10 ธ.ค. 13

สิ่งที่รู้สึกตระหนกมากในวันนี้คือ ได้เห็นผลลัพธ์แห่งการอัดฉีด propaganda ทางการเมือง ที่ทำกันอย่างบ้าคลั่งนับตั้งแต่ปี 2548 ว่ามันส่งผลรุนแรงและโหดร้ายอย่างเหลือเชื่อ

มันทำให้คนไทยสามารถกลายเป็นคนไร้เหตุผล และมีแนวคิดฟาสซิสต์อย่างน่ากลัว

ความแยกข้างของคนทุกกลุ่มในสังคมไทยที่รุนแรงและไม่เหลือใยมิตรภาพเช่นนี้ เป็นพัฒนาการทางการเมืองไทยที่ไม่เคยคาดฝันว่าจะได้เห็น

รู้สึกจริงๆ นะฮะว่า ...

ถ้ามันจะต้องตัดเยื่อใยระหว่างกัน และไม่ต้องใส่ความเป็นมนุษย์เข้าหากัน ไม่ยอมรับความเป็นคนเท่ากัน แบ่งแยกและพร้อมจะเข่นฆ่ากัน เพราะความคิดต่างทางการเมืองกันเช่นนี้ ...

คิดจริงๆ ว่า ถ้าความเป็นชาติไทยมันไม่ยอมรับคนเท่ากันเสียที และเป็นเพียงชาติไทยของอภิสิทธิชนคนเสียงดังเท่านั้น ...

ความเป็นชาติไทยมันจะมีความหมายใด

ยิ่งถ้าคนในชาติไม่ยอมรับกติการประชาธิปไตยเลือกตั้ง มันจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขได้อย่างไร

มันจำเป็นจะต้องวางกติกาการเมืองในดินแดนที่ชื่อว่าไทยกันใหม่ดีไหมครับ

ระบบสาธารณรัฐ หรือ สหพันธรัฐ ไปเลยก็ดีนะครับ

แต่ถ้าไม่เอา ก็ให้แต่ละจังหวัดหรือแต่ละภูมิภาค ทำประชามติ แยกประเทศออกเป็น 4-5 ประเทศเล็กๆ กันไปเลยก็ได้นะ

ขอระเบิดความรู้สึกอัดอันแทนคนเลือกรัฐบาลมาหลายรอบหน่อยนะครับ ที่ต้องทนเห็นรัฐบาลตัวเองถูกอภิสิทธิชนล้มกันมา 4 คณะแล้วในรอบ 7 ปี

- - - -

ไม่เชื่ออีกแล้วใน
มายาคำลวงที่โหมประชาสัมพันธ์ว่า
คนไทยรัก สามัคคี ช่วยเหลือกัน

เห็นแต่คนไทยชุบมือเปิบ
มือใครยาวสาวได้สาวเอา
ขี้โอ่ ชอบอวด เห่อของนอก
ไร้เหตุผล ไม่เคารพกฎกติกา
เดียจฉันท์เพื่อนมนุษย์
ผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย
มากชนชั้น เหยียดเพศ
และป่าเถื่อนต่อกันได้อย่างร้ายกาจ

ความเป็นสยามเมืองยิ้มไม่เคยมี
มีแต่ความเป็นไทยของคนป่า ที่ไม่รู้จักใช้สมอง
ที่ขออยู่ล้าหลังกว่าชาวโลกมนุษย์สัก 100 ปี
- - - -

10 ธันวาคม 2554
 
จดหมายและรายชื่อของผู้ร่วมเรียกร้องรณรงค์เพื่อยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (มาตรา 112) และให้ปล่อยตัวนักโทษการเมืองและนักโทษคดีหมิ่นฯ ในประเทศไทย ได้ถูกนำส่งนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในขณะนั้น ซึ่งก็ไม่ทราบว่า นรต.ยิ่งลักษณ์ได้รับและได้อ่านมันหรือไม่

10 ธันวาคม 2556
วันรัฐธรรมนูญไทย ที่กลายเป็นวันแห่งความยินดีของกบฎที่กดดันให้รัฐบาลที่มาตามกติกาเลือกตั้งยุบสภาได้สำเร็จ

