30 มี.ค. 13 (4)

สงครามศาสนา สงครามที่สร้างความหวาดกลัวคนมุสลิม ลามไปพม่าแล้ว

ศาสนาทุกศาสนาสอนเรื่องสันติและการอยู่ร่วมกันกับสรรพชีวิตด้วยความไม่เบียดเบียนและแบ่งปันกันไม่ใช่หรือ

ถอดเครื่องแบบศาสนาก็คือคนเหมือนกันทั้งนั้น

หยุดฆ่าฟันหรือทำสงครามกันในนามศาสนา หรือเพราะว่าพวกเขาเป็นมุสลิม เถิดนะชาวพุทธทั้งหลาย

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10151511257491624&set=a.396563781623.177003.819251623&type=1
ความขัดแย้งระหว่างชาวพุทธกับชาวมุสลิมในพม่า ซึ่งลุกลามกลายเป็นความรุนแรงจนมีคนตายกว่า ๔๐ คนขณะที่อีก ๑๒,๐๐๐ คนต้องอพยพหนีภัยตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นเหตุการณ์ที่ทั้งน่าเศร้าและน่าหวั่นวิตกมาก เพราะไม่เพียงเกิดจากความเคียดแค้นชิงชังที่สั่งสมกันมานานเท่านั้น หากยังเกิดขึ้นจากการปลุกระดมในนามของการปกป้องพุทธศาสนา
พุทธศาสนานั้นปฏิเสธความรุนแรงในทุกกรณี ยิ่งการฆ่าสังหารผู้คนแล้ว ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ๆ ก็ถือเป็นบาปทั้งสิ้น แต่กลับมีพระภิกษุจำนวนไม่น้อยเป็นแกนนำในการกระตุ้นให้เกิดความโกรธเกลียดชาวมุสลิม ถึงกับเรียกร้องให้ใช้ความรุนแรงกับคนเหล่านั้น องค์กรที่เป็นแกนหลักในเรื่องนี้เรียกตัวเองว่า “๙๖๙” ซึ่งมีที่มาจากพุทธคุณ ๙ ประการ ธรรมคุณ ๖ ประการ และสังฆคุณ ๙ ประการ แต่ผู้นำขององค์กรนี้คือ สยาดอ วีระธู กลับเรียกตนเองว่า “บินลาดินแห่งพุทธศาสนา”

ผู้นำของ ๙๖๙ โจมตีว่าชาวมุสลิมเป็นชาวต่างชาติ (ส่วนใหญ่มีเชื้อสายอินเดีย จีนและบังกลาเทศ) ที่ครอบงำพม่าในทางเศรษฐกิจ และมีแผนที่จะครอบงำในทางวัฒนธรรมและการเมือง รวมทั้งมีแผนเอาศาสนาอิสลามมาแทนที่พุทธศาสนา หากชาวพุทธไม่ลุกขึ้นต่อต้านและจัดการกับชาวมุสลิม พม่าก็จะ “สิ้นชาติ” และพุทธศาสนาก็จะดับสูญ นอกจากการพิมพ์หนังสือ ผลิตวีดีโอ และซีดีปลุกระดมแล้ว พระภิกษุหลายรูปยังเดินสายปลุกระดมญาติโยม รวมทั้งรณรงค์ให้ไม่ซื้อสินค้าหรือทำการค้าขายกับชาวมุสลิมทั่วประเทศ โดยมีการนำป้าย ๙๖๙ มาติดตามร้านค้าต่าง ๆ เพื่อเชิญชวนให้ชาวพุทธซื้อสินค้าจากร้านเหล่านี้เท่านั้น ตามคำขวัญที่ว่า “เชื้อชาติเดียวกัน ศาสนาเดียวกัน” ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยมีเสียงคัดค้านหรือทักท้วงจากผู้นำชาวพุทธในพม่าน้อยมาก

พุทธศาสนานอกจากปฏิเสธความรุนแรงแล้ว ยังไม่สนับสนุนการแบ่งเขาแบ่งเรา จนเห็นคนอื่นเป็นศัตรูที่สมควรจงเกลียดจงชัง ยิ่งการมองเห็นผู้คนเป็นตัวเลวร้ายเพียงเพราะเขามีเชื้อชาติ ศาสนา ภาษาต่างจากเรา ก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ไม่สมควร เพราะเราไม่พึงตัดสินคนโดยดูที่“สมมุติ” หรือ “ยี่ห้อ”ของเขาเท่านั้น ถึงที่สุดแล้วทุกคนต่างเป็นมนุษย์และเพื่อนร่วมทุกข์กันทั้งนั้น จึงควรมีเมตตาต่อกัน (ดังเวลาแผ่เมตตา เราก็แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ ไม่เลือกว่าเป็นคนหรือสัตว์ด้วยซ้ำ จะกล่าวไปไยถึงการแบ่งแยกว่าเป็นพุทธ มุสลิม คริสต์ ไทย จีน พม่า)

