ข้อเขียนที่ทำคนฟินน์หลั่งน้ำตา

หนังสือกราบขอบคุณคนฟินและคนไทยในฟินแลนด์ทุกๆคน


เรื่องราวบางเรื่องผมไม่สามารถบอกกล่าวขอบคุณพี่น้องคนฟินน์และคนไทยในฟินแลนด์ได้ด้วยคำพูดเพราะเมื่อผมพูดสิ่งแรกที่มันจะหลั่งไหลออกมคือ น้ำตาเพราะความรู้สึกที่คนฟินที่นี่ดูแลพวกเราเป็นอย่างดี ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ที่ตรงนี้(ศูนย์คนว่างงาน) ทำให้ผมรู้สึกว่ามีความอบอุ่นด้วยมิตรไมตรีที่ดีจนกระทั่งย้ายไปอยู่ที่รีสอร์ทริมน้ำ ครอบครัวคนฟินและคนไทยในฟินแลนด์ก็ยังตามไปดูแลถึงที่นั่น

ถึงแม้ว่าอากาศจะหนาวเย็นแต่พวกเขาก็ไม่เคยเลยสักวันที่จะไม่ไปที่นั่น

เขาไปเยี่ยมไปเฝ้าดูแลทุกวันตั้งแต่เช้ายันเย็น

หลายสิ่งที่ซาบซึ้งในน้ำใจเขามากมายเช่น ขณะที่พวกเรากำลังหลับนอนในยามดึก ผมตื่นขึ้นมามองข้างม่านที่บานประตูก็จะเห็นผู้ชายคนหนึ่งไม่ยอมหลับนอน เขาเดินรอบๆ บ้านบางครั้งเขาก็มานั่งที่ระเบียงข้างหน้า เพื่อเฝ้ามองรอบๆ ที่พักเรา

ผมยืนจ้องมองดูเขาอยากจะบอกเขาว่า “ขอบคุณนะ ขอบคุณมากๆ ที่เฝ้าดูแลเรา”

ผมยืนมองดูเขาเนิ่นนานพร้อมกับมานึกถึงตัวเองและทุกๆ คนว่าทำให้เขาลำบากหรือเปล่า

เขาต้องทนหนาวทนอดนอน จนสว่างทุกวัน

เมื่อมองดูเขาก็มีสิ่งหนึ่งมันไหลคลอในดวงตา

คำถามตัวเองเริ่มตามมาว่า ทำไมเขาต้องลำบากเพราะเราด้วยเล่า ทั้งๆที่ไม่ใช่ความผิดของเขา และไม่ใช่เขาคนเดียวที่ลำบากทั้งพ่อแม่ น้องชาย น้องสาว และญาติๆ หลายคน

ทำไมนะทำไม เมื่อนึกถึงภาพนั้นก่อนนอน น้ำตาก็จะไหล ด้วยความตื่นตันใจ

และในวันหนึ่งที่จะจดจำใส่ใจ และความรู้สึกไปจนวันตาย คือวันที่พวกเราได้เดินด้วยเท้าไปดูฟาร์มตอนเดินออกจากที่พักจะมีพี่สาวผมสีทองเดินนำหน้า

สิ่งที่สะดุดตาและหัวใจคือผู้หญิงคนหนึ่งพร้อมกับลูกน้อย2 คน คนโตเป็นผู้หญิงผมทอง อายุสัก 4-5 ขวบ คนเล็กเป็นผู้ชาย คงขวบกว่าๆ

คนพี่เดินเท้าส่วนคนเล็กนั่งในรถเข็น

อากาศในวันนั้นรู้สึกว่าหนาวมากเพราะมันเป็นตอนใกล้ค่ำ เด็กน้อยผมทองเดินข้างๆ รถเข็นของน้องชาย

เส้นทางเริ่มไกลไปเรื่อยๆจาก 1 กม. ก็เป็น 2 กม. ผมทองตัวน้อยก็ยังเดินต้อยๆ ไปเรื่อยๆผมเองก็มองดูหน้าคนเป็นแม่ อยากบอกเขาว่า “อยากอุ้มเจ้าผมทองช่วยได้ไหมแต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไง” และอยากช่วยเขาเข็นเจ้าตัวน้อยก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร

ถ้าจะอุ้มเจ้าผมทองโดยไม่บอกกล่าวก็กะไรอยู่

เส้นทางที่เดินไม่ต่ำกว่า3-4 กม.