ผมเลยขอเตือนความจำรัฐบาลเพื่อไทยว่า เราได้เรียกร้องเรื่องมาตรา 112 และนักโทษการเมืองมาอย่างหนักตลอด3 ปีที่ผ่านมา ขอให้มันเป็นวาระแรกๆ ในการทำงานของรัฐบาลเสียทีเถิดนะครับ

- - - -

ไม่รู้ว่าเพื่อนๆ ที่โกรธเกลียดทักษิณที่สุดในโลก จนเลือก defend ม๊อบเทพ จะมีใครที่มีใจเปิดกว้างสักนิดบ้างไหม อยากให้ลองอ่านถ้อยแถลงของบรรดาอาจารย์ที่คงเส้นคงวาในหลักการเหล่านี้กันสักหน่อยนะฮะ

อยากเชิญอ่านจริงๆ


- - - -

ผมเข้าใจคนที่เกลียดหรือถูกทำให้เกลียดทักษิณและชินวัตรนะฮะ

ผมก็ไม่เคยไว้ใจชินวัตร และผมก็ไม่เคยไม่ไว้ใจนายทุนในระบบทุนนิยม ...

ไม่ว่าจะเป็นทุนชินวัตร ล่ำซำ โสภณพานิช เจียรวนนท์ โชควัฒนา ภิรมย์ภักดี สิริวัฒนภักดี หรือแม้แต่ทุนภายใต้การบริหารของสำนักงานทรัพย์สินฯ

แต่เราแสดงออกในความไม่ไว้ใจนายทุนต่างกัน ...

ในขณะที่ท่านเลือกรวมกลุ่มกับนายทุนกลุ่มหนึ่งเพื่อถล่มชินวัตร เพราะรู้ว่ากำลังท่านตามลำพังมันไม่พอ โดยยอมประนีประนอมกับผลประโยชน์ให้กับพวกทุนกลุ่มที่ท่านหนุนอย่างเต็มที่

ผมเลือกช่วยประชาชนและคนงานของนายทุนเหล่านี้ ให้เข้มแข็งและสู้กับนายทุนหรือนายจ้างของพวกเขาได้อย่างเข็มแข็งมากขึ้น

ในขณะที่ท่านเลือก "โค่นทักษิณและชินวัตร" ด้วยวิธีการใดๆ ก็ได้ โดยไม่ต้องเป็นไปตามกติกาประชาธิปไตย ด้วยข้ออ้างข้างๆ คูๆ เพื่อเรียกร้องให้คนดีเข้ามาบริหารบ้านเมือง

แต่ผมเลือกที่จะยึดมั่นในระบบประชาธิปไตยตัวแทนเข้ารัฐสภา และส่งเสริมให้คนชั้นล่างตั้งพรรคการเมืองของตัวเองและส่งคนเข้าสภาเพื่อไปเป็นปากเสียงของตัวเอง

แน่นอนการเลือกของผมมันไม่สะใจ และเดินไปอย่างเชื่องช้า และอาจจะไม่ประสบความสำเร็จก็ได้

แต่นับตั้งแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน เป็นต้นมา ท่านรู้ไหมครับ ผมดีใจแทนพวกท่านฉิบหายเลย ที่ประเทศนี้มีนายกที่เป็นผู้หญิงคนแรก ที่ใจไม่อำมหิตและไม่ต้องการเห็นมือตัวเองเปื้อนเลือด

ถ้ายิ่งลักษณ์กระหายเลือดยอมใช้กำลังกับผู้ประท้วง - แม้บทสรุปยิ่งลักษณ์จะไม่ต่างจากสุเทพ เทือกสุบรรณและอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับฉายา "ฆาตกรร้อยศพ" - แต่ท่านรู้ไหมครับว่าครั้งนี้ความแตกต่างคืออะไร

