ในทุกประเทศที่กูเดินทางไปประชุมและศึกษาดูงานมา ประเทศบังคลาเทศ เป็นประเทศหนึ่งที่ทำให้กูหดหู่และเศร้ามาก ไม่ค่อยเห็นแววตาแห่งความสุขในผู้คนเลย
รัฐบาลก็แย่งชิงการครองอำนาจกันอย่างบ้าคลั่ง
ผู้คนจึงยากจน และต้องดิ้นรนกันอย่างหนัก ในพื้นที่ที่คับแคบ แต่มีจำนวนประชากรมหาศาล
และยังถูกซ้ำเติมด้วยมหัตภัยจากมนุษย์นายทุน คนคลั่ง และมหัตภัยจากธรรมชาติ กันอยู่ตลอดเวลา ไม่มีหยุดหย่อน
มีคนงานตัดเย็บเสื้อผ้าร่วมสองล้านคน ในอัตราค่าจ้างต่ำสุดในโลก จนประเทศนี้เป็นแหล่งผลิตเสื้อผ้าแบรนด์ดังทุกแบรนด์ในโลกนี้ ที่ไม่มีการดูแลเรื่องปลอดภัยและการคุ้มครองแรงงานที่ได้มาตรฐานโลก
เลวร้ายสำหรับหญิงยิ่งขึ้นไปอีก คือ การทำร้ายหญิงในวิถีสังคมชายเป็นใหญ่ที่รุนแรงมากด้วย
นอกจากนี้ เพราะความจน และไร้ทางออกในประเทศ คนบังคลาเทศถูกพวกนายหน้าพากันหลอกลวงและค้าแรงงานไปทำงานเมืองนอกอย่างไร้หัวใจและโหดร้าย และก็มีเรื่องราวของพวกเขาที่ถูกรังแกทำร้ายที่เมืองนอกมาให้เห็นอยู่เนืองๆ
กระนั้นกูก็ได้เห็นสัจธรรมว่า "ที่ใดมีการกดขี่ ที่นั่นมีการต่อสู้" ขบวนการชาวบ้าน ขบวนการคนงานที่ถูกกดขี่และคุกคามสิทธิอย่างรุนแรง ก็ต่อสู้กันอย่างหนัก ก็สู้กันแบบยืนหยัด และต่อเนื่องยาวนานจริงๆ แม้จะมีผู้นำถูกสังหารและทำร้ายกันมากมายก็ตาม
นึกถึงเพื่อนๆ นักต่อสู้เพื่อสิทธิชาวบังคลาเทศที่พบในปี 2004
* * *
เรื่องส่าหรีนี่ ใส่ยังไงๆ มันก็ไม่ค่อยคือคนท้องถิ่นเท่าไร
แต่เวลาไปอินเดียหรือบังคลาเทศ(ในรูปนี่) กูก็ชอบใส่ซะจริง 5555
อ้อ สีแดง กูใส่มาก่อนนานแล้วก่อน 2552 หรือ 2553 นานแล้วด้วยฮะ แต่ตอนนี้ใส่แดงแล้วมีปัญญหาฉิบ จนไม่อยากใส่แล้วเหมือนกัน ... เฮ้อ เหนื่อยเรื่องสงครามสี!
นิดหนึ่งเรื่องส่าหรีตัวนี้ เพราะเป็นตัวโปรดมาก
มันเป็นผ้าฝ้ายทอมือ ลายพื้นบ้านโบราณสไตล์ของบังคลาเทศ ที่ไม่ค่อยมีใครทอกันแล้ว ซื้อมาจากหมู่บ้านที่บังคลาเทศเมื่อปี 2547
ก็ด้วยความบังเอิญอีกนั่นล่ะ ไปเจอสาวกำลังทอผ้าระหว่างเดินหมู่บ้านที่เราไปใช้เป็นที่ประชุม (ที่หมู่บ้านห่างจากกรุง Dhaka ของบังคลาเทศไปไม่ถึงชั่วโมง) กูก็เลยไปพูดคุยกับสาวเรื่องทอผ้า คุยไปคุยมา เธอก็ไปหยิบผ้าชิ้นนี้มาให้ดู
เห็นแล้วรักเลย และก็ตัดสินใจซื้อตอนนั้นและใส่ประชุมในวันนั้นเลย ...
เป็นผ้าอีกหนึ่งชิ้นที่มีความทรงจำและมีความหมาย และขอบมาก
พูดเรื่องผ้าชิ้นนี้แล้ว ก็ทำคิดถึงผ้าทอมือทั้งหลายอีกหลายสิบชิ้นเต็มตู้ ที่ทิ้งไว้ให้หนูแทะที่บ้านเปิดใจ