17 ก.ย. 13 - การต่อสู้ของคนงานเก็บเบอร์รี่ 2

เรื่องนี้ต้องขอบคุณจริงๆ ฮะ

นอกจากขอบคุณสมาคมคนว่างงานฟินแลนด์ ที่ดูแลเรื่องที่พักและอาหารอย่างดีกับพวกคนไทยทั้ง 50 คนแล้ว ทั้งจัดกิจกรรมพูดคุย เชิญสส. มาพบคนงาน และพาคนงานดูงานด้วย - ถ้าไม่ได้สมาคมนี้ช่วยดูแลพวกเราคงแย่เหมือนกัน - ขอบคุณจริงๆ

ก็ต้องขอขอบคุณพี่สาวน้องสาวคนไทยมาแต่งงานอยู่ที่ฟินแลนด์ โดยเฉพาะคนที่เมื่องใกล้ๆ กับที่พวกเราอยู่ตอนนี้ คือ Soulathi ที่พอทราบข่าวว่าพวกเราอยู่ตรงไหน ก็ติดต่อสื่อสารระหว่างกัน และนำอาหาร เสื้อผ้า มาให้ ตามมาเยี่ยมเยียน ตามมาดูแลคนงานไทยด้วยน้ำใจ "คนไทยไม่ทิ้งกัน"

วันนี้ก็บอกว่าจะนำข้าวเหนียวส้มตำมาเลี้ยงกันด้วย

ขอบคุณมากๆ ฮะ

ส่วนคนไทยที่อยู่เฮลซิงกิก็ฝากเตรียมตัวนะฮะ พวกเราคงจะเข้าเฮลซิงกิกันในอีกไม่นาน กำลังจะประสานเรื่องไปพบสภาแรงงาน กากันทัวร์เมืองหลวงฟินแลนด์(ครั้งแรก) และพาคนงานทัวร์ทำเนียบรัฐบาลฟินแลนด์กันด้วยฮะ

* * *


ปีนี้คาดการณ์กันว่าน่าจะมีคนไทยร่วม 20,000 คน ที่ถูกพามาเก็บเบอร์รี่ ที่ถูกชักจูง ล่อหลอก โดยบริษัทนายหน้าทั้งชาวไทยและชาวฟินน์ และสวีเดน ที่พากันเปิดเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย

เพราะธุรกิจค้ากำไรกับแรงงานไทยปีล่ะกว่าหมื่นคน ที่มีแต่คนงานเท่านั้นที่เสียหาย และกลุ่มธุรกิจที่นี่ไม่เคยต้องจ่ายค่าเสียหาย มันได้กำไรงาม

ปีนี้การประท้วงก็มีทั้งที่สวีเดนและฟินแลนด์

ที่ฟินแลนด์ คนกลุ่ม 50 คนได้รับการสนับสนุนการต่อสู้อย่างกว้างขวาง และสภาแรงงานฟินแลนด์ ได้ประกาศหนุนการต่อสู้ของกลุ่มคนงานไทย 50 คนแล้ว และก็ประกาศแล้วว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องกฎระเบียบต่างๆ และจะต้องมีการรับรองค่าจ้างคนงาน

-------------------------------
ขอวิจารณ์ท่าทีสถานทูตไทยอีกรอบ เพราะประสบด้วยตัวเอง

คำถามของสถานทูตต่อจรรยาและกลุ่มคนงานกลุ่มนี้ในทำนองว่า ไม่ห่วงว่าจะกระทบต่อภาพลักษณ์ และโอกาสงานของคนงาน 4,000 คน หรอกหรือ?

ก็อยากจะตอบว่าที่สู้กันขนาดนี้ก็เพราะห่วงนี่ล่ะ ถึงต้องพูด ถึงต้องสู้

แต่รัฐบาลไทยทำอะไรบ้างนอกจากพยายามสร้างความเชื่อมั่นกับนายทุนที่นี่ว่าจะไม่ปิดช่องทางการค้าทาสแรงงานยุคใหม่?

ตัวท่านทูตไทยที่ฟินแลนด์ ไม่ยอมเดินทางมาเยี่ยมคนงานที่ประท้วงด้วยตัวเอง แต่รีบเดินทางขึ้นไปคุยกับบริษัทเบอร์รี่ที่เขตภาคเหนือของประเทศฟินแลนด์เพื่ออะไร?