ความแตกต่างก็คือ ครั้งนี้หลายสิบศพหรือหลายร้อยศพบนท้องถนนนั้น จะไม่ใช่คนชนบทจากอีสานอีกต่อไปเท่านั้น แต่จะมีศพพวกท่านชาวไฮโซคนเมืองนี่ล่ะ ที่ต้องสังเวยอำนาจกลายเป็นศพนอนที่กลางถนน

แน่นอนท่านไม่มีทางสำนึกถึงเรื่องนี้เด็ดขาด เพราะที่ผ่านมาท่านไม่เคยตาย แต่ถ้าท่านยังเดินตามคนบ้าเช่นสุเทพ เทือกสุบรรณกันอยู่อย่างหน้ามืดตาบอด ต่อไปละก็

ท่านจะรับประกันได้อย่างไรว่าพวกท่านจะไม่ตาย?

- - - - 

ระบบการเมือง ราชาธิปไตย ประชาธิปไตย คอมมิวนิสต์ หรือสังคมนิยม
ก็ไม่ใช่คำตอบสำหรับการแก้ปัญหาชนชั้นและขจัดช่องว่างความจน-รวยที่ทิ้งห่างในสังคมได้
ถ้าคนในสังคมนั้นถูกปิดปากหรือต้องปิดปากตัวเอง เพราะความกลัว

- - - - 

อาจจะเพราะทำงานกับคนอีสานเยอะ
หรือเพราะคนอีสานคือกลุ่มคนกลุ่มใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ก็เลยทำให้ได้พบเจอและทำงานร่วมกันเยอะ

ทำให้นึกขึ้นได้ ณ ตอนนี้ว่า
นักอหิงสา สันติวิธี อดทนอดกลั้น และเคารพความเป็นอื่นของคนอื่นมากที่สุดเนี่ย
ไม่มีใครเกินคนอีสาน

ดูได้จาก (คร่าวๆ นะครับ) ...

แม้จะเป็นภูมิภาคที่เป็นแอ่งอารยธรรมเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย แต่คนอีสานและภาษาลาวอีสานถูกใช้เป็นตัวละครคนใช้และตลกเพื่อความบันเทิงของคนเมืองมายาวนานหลายสิบปี หรืออาจนับร้อยปี - ทำให้คนอีสานต้องอดทนกับสภาพการเป็นคนชั้นต่ำ คนรับใช้ และคนโง่มายาวนานเหลือเกิน

ภาคอีสานเป็นภาคที่ถูกดูดทรัพยากรเข้าเมืองหลวงเพื่อหล่อเลี้ยงคนเมืองหลวงมาตลอดนับตั้งแต่รัชกาลที่ 5 จนพวกเขาไม่เหลืออะไรและต้องอยู่อย่างอดยากแร้นแค้น และดิ้นรนไปตายเอาดาบหน้าที่ต่างแดนเพื่อหาเงินส่งมาเลี้ยงดูครอบครัว

ภาคอีสานถูกอ้างเพื่อโครงการพัฒนามากที่สุด แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่ได้พัฒนาอย่างยั่งยืนเพราะกลไกที่คอรัปชั่นฮั่วกันทั้งนักการเมือง นายทุน และข้าราชการ

คนภาคอีสานต้องอดทนอดกลั้นกันมาหลายสิบปีกับการถูกปล้นการเมือง กับการต้องทนเห็นนักการเมืองที่ตัวเองเลือกถูกล้มกระดาน และโครงการพัฒนาของตัวเองค้างเติ่ง

ฯลฯ

ด้วยประการนี้ ตำแหน่งนักอหิงสาและสันติวิธีไม่ใช่อาจารย์มหาวิทยาลัยดังทั้งหลายนะฮะ แต่คือคนอีสานที่รักยิ่งของกระผมนี่ล่ะ

- - - -

ผมนึกไม่ออกว่าเพื่อนฝูง NGOs และสหภาพแรงงาน ที่เข้าร่วมม็อบพร้อมถ่ายภาพยิ้มแฉ่งอวดกันในเฟซบุ๊ค

จะไปบอกคนรากหญ้าชาวบ้านที่พวกเขาทำงานกันว่าอย่างไรบ้าง ถึงเหตุผลที่ต้องล้มประชาธิปไตย ล้มรัฐบาลจากการเลือกตั้ง และจำต้องเรียกหาระบบราชาธิปไตย รัฐบาลพระราชทาน?

