยเฉพาะคนงาน เกษตรกร คนจน หรือคนชั้นอำนาจต่อรองน้อย สามารถต่อผู้มีอำนาจมากกว่าในสังคม โดยเฉพาะกับนายจ้าง นายทุน ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และนักการเมืองได้อย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น

ถ้า ปชป.และ "พันธมิตร" ทำแบบนี้ได้
จะได้รับการชื่นชม
และไม่แน่ ปชป. อาจจะมีโอกาสได้รับเลือกกลับมาเป็นรัฐบาลสลับกับเพื่อไทยก็ได้

ทำแบบนี้เถอะ
ชาติสงบกว่า มีเสถียรภาพกว่า และมีโอกาสพัฒนาให้เจริญก้าวหน้าได้มากกว่าการที่พวกท่านเล่นเกมการเมืองกันอย่างเด็กเกเร มาเฟียของเถื่อน ที่ไม่สนใจหายนะที่จะเกิดขึ้นกับประเทศชาติเช่นนี้

* * *
สิ่งที่เจ้ากลัวมากที่สุด ก็คือ ประชาชนตาสว่าง และไม่กลัวเจ้า

เมื่อเจ้ายังไม่ปริปากสักแอะ ให้ยกเลิกกฎหมาย 112 ก็แสดงว่าเจ้ายังกลัวประชาชน

* * *
ขอถามพวก "รักในหลวง ผู้รู้สำนึกบุญคุณแผ่นดิน" และชอบคิดว่า "โลกนี้มีพื้นที่ให้เฉพาะคนรักในหลวง" เท่านั้น หน่อยนะฮะว่า 


มีคุณคนไหนบ้าง ที่เดินทางไปทุกแห่งหนในโลกนี้ได้ตามลำพัง เพื่อไปเรียนรู้และหาเพื่อนมิตรในแผ่นดินกว้างใหญ่ของประเทศอื่น ด้วยใจเปิดกว้างและไม่รู้สึกกลัวบ้างอ่ะ?


* * *

จากการอ่านบทสัมภาษณ์ของอั้ม ...

เรื่องชุดนักศึกษาไม่ใช่เรื่อง "ใจมัคร" เช่นที่คนโปรชุดนักศึกษาพยายามจะแก้ต่าง
แต่มีการบังคับทั้งทางตรงและทางอ้อมให้ต้องใส่

คนที่ต้องการอิงแอบ "ชุดนักศึกษา" เพื่อรู้สึกตัวเองสูงส่ง
ควรจะต้องรู้จัดใช้สมองฉุกคิดกันขึ้นมาได้บ้างแล้ว
ว่าทำไม "ชุดนักศึกษา" จึงเป็นเครื่องมือ "ครอบงำและคุกคาม" เสรีภาพในโลกแห่งการเรียนรู้และในสังคมไปได้เช่นนี้

และการใส่เครื่องแบบหรือติดสัญลักษณ์ เพื่อให้ตัวเองสูงส่งและเป็นอภิสิทธิชนเหนือคนอื่นเป็นเรื่องที่น่าละอายใจ ไม่ใช่เรื่องที่น่าภาคภูมิใจแต่อย่างใด


* * *

สนับสนุนให้ยกเลิกชุดนักเรียน-นักศึกษาทุกระดับการศึกษาในประเทศไทย
คนไทยจะได้รู้จักคิดเป็น เรียนเป็น ใช้เสรีภาพเป็น เป็นตัวของตัวเอง กันตั้งแต่เด็ก
* * *

ไม่ชอบเลยที่เห็นเวลาต่อว่าผู้ชายเลว หรือต่อว่านักการเมืองชายเช่นอภิสิทธิ์ แล้วใช้สัญลักษณ์กระโปรงหรือผ้าถุง มาสวมแต่งในภาพ

เช่นเดียวกับวิธีคิดเรื่องศาสนาที่ผิดมากๆ ที่ว่าถ้าผู้ชายประพฤติผิดในกาม ชาติหน้าจะเกิดเป็นหญิง
เกิดเป็นหญิง สัญลักษณ์เพศหญิงมันเลว มันต่ำต้อยตรงไหนฮะ
กูภูมิใจในเพศหญิงมาก ... เกิดชาติใดหนใดถ้าจำความได้ กูก็ยังขอเกิดเป็นเพศหญิง ไม่เคยคิด และไม่ยอมรับวาทกรรมพุทธไทยกำหนด ที่ว่า การที่หญิงเกิดเป็นเพศหญิงเพราะเป็นกรรมมาแต่ชาติปางก่อน
สังคมไทยควรจะเคารพเพศหญิง - ผ้าซิ่นและกระโปรงมากกว่านี้ - ไม่ควรเอาไปใช้แทนสัญลักษณ์แห่งความตอแหลปลิ้นปล้อน (ของผู้ชาย)
เพราะปัญหามันอยู่ที่ผู้ชายเลว ไม่ใช่อยู่ที่ผ้าซิ่นหรือกระโปรงเป็นสัญลักษณ์แห่งความด้อยกว่าชาย หรื่อต่ำกว่าชาย (ทำไมต้องสัญลักษณ์เพศหญิงล่ะ?)
และก็อ้อ ก็เพราะผ้าซิ่นและกระโปรงมันแข็งแกร่งและอุ้มชูเศรษฐกิจครอบครัวมิใช่หรือ ... ประเทศชาติมันจึงอยู่รอดปลอดภัยถึงบัดนี้