14 พ.ย. 13 - สงครามปกป้องอภิชนาธิปไตย vs สงครามปกป้องประชาธิปไตย

ตราบใดที่ประเทศไทยยังไม่สามารถชำระประวัติศาสตร์ และเปิดให้ผู้คนสามารถวิพากษ์วิจารณ์ และ/หรือวิเคราะห์สังคมและการเมืองกันได้อย่างตรงไปตรงมา – ด้วยความกริ่งเกรงว่าจะทำให้ “ระคายเคืองต่อเบื้องพระยุคลบาท” กันอยู่เช่นนี้ – ตราบนั้นประเทศไทยก็ยังคงอยู่ในสภาวะการเมืองติดลบไปเรื่อยๆ และไม่สามารถเซ็ทศูนย์ หรือ Set Zero เพื่อเริ่มเดินหน้าประเทศไทยได้ และประเทศของเราจะถูกปล่อยทิ้งให้อยู่กับสภาวะติดลบถูกทิ้งท้ายไปเรื่อยๆ ตามพลวัตน์ของการพัฒนาของโลกที่ขับเคลื่อนไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา

สงครามปกป้องอภิชนาธิปไตย vs สงครามปกป้องประชาธิปไตย: ในนามต้านนิรโทษกรรม

จรรยา ยิ้มประเสริฐ
12 พฤศจิกายน 2556

เกริ่นนำ

สถานการณ์การเมืองไทยในปัจจุบัน คือการต่อสู้ที่ยังไม่จบของสงครามชนชั้น ระหว่างฟากรอยัลลิสต์ชนชั้นสูงที่จัดตั้งชัดเจนโดยพรรคการเมืองประชาธิปัตย์ ที่ก่อตั้งเมื่อวันจักรี 6 เมษายน 2489 ด้วยเป้าประสงค์หลัก คือ เพื่อการพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งวิถีอภิสิทธิชนและสิทธิประโยชน์ของชนชั้นสูง คนเมืองมหานครกรุงเทพ – กับฟากคน “ใส่เสื้อแดง” ซึ่งเป็นฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย ที่เป็นคนชั้นล่าง คนชนบทที่สุดทนกับการถูกทำนาบนหลังคน จากการถูกปล้นทรัพยากร และเข้าไม่ถึงงบประมาณและโครงการพัฒนาที่มีคุณภาพ ที่กว่า 70-80% ของงบประมาณแผ่นดิน ถูกดึงดูดไปหล่อเลี้ยงและเอาอกเอาใจให้กับวิถีการเมือง “คนชนบทเลือก คนกรุงเทพล้ม” กันมาหลายทศวรรษ
เมื่อมวลชน “ใส่เสื้อแดง” ของพรรคการเมืองรุ่นใหม่ ที่จัดตั้งโดยกลุ่มทุนตระกูลชินวัตรเมื่อต้นทศวรรษ 2540 – ที่แม้จะตั้งนายกรัฐมนตรีถึง 4 คน และถูกยุบพรรคกันมา 3 ครั้งในรอบเพียงสิบ 15 ปี จากพรรคไทยรักไทย สู่พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน – ยังไม่สลายไปและมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ขณะเดียวกันพรรคเพื่อไทย ก็ยังไม่สามารถนำชาติฝ่าวิกฤตการเมืองได้เมื่อผู้มีบทบาทนำในพรรคและนักการ เมืองส่วนใหญ่ในพรรค ยังเล่นการเมืองด้วยวิถี “เพื่อดำรงวิถีอภิสิทธิชน” โดยไม่ให้ “ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท” กันอย่างจริงจังมาจนถึงปัจจุบัน โดยละเลยและเผิกเฉยต่อความต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทางการเมืองไทยของคนเสื้อแดงและประชาชนทั่วไปที่รักประชาธิปไตย
กระนั้น มวลชนคนชั้นล่างชาวไพร่ที่ต้องการสถานภาพ “ประชาชนพลเมือง” ที่ได้รับการยอมรับว่าเท่าเทียมกับคนเมืองมหานครเมืองหลวง ต่างก็แสดงพลังสีแดงเพื่อปกป้องรัฐบาลในทุกครั้งที่ฝ่ายรอยัลลิสต์ ประชาธิปัตย์ประท้วงเพื่อไล่รัฐบาลที่คนเสื้อแดงเลือก … และนี่คือสถานการณ์การเมืองในขณะนี้
นี่คือภาพการเมืองบนท้องถนนของประเทศไทย ที่ขับเคี่ยวกันมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2549 มาจนถึงปัจจบุัน และก็ได้เดินทางมาถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อ ที่วัดกันที่พลังหนุนและความอึดของทั้งสองฝ่าย – ที่กำลังยึดถนนกลางเมืองหลวง และในศาลากลางจังหวัดฐานเสียงของแต่ละพรรคกันอีกครั้งมาตลอดร่วม 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยได้เพลี่ยงพล้ำในการผลักดันพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมที่ส่งผลย้อนกลับไปถึงปี 2547 เพื่อลบล้างผลพวงทางคดีทั้งหมดให้กับทักษิณ ชินวัตร นายทุนใหญ่และผู้มีอิทธิพลสูงสุดของพรรค อดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549
ซึ่งการเพลี่ยงพล้ำครั้งนี้ของเพื่อไทยได้เป็นบทเรียนครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์การเล่นการเมืองของตระกูลชินวัตร ที่จำต้องตื่นมาตระหนักอย่างจริงจังว่าประชาชนได้พัฒนาไปมาก และไม่ต้องการเห็นนักการเมือง “เล่นการเมือง” แต่ต้องการให้ปักหลัก “หลักการและความยุติธรรม” ให้บังเกิดขึ้นในสังคมไทยเสียที
ท้ายที่สุดด้วยพลังต่อต้านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฉบับสุดซอยถอยหลัง ไปยังพ.ศ. 2547 ถูกต่อต้านอย่างหนักจากประชาชนทุกภาคส่วนรวมทั้งฝ่ายหนุนเพื่อไทย – แม้ว่าจะด้วยเหตุผลต่างกันก็ตาม – พรรคเพื่อไทยก็ต้องยอมถอยสุดตัวด้วยการตีตกร่างพรบ. นิรโทษกรรมทั้งหมดทุกฉบับ
นั่นก็หมายความว่า พรรคเพื่อไทย ต้องรีบเร่งหามาตรการอื่นเพื่อนำนักโทษการเมืองที่ติดคุกมากว่า 3 ปีออกจากคุกให้ได้ เพื่อฟื้นคืนความเชื่อถือจากขบวนการคนเสื้อแดง และจากนักวิชาการและนักวิจารณ์การเมืองทั้งหลาย