กราบๆๆๆๆ
เครื่องแม็กโปร 15 นิ้วตัวนี้ รุ่น 10.5.8 กูซื้อมือสองก่อนเดินทางเมื่อปี 2010 เพียงสองสามเดือนก่อนเดินทางมายุโรป ในราคาเพียง 29,000 บาท (ย้ำ 29,000 บาทฮะ ไม่ใช่ 29,000 ล้านบาท อิอิ)
ตอนนี้มัน upgrade โปรแกรมหลายตัวไม่ได้แล้ว เพราะรุ่นมันเก่าเกิน
แต่ตลอดสามปีที่ผ่านมา มันได้ทำหน้าที่ได้อย่างมหัศจรรย์มาก ทั้งตัดต่อหนังแรงงานหลายเรื่อง เขียนบทความสำคัญที่สุดในชีวิตหลายชิ้น รวมทั้งหนังสืออีกหลายเล่ม
เอากราบๆๆๆๆ .... อีกแล้ว
แม้แบตเตอรี่มันจะพังไปร่วม 2 ปีแล้ว และต้องใช้ไม้มารองพื้นเพื่อไม่ให้เครื่องมันร้อนเกิน และต้องรีสตาร์ทเครื่องกันเป็นระยะ
แต่มันก็ทำงานคุ้มค่า เกินมูลค่า เกินราคา และถ้ามันจะพัง จนใช้ไม่ได้จริงๆ สงสัยกูต้องเอาขึ้นหิ้งกราบบูชาด้วยความเคารพสูงสุด
ฮา ... พระเจ้าของกูกลายเป็นคอมพิวเตอร์ ไม่ใช่ปูชนียบุคคลไปซะนี่
กราบๆๆๆ
คนที่มีเงินเดือน และได้เงินสนับสนุนในการทำกิจกรรมต่อเนื่องอาจจะสมเพชกูนะ แม่งที่ 3 ปีมานี้ไม่มีแม้แต่ทุนรอน ไม่มีเงินเดือน อยู่ในประเทศค่าครองชีพสูงลิ่ว แต่ยังเสือกสะเอะมาทำอะไรอย่างที่ทำ และต้องทำตัวน่าสมเพชขายหนังสือ และระดมเงินกันเป็นระยะๆ เช่นนี้
แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ของกู ในชีวิตนักกิจกรรม มีหลายช่วงเลยที่ทำงานกูอาสาโดยไม่มีเงิน และอยู่แบบรับเงินเล็กๆ น้อยๆ พออยู่ได้ และได้ทำงานอย่างที่อยากทำ ...( และแน่นอนว่ากูก็ไม่ใช่คนเดียวด้วยที่ใช้ชีวิตแบบนี้)
ยิ่งช่วงแหล่งเงินทุนหาย และเข้มงวดมากขึ้นเรื่องการลงมากำกับและกำหนดนโยบายการทำงาน กูก็คิดเยอะขึ้นเรื่องการระดมทุนเอง โดยไม่พึ่งแหล่งเงินทุนนานาชาติ และไม่ต้องคลานเข่าเข้าไปกราบขอทุนจากหน่วยงานรัฐฯ พร้อมกับเติมชื่อโครงการว่า "เพื่อเฉลิมพระเกียรติ" ตามเงื่อนไขการให้ทุนส่วนใหญ่ของรัฐไทย
ในความเป็นคนชอบเขียนชอบอ่าน ชอบลงหมู่บ้าน ชอบเดินทางแบบนอกกระแส และใช้ชีวิตลิขิตเอง กูก็ถูกจริตกับการเขียนมากที่สุด คิดมาตลอดเรื่องทำงานเขียนขายเพื่อระดมทุนทำกิจกรรมและทำโครงการที่อยากทำและเพื่อการกินอยู่อย่างพอเพียงใช้สินค้ามือสองและไม่ต้องใช่กระเป๋าหลุยส์
ดังนั้นแม้กูจะรู้สึกเป็นตัวตลกและสมเพชตัวเองเป็นบางครั้งที่ แม่ง! PR ขายหนังสือตัวเองอยู่ได้ ไม่เห็นนักเขียนคนอื่นๆ เขาทำเหมือนกูเลย