การปกป้องพุทธศาสนานั้นเป็นจุดมุ่งหมายที่ดี แต่วิธีการก็ต้องสอดคล้องกับหลักธรรมในพุทธศาสนาด้วย จึงจะเป็นการปกป้องพุทธศาสนาอย่างแท้จริง หากใช้วิธีการที่ตรงข้ามกับหลักธรรมในพุทธศาสนา หรือวิธีการที่พระพุทธองค์ทรงปฏิเสธ ผลที่เกิดขึ้นจะเป็นการปกป้องพุทธศาสนาได้อย่างไร มันกลับกลายเป็นการบ่อนทำลายพุทธศาสนาด้วยซ้ำ มองในมุมของพุทธศาสนา ชาวมุสลิมในพม่าจะมีพฤติกรรมอย่างไรไม่สำคัญเท่ากับว่าเราชาวพุทธปฏิบัติอย่างไรต่อเขา ถึงแม้เขาจะทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้เรามีสิทธิทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องอย่างเดียวกันหรือยิ่งกว่านั้น ไม่มีคำสอนของพุทธศาสนาหรือแบบอย่างจากพุทธจริยาที่สนับสนุนการกระทำดังกล่าวได้ มิใช่พระพุทธองค์ดอกหรือที่ตรัสว่า “พึงเอาชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ พึงเอาชนะความชั่วด้วยความดี พึงเอาชนะความตระหนี่ด้วยการให้ พึงเอาชนะความเท็จด้วยคำสัตย์”

ชาวมุสลิมนั้นเป็นชนส่วนน้อยมาก ๆ ในพม่า มีสัดส่วนแค่ ๔% ของประชากร เป็นไปได้อย่างไรที่คนจำนวนน้อยนิดดังกล่าวจะมาทำลายพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาของคนส่วนใหญ่ หากพุทธศาสนาจะเสื่อมโทรมถดถอย ก็มิใช่เป็นเพราะคนอื่น แต่เป็นเพราะชาวพุทธด้วยกันเอง ข้อนี้พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้นานแล้วว่าหากพระสัทธรรมจะเสื่อมสูญก็เพราะพุทธบริษัททั้ง ๔ ไม่ใส่ใจในการศึกษาและปฏิบัติพระสัทธรรม

“เรือล่มเพราะต้นหน” (หาใช่เพราะลมพายุไม่) เป็นอุปมาของพระพุทธองค์ที่ชี้ว่า ความเสื่อมโทรมของพระศาสนานั้นเกิดจากปัจจัยภายในมากกว่าปัจจัยภายนอก หากผู้คนจะนับถือศาสนาพุทธน้อยลงเพราะไปนับถือศาสนาอิสลามมากขึ้น ก็ไม่ควรโทษชาวมุสลิมว่ามาแย่งชิงชาวพุทธไป แต่ควรกลับมามองตนเองเราชาวพุทธได้ทำหน้าที่ของตนเองดีแล้วหรือ การมัวแต่โทษคนอื่น จนถึงกับลงไม้ลงมือทำร้ายเขา ฆ่าเขา เผาบ้านเรือนและศาสนสถานของเขา เท่ากับประจานตนเองว่าไม่ได้ปฏิบัติตามคำสอนในศาสนาของตนเองเลย และยิ่งทำให้ผู้คนเสื่อมศรัทธาในพุทธศาสนามากขึ้น ซึ่งก็คือการผลักไสให้เขาไปหาศาสนาอื่น หรือไม่มีศาสนาเสียเลย

นี้ไม่ใช่ความรุนแรงครั้งแรกที่เกิดขึ้น ปลายปีที่แล้วก็มีเหตุจลาจลที่รัฐยะไข่ จนมีคนตายร่วม ๑๘๐ คน ผู้คนนับแสนต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ ความรุนแรงดังกล่าวลุกลามเพราะมีการจัดตั้งอย่างเป็นขบวนการเช่นเดียวกับความรุนแรงเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ผู้รู้ในพม่าบอกว่า กลุ่มพระภิกษุสงฆ์ที่เป็นแกนนำในการก่อความรุนแรงดังกล่าวได้รับอิทธิพลจากพระภิกษุในศรีลังกาซึ่งใช้วิธีการเดียวกันกับชาวมุสลิมที่นั่น เชื้อแห่งความเกลียดชังนั้นแพร่หลายได้ง่าย หวังว่าชาวพุทธไทยจะมีภูมิต้านทานเชื้อดังกล่าวมากพอ จนไม่ถึงกับทำร้ายใครในนามของการปกป้องพุทธศาสนา และหากสามารถชักชวนพี่น้องชาวพุทธในพม่าให้กลับมามีสติและยุติความรุนแรงที่กระทำต่อพี่น้องชาวมุสลิม ก็ควรแก่การอนุโมทนาเป็นอย่างยิ่ง