ขากลับจวนจะมืดอากาศเริ่มหนาว ขนาดตัวผมน้ำมูกยังไหลปิ่มๆ เด็กน้อยสองคนคงจะหนาวมาก

แม้แต่เด็กยังมาลำบากเพราะเราคิดแล้วก็ได้แต่ส่ายหัวตัวเองไปมา เพราะความน้อยใจในตัวเอง และมองดูเด็กน้อย 2 คนมันเหมือนกับว่ามีอะไรมาจุกที่ลำคอ

มองดูเนิ่นนานก็นึกถึงหลานสาว(ลูกของลูกสาว) วัย 3 ขวบกว่าๆ ที่อยู่ที่บ้าน ถ้าเป็นหลานเรา เราคงไม่ปล่อยให้เขาเดินทางไกลขนาดนี้

ขอบคุณมากๆนะ คนเป็นแม่ ขอบใจเจ้ามากๆ เจ้าผมทองและเจ้าตัวน้อยที่พาพวกเราให้มาเห็นคนที่นี่

คุณพี่ที่ปลูกผักใจดีมากให้ผักมากินตั้งเยอะแยะ ขอบคุณคุณพี่มาก ขอบคุณจริงๆ

คุณลุงคุณป้าที่เลี้ยงผึ้งด้วย ให้น้ำหวานผึ้งมาตั้ง 4-5 กระป๋อง

จากรีสอร์ทที่พักมาอยู่ที่โบสถ์วันนี้เป็นวันที่เท่าไหร่แล้วนะจำไม่ได้ หรือไม่อยากจำ แต่สิ่งที่จดจำคือความดีของทุกๆคน

ดึกสงัดของคืนนี้ผมรู้ตัวเองว่าเหนื่อยเพลียหลับไปสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกเมื่อรู้สึกว่ามีเสียงคนเดินเบาๆ จึงค่อยๆ เปิดม่านตาขึ้นมองเห็นผู้หญิงคนหนึ่งอายุคงจะ 60-70 ปี ท่านเดินมาทางปลายเท้าของทุกๆ คนที่กำลังนอนหลับสนิท

คุณป้าเดินมาถึงปลายเท้าเพื่อนที่นอนด้วยกันข้างๆกับผม ในมือของคุณป้าคือผ้าห่ม และคลุมผ้าให้ผู้ชายคนนั้นอย่างนุ่มนวลและเดินทำอย่างนั้นกับหลายๆ คน มันทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาถึงแม่

ใช่เขาไม่แตกต่างอะไรเลยจากแม่ที่คอยห่วงใยและให้ความอบอุ่นกับลูกๆ ทุกคน

ผมอยากจะเรียกคุณป้าว่าแม่จ๋าแม่ ยังห่วงลูกๆ แม่ยังมองดูลูกๆ อยู่หรือ แม่รู้หรือว่าลูกๆ หนาวถึงได้ตื่นมาห่มผ้าให้ลูกๆ ในยามดึกดื่นอย่างนี้ หรือแม่ไม่หลับนอนเลยหรือยามลูกๆหลับ

น้ำตาผมไหลลงเปียกหมอนจนหลับไป

ขอขอบพระคุณนะคุณแม่ลูกจะจดจำจนวันตาย หากวันหนึ่งข้างหน้าบุญวาสนามีจริง ลูกๆ ขอมาเจอคุณแม่อีก

เรื่องราวความดีของคนที่นี่เล่าสักสิบหน้ากระดาษคงไม่หมด

เมื่อมาเจอคนดีที่นี่ทำให้ผมลืมเรื่องร้ายหลายอย่าง แต่จะให้เขียนเรื่องร้ายๆ ที่นี่มันคงสั้นแค่บรรทัดเดียว

ขอบคุณคนฟินน์ทุกๆคน ขอบคุณมากๆ

ถ้าคิดจะทดแทนบุญคุณชาตินี้ทั้งชาติคงชดใช้ไม่หมด

จะรักจะคิดถึง คนฟินน์ที่นี่ ไม่มีวันลืมและจะตลอดไป


ไหว

ไพรสันติ จุ้มอังวะ


ป.ล. สิ่งที่ลืมไม่ได้อีกคือทนาย พี่เล็กพี่ผู้ชาย และคุณลี่