แต่กูก็ไม่อายที่จะดำเนินวิถีชีวิตแบบนี้ เพราะนี่คือเงินที่สะอาดที่สุด และมีความหมายที่สุด ที่คนๆ หนึ่งจะหามาได้ และรู้ว่าจะต้องใช้มันอย่างคุ้มค่าให้มากที่สุด
กูเขียนสเตตัสนี้ไม่ใช่เพราะความละอายหรอกนะ
แต่เพราะกลัวว่ามึงจะอายแทนกู ...ฮา
และเพื่อต้องการบอกกับทุกท่านที่เงินหนา เงินเดือนสูง มีผู้อุปภัมถ์ที่มั่งคั่งว่า
กูไม่ได้ละอายเลยที่ใช้ชีวิตแบบนี้ ที่จนแม่งขนาดนี้ แต่ยังสะเอะทำตัวเหมือนคนฟรีมีเวลาเหลือเฟือที่จะเขียนเรื่องการเมืองไทย
ชีวิตกูมีเพื่อใช้อย่างคุ้มค่าให้มากที่สุด ไม่ใช่เพื่อหาเงินให้ได้มากที่สุดว่ะ!
ขอบคุณเพื่อนๆ หลายคนจริงๆ วันนี้ซาบซึ้งใจคนเดินร่วมทางหลายคน โดยเฉพาะพี่สาวน้องสาวทั้งจากเมืองไทยและเมืองนอก ที่ให้กำลังใจกันอย่างเงียบๆ และไม่เงียบมานาน ส่งข้อความและความสนับสนุนมาหลายคน และยังขายหนังสือได้อีก 4-5 เล่มฮะ ...
ไม่รู้จะเขียนขอบคุณยังไง
คือพลังใจและความสนับสนุนกันที่เข้ามาก็ทำให้รู้สึกว่า ต้องยิ่งทำงานมากขึ้น
เลยมานึกถึงคนที่เคยชินกับการได้รับบริจาคเป็นล้าน ร้อยล้าน พันล้าน หรือหมื่นล้าน เขาไม่รู้สึกเป็นหนี้บุคคลผู้คนมากมายหรือ ...
หรือเพราะรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณคนบริจาคที่มักจะเป็นนักธุรกิจใหญ่จึงพร่ำบอกแต่ให้คนจนพอเพียง เพื่อให้นักธุรกิจเหยียบย่ำกันต่อไป ก็ไม่รู้นะ
เครื่องแม็กโปร 15 นิ้วตัวนี้ รุ่น 10.5.8 กูซื้อมือสองก่อนเดินทางเมื่อปี 2010 เพียงสองสามเดือนก่อนเดินทางมายุโรป ในราคาเพียง 29,000 บาท (ย้ำ 29,000 บาทฮะ ไม่ใช่ 29,000 ล้านบาท อิอิ)
ตอนนี้มัน upgrade โปรแกรมหลายตัวไม่ได้แล้ว เพราะรุ่นมันเก่าเกิน
แต่ตลอดสามปีที่ผ่านมา มันได้ทำหน้าที่ได้อย่างมหัศจรรย์มาก ทั้งตัดต่อหนังแรงงานหลายเรื่อง เขียนบทความสำคัญที่สุดในชีวิตหลายชิ้น รวมทั้งหนังสืออีกหลายเล่ม
เอากราบๆๆๆๆ .... อีกแล้ว
แม้แบตเตอรี่มันจะพังไปร่วม 2 ปีแล้ว และต้องใช้ไม้มารองพื้นเพื่อไม่ให้เครื่องมันร้อนเกิน และต้องรีสตาร์ทเครื่องกันเป็นระยะ
แต่มันก็ทำงานคุ้มค่า เกินมูลค่า เกินราคา และถ้ามันจะพัง จนใช้ไม่ได้จริงๆ สงสัยกูต้องเอาขึ้นหิ้งกราบบูชาด้วยความเคารพสูงสุด
