(1)
และแน่นอนว่า การวิเคราะห์แบบคนจน "โง่" และ "ถูกนักการเมืองจูงจมูก" แบบเก่ามันใช้ไม่ได้อีกต่อไป
แต่กระนั้น สังคมก็ยังย้ำย่ำกันอยู่ในเรื่องการพยายามให้ทั้งสังคมยอมรับในหลักการเหล่านี้กันจนถึงบัดนี้
ย้ำและย่ำกันเพื่อหาความหมายแ่หงนิยามใหม่ หาคำอธิบายใหม่ต่อปรากฎการณ์ทางการเมืองของไทย ให้คนเข้าใจว่าคนมันก็ไม่โง่กันตลอดชีวิต และคนทุกชนชั้นโดยเฉพาะการลุกขึ้นของคนเสื้อแดง ก็มีเรื่องการลุกขึ้นมาปกป้องและเรียกร้องผลประโยชน์เพื่อกลุ่มตัวเองด้วยเช่นกัน ไม่ใช่แค่เป็นพลังมวลชนที่ไม่ประสีประสาอีกต่อไป
สิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยตอนนี้ ซึ่งเป็นสภาวะปกติของพัฒนาการทางการเมือง ก็คือ การต่อรองอำนาจมันเกิดขึ้นทุกระดับ ทั้งในการเมืองวิถี "บนลงล่าง" และ การต่อรองจาก "ล่างขึ้นบน"
แต่จะพบกันตรงจุดไหน จะสำเร็จแค่ไหน มันก็ขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของการต่อรองของแต่ละกลุ่ม
แต่ที่แน่ๆ กลุ่มที่พยายามต่อรองโดยใช้อำนาจปืนกดทับจากด้านบนลงมายังข้างล่าง ต่อไปด้วยฐานคิด "ล่างโง่และไม่รู้เรื่อง" กำลังเป็นปรากฎการณ์ที่ล้าสมัยและต้องพ่ายแพ้ไปในที่สุด
* * *
(2)
การตัดตอนครรลองประชาธิปไตยแบบนี้ มันได้ส่งผลทำลายล้างและสร้างความชะงักงันต่อการพัฒนาประเทศอย่างมหาศาล และมันคือปัจจัยสำคัญยิ่งที่นำสู่การถดถอยทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การเมือง นั่นหมายถึงการสั่นคลอนทางด้านเสถียรภาพในทุกด้านของประเทศ ...ซึ่งเป็นอุปสรรคที่แท้จริงต่อพัฒนาการของชาติให้ทัดเทียมกับชาวโลก
จึงขอสรุปอย่างตรงไปตรงมาว่า สถาบันกษัตริย์หรือสถาบันพระประมุขของไทย คือ กลุ่มบุคคลที่ต้องร่วมรับผิดชอบต่อความวุ่นวายทางการเมืองไทย โดยเฉพาะที่ชันเจนมากนับตั้งแต่ปรากฎการณ์พันธมิตรเมื่อปี 2548 (จริงๆ สาวไปได้ยาวไกลกว่านั้น)
สิ่งที่น่าตระหนกมากกว่าในสังคมไทย คือ ณ จนบัดนี้ สังคมไทย โดยเฉพาะนักการเมืองก็ไม่มีการตั้งคำถามหรือแสดงความคิดเห็นในเรื่องเหล่านี้ต่อวังกันได้อย่างตรงไปตรงมาได้ และยังพยายามปกป้องและป้องกันการตั้งคำถามเหล่านี้อย่างตรงไปตรงมากันทุกทางไม่ว่าจากรัฐบาลเองและกองกำลังที่มีอาวุธในประเทศ
จำเป็นที่คนไทยและประเทศไทยต้องพูดความจริงที่ไม่มีการเซนเซอร์
* * *
(3)
เมื่อที่มาแห่งคำว่า "บุญกรรม" เกิดจากการกระทำของมนุษย์ มันก็จึงมีความลำเอียงเช่นกัน เช่นเดียวกับความลำเอียงอื่นๆ ที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ในประเทศไทย ณ ปัจจุบันนี้
* * *
(4)
ถ้าดูนิยาม "บุญ-กรรม" "นรก-สวรรค์" ของคนไทย กูจะจะจัดอยู่ในประเภท "สมน้ำหน้า - เห็นไหมมันด่าในหลวงมากมันจึงต้องตกนรก ไปตกทุกข์ได้ยากและลำบากลำบนจนถึงตอนนี้"แต่ในความเป็นจริงคือ สามปีที่ผ่านมา กูได้มีเวลาอยู่กับตัวเอง มีเวลาอ่านหนังสือ มีเวลาคิดและเขียนเกี่ยวกับตัวเองและการเมืองไทยที่ไม่สามารถทำได้อย่างนี้อย่างแน่นอนถ้ายังอยู่เมืองไทย
นอกจากนี้ กูยังไม่ตาย "ภายในสามวันเจ็ดวัน" เช่นที่หลายๆ คนพากันแช่งชักหักกระดูก และอยู่มาได้อย่างดี (แม้ไม่ดีเลิศ) กว่า 3 ปีแล้ว
และที่สำคัญกูไม่คิดว่ากูตกนรก แต่กลับขอบคุณหลายสิ่งหลายๆ อย่างที่ทำให้ได้มีโอกาสเช่นสามปีที่ผ่านมาซะมากกว่า
ด้วยเหตุนี้ กูจึงไม่เชื่อ "นรก-สวรรค์และเรื่องบุญ-กรรม" ภายใต้นิยามและความหมายที่บิดเบี้ยว ที่กำหนดโดยสังคมที่บิดเบี้ยวด้วยประการฉะนี้แล!
* * *
(5)
ถ้าแก๊งอำนาจเก่าไม่กลัวผีทักษิณมากเกินไป พวกเขาจะอยู่กับความกลัวทักษิณอาจจะแค่ 8 ปี แต่เพราะความกลัวผีทักษิณกันล้นเกิน ทำให้พวกเขาเพิ่มบารมีให้ทักษิณ และอาจจะต้องอยู่กับผีทักษิณและชินวัตรกันต่อไปอีกเป็นสิบปี รวมกันแล้วก็ไม่ต่ำกว่า 20 ปี
กลัวแบบโง่ๆ ที่ทำให้ยิ่งกลัวก็ยิ่งหนีไม่พ้น!!!!
กลัวแบบโง่ๆ ที่ทำให้ยิ่งกลัวก็ยิ่งหนีไม่พ้น!!!!