และพวกเขาจะมีหลักประกันอะไรให้กับชาวบ้านว่ารัฐบาลแต่งตั้งจะดีกว่า และแก้ปัญหาชาวบ้านได้ดีกว่ารัฐบาลเลือกตั้ง ... และถ้าทำไม่ได้จะมีมาตราการไล่รัฐบาลแต่งตั้งกันอย่างไร?

และจะสามารรถบอกกับชาวบ้านว่า เราไม่สนใจประชาธิปไตย ขอแค่คนดีปกครองประเทศก็พอแล้ว กันได้จริงๆ ละหรือ?

คือรู้ว่าระบบ NGOs และสหภาพทำงานไปกันได้ดีกับระบบเส้นสาย และก็ไม่ใส่ใจกับกระบวนการประชาธิปไตย (ถ้าใส่ใจและทำให้โครงสร้างการทำงานมันเป็นประชาธิปไตย ปัญหารากหญ้าที่พวกเขาเขียนของบประมาณมาทำงาน คงแก้ได้ไปหลายจุด)

แต่ก็ไม่คิดว่าจะหลงทิศหลงทางกันมายาวนานหลายปีเช่นนี้.

- - - -

ถ้าไม่มืดบอดกับตัวบุคคลมาก
ขบวนการภาคสังคมและสหภาพจะมองออกว่า

เพราะมีเงื่อนไขว่าจะต้องสร้างคะแนนเสียงกับคนชนบท ทักษิณต้องซื้อใจคนด้วยนโยบายที่เป็นปัญหาร่วมใหญ่ของคนไทยที่ไม่มีสวัสดิการสังคม อันดับแรกเลยก็คือเรื่อง สุขภาพ - 30 บาทรักษาทุกโรค จึงได้เริ่มต้นขึ้นในปี 2544-2545 - ซึ่งควรเป็นนโยบายที่เริ่มมาตั้งแต่สถาปนาระบอบประชาธิปไตยเมื่อ 80 ปีนั่นแล้ว (ที่มีการจัดทำให้เฉพาะข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และลูกจ้างประกันสังคม)

เพราะเงื่อนไขว่าต้องซื้อใจคนทำงานรับจ้างรายวัน รัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงทำเรื่องที่เป็นปัญหาเรื่องการจ้างแรงงานไทยที่ค้างคามาตั้งแต่การประกาศค่าแรงขั้นต่ำเป็น 3 ระดับมาตั้งแต่ปี 2515 และลอยตัวเป็นระดับจังหวัดหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 มาเป็น 300 บาทเท่ากันทั่วประเทศในต้นปี 2556... ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องเรียกว่ากล้าหาญมาก เพราะเรื่องค่าแรงเท่ากันทั้งประเทศ ขบวนการแรงงานเรียกร้องกันมาหลายทศวรรษก็ไม่สำเร็จสักที เพราะรัฐบาลที่ผ่านมาไม่กล้าฝ่าแรงต้านจากพ่อค้านายทุน แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องกล้ามาทำ เพราะต้องการซื้อใจคนทำงาน

เพราะเงื่อนไขว่าต้องซื้อใจชาวนาชาวไร่ รัฐบาลจึงกล้าต่อกรกับทุนเก่าที่กุมอำนาจมานานกับนโยบายจำนำข้าว

แน่นอนว่าแม้จะมีนโยบายออกมาก็ตาม แต่ก็ยังมีปัญหาในรูปธรรมการปฏิบัติอยู่ และเป็นเรื่องที่ต้องต่อสู้กดดันกันต่อไป

แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น นโยบายที่ได้จากทักษิณ และยิ่งลักษณ์ เกิดขึ้นได้ในสภาวะที่นักการเมือง/พรรคการเมือง ถูกบีบให้ต้องตอบสนองต่อปัญหาคนชั้นล่างบ้าง ไม่ใช่รับใช้แต่นายทุนคนชั้นบนเท่านั้น