ฮา ... พระเจ้าของกูกลายเป็นคอมพิวเตอร์ ไม่ใช่ปูชนียบุคคลไปซะนี่
กราบๆๆๆ
แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ของกู ในชีวิตนักกิจกรรม มีหลายช่วงเลยที่ทำงานกูอาสาโดยไม่มีเงิน และอยู่แบบรับเงินเล็กๆ น้อยๆ พออยู่ได้ และได้ทำงานอย่างที่อยากทำ ...( และแน่นอนว่ากูก็ไม่ใช่คนเดียวด้วยที่ใช้ชีวิตแบบนี้)
ยิ่งช่วงแหล่งเงินทุนหาย และเข้มงวดมากขึ้นเรื่องการลงมากำกับและกำหนดนโยบายการทำงาน กูก็คิดเยอะขึ้นเรื่องการระดมทุนเอง โดยไม่พึ่งแหล่งเงินทุนนานาชาติ และไม่ต้องคลานเข่าเข้าไปกราบขอทุนจากหน่วยงานรัฐฯ พร้อมกับเติมชื่อโครงการว่า "เพื่อเฉลิมพระเกียรติ" ตามเงื่อนไขการให้ทุนส่วนใหญ่ของรัฐไทย
ในความเป็นคนชอบเขียนชอบอ่าน ชอบลงหมู่บ้าน ชอบเดินทางแบบนอกกระแส และใช้ชีวิตลิขิตเอง กูก็ถูกจริตกับการเขียนมากที่สุด คิดมาตลอดเรื่องทำงานเขียนขายเพื่อระดมทุนทำกิจกรรมและทำโครงการที่อยากทำและเพื่อการกินอยู่อย่างพอเพียงใช้สินค้ามือสองและไม่ต้องใช่กระเป๋าหลุยส์
ดังนั้นแม้กูจะรู้สึกเป็นตัวตลกและสมเพชตัวเองเป็นบางครั้งที่ แม่ง! PR ขายหนังสือตัวเองอยู่ได้ ไม่เห็นนักเขียนคนอื่นๆ เขาทำเหมือนกูเลย
แต่กูก็ไม่อายที่จะดำเนินวิถีชีวิตแบบนี้ เพราะนี่คือเงินที่สะอาดที่สุด และมีความหมายที่สุด ที่คนๆ หนึ่งจะหามาได้ และรู้ว่าจะต้องใช้มันอย่างคุ้มค่าให้มากที่สุด
กูเขียนสเตตัสนี้ไม่ใช่เพราะความละอายหรอกนะ
แต่เพราะกลัวว่ามึงจะอายแทนกู ...ฮา
และเพื่อต้องการบอกกับทุกท่านที่เงินหนา เงินเดือนสูง มีผู้อุปภัมถ์ที่มั่งคั่งว่า
กูไม่ได้ละอายเลยที่ใช้ชีวิตแบบนี้ ที่จนแม่งขนาดนี้ แต่ยังสะเอะทำตัวเหมือนคนฟรีมีเวลาเหลือเฟือที่จะเขียนเรื่องการเมืองไทย
ชีวิตกูมีเพื่อใช้อย่างคุ้มค่าให้มากที่สุด ไม่ใช่เพื่อหาเงินให้ได้มากที่สุดว่ะ!
* * *
ไม่รู้จะเขียนขอบคุณยังไง
คือพลังใจและความสนับสนุนกันที่เข้ามาก็ทำให้รู้สึกว่า ต้องยิ่งทำงานมากขึ้น
เลยมานึกถึงคนที่เคยชินกับการได้รับบริจาคเป็นล้าน ร้อยล้าน พันล้าน หรือหมื่นล้าน เขาไม่รู้สึกเป็นหนี้บุคคลผู้คนมากมายหรือ ...
หรือเพราะรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณคนบริจาคที่มักจะเป็นนักธุรกิจใหญ่จึงพร่ำบอกแต่ให้คนจนพอเพียง เพื่อให้นักธุรกิจเหยียบย่ำกันต่อไป ก็ไม่รู้นะ