24 มี.ค. 13


ภาพท้ายๆ กับโต๊ะทำงานที่บ้านเปิดใจกับการตัดต่อหนังสารคดี "วิกฤตบลูเบอรี่ที่สวีเดน 2552" เพื่อนำมาฉายเปิดตัวการสัมมนาเรื่องปัญหาคนงานเบอร์รี่ ที่สถานฑูตไทย ที่ สวีเดน เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2553 กูก็ไม่นึกว่ากูจะไม่ได้กลับไทยจนกระทั่งบัดนี้ เพราะการลุกมาเขียนเกี่ยวกับเมืองไทยที่ไม่ ... จุดจุดจุด.... 

คนปากพล่อย ชอบมาโต้กูแบบมั่วๆ ใช้ข้อต่อว่าที่เหมารวมและฟังดูดีว่ากู "รับเงินต่างชาติ" และทำนองว่า "กูไม่เดือดร้อนนี่เพราะหนีไปอยู่ต่างประเทศ" และว่า กูไม่ได้สู้เหมือนคนที่อยู่เมืองไทย"

หึ หึ คนอย่างกูไม่ได้ทำอะไรหรือวะ ยี่สิบกว่าปีมานี้ กูช่วยคนงานไทยในไม่รู้กี่ประเทศ และร่วมเคียงค้างคนงานจากไม่รู้กี่โรงงานต่อโรงงานกันเพื่อสู้เพื่อสิทธิตามกฎหมายจากนายจ้าง ฯลฯ

กูยังทำสารคดีบอกเล่าเรื่องราวการต่อสู้ของพวกเขาร่วม 20 เรื่อง และเขียนและแปลหนังสือกว่าสิบเล่ม - เพื่อบอกเล่าเรื่องราวของการต่อสู้ของประชาชนทั้งในประเทศไทยและในประเทศอื่น และเพื่อเขียนเกี่ยวกับการเมืองไทยอย่างตรงไปตรงมาต่อชาวกะลาแลนด์

ถ้ากูไม่พยายามทำอะไรเลยเพื่อให้เมืองไทยมันดีขึ้น กูก็คงไม่สะเอะลุกมาวิจารณ์และเสนอแนะรัฐบาลหรอกว่ะ ...หัดศึกษาดูซะบ้าง ก่อนที่จะมาโต้กับกูแบบโชว์โง่อ่ะ

อ้อ! มันดูไร้หัวใจเกินไปที่จะบอกว่ากูไม่ได้ต้องเจ็บปวดอะไรเลยกับการลุกมาเป็นกูที่ประกาศว่า "ไม่รักในหลวง"

แค่คำพูดว่า "กูหนีมาอยู่ต่างประเทศ" ก็จะทำให้ดูราวกับว่ากู "หนีนรกมาสวรรค์" "หนีมาสุขสบาย" "เอาตัวรอดคนเดียว" ดังที่คนในกะลาแลนด์ส่วนใหญ่มักนึกฝันและคิดกันเอาเอง

ถุยส์ ขอโทษนะ!

ชีวิตกูก่อนหน้านี้ที่เมืองไทย สุขสบายดีกว่านี้ สุขภาพดี มีเงินเดือน มีเงินจ่ายค่าหมอ มีทีมงานนับสิบคน

และมีที่อยู่อาศัยที่สวยงาม มีอาหารออแกนิกส์มากมายนานาชนิด และมีอุปกรณ์ทำงานได้อย่างสะดวกสะบายกว่านี้มากมายนัก ยามที่กูอยู่ที่บ้าน "เปิดใจ" ที่เชียงใหม่ (ดูภาพประกอบนะ)

แต่กูก็ไม่เดือดร้อนมากนักกับสามปีที่ผ่านมาเพราะแม้การกินอยู่จะไม่สบายเท่าเมืองไทย ปัญหาสุขภาพหลายตัวยังไม่ได้รับการรักษาเพราะไม่มีเงิน แต่กูก็ยังได้ทำงานเขียนและสื่อสารกับเมืองไทยผ่านช่องทางอินเตอร์เนทหลายทางอยู่ทุกวัน

แค่นี้ก็ทำให้กูตระหนักถึงเสมอ ตลอดสามปีที่ผ่านมาว่า กูยังดีที่ไม่ได้อยู่ในคุก ยังโชคดีที่ไม่ได้ถูกทหารไทยยิงทิ้งกลางถนนที่เมืองฟ้าอมร ราวกับกูเป็นหมาตัวหนึ่ง

ด้วยเหตุนี้ กูจึงไม่เคยเรียกร้องว่าคนต้องนับถือบูชากูและแซ่ซร้องว่า "โอ่ ท่านช่างเสียสละเหลือเกิน" กูคงจะอ๊วกถ้ามีคนทำแบบนี้

กูไม่ได้ทำงานเพื่อให้คนบูชายกย่อง

กูทำงานด้วยการถือคติว่า กูโชคดีที่ได้ทำในสิ่งที่ได้ทำ กูโชคดีที่ตัดสินชะตาชีวิตเองได้ และกูไม่ได้เสียสละอะไรเลย เพราะมันเป็นการเลือกของกูเอง

นับตั้งแต่บรรลุนิติภาวะ กูถือว่ากูเป็นผู้ใหญ่ เป็นนายของตัวเอง ผลจากการตัดสินใจของกู ไม่ว่ามันจะลบจะบวกอย่างไร มันก็เกิดจากการตัดสินใจด้วยความมีสติสัมปชัญญะและวิจารณญาณ

กูจึงไม่เรียกร้องจากใครว่าต้องมารักต้องมายกย่องกูเพราะกูเสียสละเหลือเกิน และก็ไม่เคยกล่าวโทษใครว่าเป็นต้นเหตุให้ชีวิตกูต้องมาตกระกำลำบากที่ต่างแดน

กูรักงานที่กูทำ กูรักชีวิตที่กูเลือก และกูเคารพการตัดสินใจของตัวเองทั้งในการทำงานและในทางการเมือง - แม้ชีวิตกูจะหนัก แต่กูก็ได้เรียนรู้มากมายตลอดเส้นทางชีวิต 46 ปี

กูไม่โทษใคร และกูก็ไม่บูชาใครง่ายๆ อย่างไม่ลืมหูลืมตา

ก่อนจะด่าว่ากันพล่อยๆ มั่วๆ ก็ไปศึกษาเรื่องของกูกันก่อนนะ กูมีชื่อ มีนามสกุล มีตัวตน และมีประวัติศาสตร์ที่ไม่ต้องรอศักดินามาบันทึก กูบันทึกเอง - ไม่ใช่เพื่อโชว์อวดอะไร แต่เพื่อเผยแพร่ข้อเขียน สื่อสารคดี และมุมมองทางการเมืองของกูกับผู้สนใจ

เวบบล๊อคของ จรรยา เล็ก ยิ้มประเสริฐ - คนมีชื่อ มีนามสกุล และมีตัวตน
http://www.junyayimprasert.blogspot.fi/