กระนั้น ทั้งทักษิณและยิ่งลักษณ์ก็ยังทำไม่พอ โดยเฉพาะเรื่อง การยังไม่ยอมรับเรื่องกฎกติกาเรื่องสิทธิและเสรีภาพในการต่อรอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ขบวนการแรงงานหรือภาคประชาสังคมต้องกดดันกันอย่างจริงจังต่อไป

ซึ่งในสภาวะการเมืองที่พรรคการเมือง อย่างไรแล้วต้องหาเสียงกับประชาชน โอกาสการล๊อบบี้พรรคเพื่อไทยเพื่อเปิดรับฟังภาคประชาสังคมจึงมีมากขึ้น เท่าๆ กับที่พวกเขาคิดว่าพรรคประชาธิปัตย์เปิดให้ (ซึ่งประชาธิปัตย์ก็ไม่ได้ทำตามข้อเรียกร้องของพวกเขาเช่นกัน)

กลุ่มขบวนการภาคสังคมกลุ่มสำคัญยิ่ง ที่รอคอยยิ่งลักษณ์เปิดรับฟังคือ กลุ่มสิ่งแวดล้อมและผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการรัฐ และนโยบายเมกกาโปรเจคต่างๆ ซึ่งเป็นคู่ต่อสู้ที่หนักหน่วง เพราะรัฐบาลเพื่อไทยอ่อนมากเรื่องแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจสีเขียวและผังเมือง ... ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลใหม่ที่เข้ามาหลังเลือกตั้งต้องรับมือในเรื่องนี้อย่างจริงจัง

แม้ว่าไม่เห็นด้วยอย่างแรงและวิจารณ์มาตลอดในแนวนโยบายเรื่องสิทธิและเสรีภาพของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย

แต่ในฐานะของคนทำงานต่อสู้เพื่อสวัสดิการสังคมและหลักประกันคนงาน ผมจำต้องเปิดใจกว้างพอที่จะตระหนักถึงผลงานที่ชัดเจนเรื่องนี้ของพรรคเพื่อไทย ซึ่งผมเห็นว่าไม่ใช่เรื่องความบังเอิญหรือเทวดาประทาน แต่เป็นเพราะเงื่อนไขการเมืองที่รัฐบาลต้องทำเพื่อซื้อใจผู้ลงคะแนนเสียง!

- - - -


ไม่เข้าใจว่าจะกระแนะกระแหนเรื่องน้ำตายิ่งลักษณ์กันอะไรนักหนา
พวกเราคนไทยทุกค่ายสี - ทั้งหญิงและชาย - ต้องเสียน้ำตากันมากมายแค่ไหน
ไปกับความคับแค้นอัดอั้นเพราะความวุ่นวายทางการเมืองไทย เอาแค่นับตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมาก็ได้

น้ำตาไม่ใช่เพียงสัญลักษณ์ของคนอ่อนแอ และไม่ได้ผูกขาดอยู่ที่เพศหญิงเท่านั้น

แต่มันก็ยังเป็นเครื่องแสดงออกถึง ความคับแค้นแน่นอก ความซาบซึ้งประทับใจ ความเห็นอกเห็นใจและสงสาร ความรักจนล้นหัวใจ และความอ่อนไหวต่อเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก

ถ้าคุณอยู่หน้ากล้องที่ค่อยเก็บทุกซ็อตตลอดเวลาเช่นยิ่งลักษณ์ คุณอาจจะถูกวิจารณ์ได้ทุกซ็อตเช่นเดียวกับที่กำลังจับผิดและวิจารณ์ยิ่งลักษณ์อยู่ก็ได้ฮะ

ไม่ว่ากันเรื่องคอยจับผิดและวิจารณ์ยิ่งลักษณ์

แต่ถามตัวเองกันหน่อยก็ดีนะฮะ ที่หาเรื่องด่ายิ่งลักษณ์ได้ทุกเรื่องนั้น ลึกๆ เป็นเพราะความอิจฉาแค่นั้นหรือเปล่า?