เพือ่จะบอกว่า จะจัดการกับคนงานที่พวกเขาเรียกว่าเป็นพวก "ขี้เกียจและหัวรุนแรง" 50 คนนี้ ให้สงบปากสงบคำ และเพื่อจะบอกว่าการเปิดปากพูดของพวกเขา จะไม่กระทบกับการเปิดโอกาสให้ธุรกิจที่นี่ขนคน ที่คนงานกลุ่มนี้เรียกว่า "ทาส" ปีละ 4,000 คน มาให้นักธุรกิจเบอร์รี่ฟินแลนด์ต่อไปหรือเปล่า?

อ้อ สถานทูตส่งทีมงานมา 2 คน มาพร้อมกับมาม่า ไข่ไก่และข้าว ตามที่เขียนถึงไปแล้ว ... เจ้าหน้าที่ ที่คนงานรู้สึกว่ามีท่าทีเหยียดคนงานแบบข้าราชการไทย และเข้าข้างบริษัทอย่างเห็นได้ชัด จนคนงานเดินออกจากการพูดคุยกันหลายครั้งหลายครา

* * *

อ้อ หนึ่งในเงื่อนไขที่สถานทุตไทยขอกับแกนนำคนงานคือ
ขอคุยกับคนงานตัวต่อตัว โดยไม่มีจรรยา โดยไม่มีคนฟินน์อยู่ด้วยได้ไหม
ซึ่งกลุ่มคนงานลงมติเป็นเอกฉันท์ว่า "ไม่ยอม"

กระนั้น ตอนเจ้าหน้าที่ทูตเดินทางมาหาพวกเรา

พอจรรยาพยายามจะพูดอธิบายเพื่อช่วยชี้แจงประเด็นให้เข้าใจ
เจ้าหน้าที่ผู้นี้ ซึ่งบอกเราว่าเป็นทูตที่ปรึกษา
ก็ยังพูดกับจรรยาต่อหน้าคนงานอีกว่า
"ขอคุยกับคนงาน (เท่านั้น)" ได้ไหมครับ
จนต้องให้กลุ่มคนงานลงมติว่า "ให้จรรยาพูด"

ต่างกันลิบลับกับช่วง สส. ฟินแลนด์มาเยี่ยม
เพื่อให้เข้าใจภาพรวม
จรรยาช่วยนำเสนอภาพสไลด์เรื่องราว
และช่วยเป็นล่ามแปลการพูดคุยระหว่างท่านสส. กับคนงานตลอดการเยี่ยมเยียน

ไม่เคยมีสักครั้งที่ทางกลุ่มฟินแลนด์จะขอว่า
"ขอคุยกับคนงาน" เท่านั้น
เช่นท่าทีของสถานทูตไทย

* * *


คนงานไทยกลุ่มนี้จำนวนมากเคยเป็นคนไปทำงานในต่างประเทศมาก่อน ทั้งสิงคโปร์ บรูไน ไตหวัน เกาหลี อิสราเอล สวีเดน ญี่ปุ่น พวกเขารู้จักดีกับคำว่า "ยากลำบาก" และ "อดทน"

แต่เมื่อการหลอกลวง กดหัว ถูกค้ากำไรบนหยาดเหงื่อแรงงานและกินแรงบนหลังของพวกเขามันมากเกินจะยอมรับ

พวกเขาจึงพากันเดินทางเข้าแจ้งความ "ค้ามนุษย์" ที่โรงพักฟินแลนด์ เพื่อเอาผิดกับบริษัทและเรียกร้องค่าเสียหาย เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2556

ทั้งนี้ ตลอดกว่าสัปดาห์ที่ได้อยู่ร่วมและได้พูดคุยกับกลุ่มคนงานไทยกลุ่มนี้ สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือ พวกเขาเป็นคนไทย เป็นคนอีสาน เป็นคนภาคกลาง (ชัยภูมิ สกลนคร อุดร หนองคาย ขอนแก่น บึงกาฬ และกำแพงเพชร) ที่ศิวิไลซ์ มีมารยาท อ่อนน้อมถ่อมตน

พวกเขาหลายคน มีทักษะการทำงานหลากหลายรอบตัว ทั้งเป็นนักร้อง นักดนตรี ช่างเครื่องยนต์ คนทำอาหารในร้านอาหารอิตาลี ฯลฯ

และทุกคนเปิดใจพร้อมเรียนรู้และสร้างมิตรภาพกับคนทั่วโลกได้อย่างสมคุณค่า "คนไทย"

เมื่อบริษัทพยายามปลักปรำและใส่ร้ายพวกเขาต่อสื่อต่างๆ ว่า พวกเขามาเพื่อสร้างความวุ่นวาย เป็นเพียงกลุ่มคนงานกลุ่มน้อยที่หัวรุนแรง พวกเขาจึงต้องสู้เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของตัวเองด้วยเช่นกัน
* * *

ในระหว่างคุยโทรศัพท์กับเจ้าหน้าที่สถานทูตในช่วงเจรจากัน

จรรยาถามเจ้าหน้าที่สถานทูต (หญิง) ถึงสามครั้งว่า คุณรู้สึกสะเทือนใจบ้างไหมกับสิ่งที่คนงานไทยกลุ่มนี้ต้องเผชิญ ตอบในนามข้าราชการไม่ได้ก็ตอบในนามส่วนตัวก็ได้

เธอตอบถึงสามครั้งว่า "ตอบไม่ได้"

จรรยาจึงบอกว่า ถ้าตอบไม่ได้ ก็ไม่ต้องคุยกัน

เจ้าหน้าที่หญิงคนนี้ มากับคณะเยี่ยมคนงาน 50 คนเช่นกัน และก็เรียกคนงานชายคนหนึ่งที่อายุน่าจะมากกว่าเธอว่า "ลูก"

จรรยาต้องท้วงว่า คนที่คุณเรียกว่า "ลูก" น่ะ อายุเป็นพี่ชายคุณได้แล้วนะฮะ

* * *



Thai berry pickers-workers food.

อาหารที่คนงานเก็บเบอร์รี่ชาวไทยต้องกินกันตลอดทั้งเดือนที่อยู่ที่นี่ จนทุกคนผ่ายผอมน้ำหนักลดกันคนละ 3-5 กก. ภายในเดือนเดียว

เมื่อวันที่ 13 กย. ที่ผ่านมา สถานทูตไทยมาเยี่ยมคนงาน 50 คนที่ดำเนินคดีฟ้องร้องบริษัท เพื่อพยายามจะเกลี่ยกล่อมคนงานว่า "คนงานคิดดีหรือยัง" และ "ทางบ้านที่เมืองไทยว่าอย่างไรบ้าง"

คนงานต่างบอกกับสถานทูตว่าทางบ้างของพวกเขานั่นล่ะ "บอกให้สู้" "ถ้าไม่สู้ชนะกลับไปเมืองไทยก็ไม่มีอะไรขายใช้หนี้ได้"

เมื่อท่านทูตที่ปรึกษาบอกว่านำ มาม่า 10 ลัง ไข่ไก่ 100 ฟอง และข้าวสาร 20 กก. มาฝากคนงาน จรรยาบอกไปว่า คนงานกินมาม่ากันมาทั้งเดือนแล้ว สถานทูตไทยยังจะให้เขากินมาม่ากันต่ออีกหรือ?

การได้ประจักษ์ด้วยตนเอง ถึงท่าที่และทัศนคติของสถานทูตไทยที่ต่างแดนต่อคนไทยที่มาทำงานที่ต่างแดนอย่างจังๆ เช่นนี้เป็นเรื่องที่จะต้องเขียนบอกเล่าให้ทางเมืองไทยรับทราบด้วยเช่นกัน

หลังจากได้ยินการบอกเล่าโดยกลุ่มคนงานไทยที่มีปัญหาในต่างแดนเกือบทุกกลุ่มในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

* * *

สามีภรรยาสองคนนี้มาพร้อมกับน้องชาย ค้ำประกันเงินกู้รวม 300,000 บาท ด้วยโฉนดที่ดินที่มีทั้งหมด 2 ใบ - ทั้งที่อยู่อาศัย และที่นา 10 ไร่ - ถ้ากลับไทยโดยไม่ได้เงินรายได้จากการเก็บเบอร์รี่และค่าชดเชย พวกเขาก็อาจจะสูญทั้งบ้านและสูญทั้งที่นา

นี่คือเหตุผลหนึ่งที่พวกเขาที่มากันทั้งครอบครัวเหล่านี้ ที่ถูกทำให้เชื่อว่าจะได้เงินกลับบ้านกันหลายหมื่น ถ้ามาหลายคนในครอบครัวก็จะได้หลายแสน ต้องฟ้องร้องคดี "ค้ามนุษย์" กับบริษัทเหล่านี้

อนึ่ง คนงานกลุ่มนี้ยังไม่มีใครได้รับเงินค่าเบอร์รี่แม้แต่คนเดียว และทั้งบริษัทที่ฟินแลนด์และบริษัทที่เมืองไทยที่พาพวกเขามา ต่างก็บอกพวกเขาว่าหลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้ว นอกจากจะไม่มีเงินเหลือกันเลย พวกเขายังเป็นหนี้บริษัทอีกด้วย