ความเป็นชาติไทย
เพิ่งจะสร้างกันเมื่อทศวรรษ 2480 นี้เอง
โดยที่กระบวนการสร้างชาติไทย
กระทำกันอย่างบ้าคลั่ง
บนการเชิดชูวิถึชีวิตคนกรุงเทพเมืองหลวง
และอัดฉีดกระบวนการสร้างวัฒนธรรม "ไทย" ขึ้นใหม่
ที่ดูถูกเหยียดหยามจนถึงขั้นทำลายวิถีชีวิตและวัฒนธรรม
ของภูมิภาคและชาติพันธุ์อื่นๆ
และยังบังคับให้คนในภูมิภาคอื่นๆ
ต้องปฏิบัติตามและร่วมเชิดชูในนาม "ชาติไทย"
ถ้าชาติไทยยังอยู่ในนิยามนี้
ผมว่าเรากลับไปใช้ชื่อ "ชาติสยาม"
พร้อมทั้งกระจายอำนาจสู่หัวเมืองต่างๆ
จะดีกว่านะครับ
เป็นกลุ่มนักการเมืองที่ไม่เคยยอมรับความพ่ายแพ้
ที่โหดเหี้ยมจนพร้อมพาทั้งประเทศล่มจมไปกับการแพ้ไม่เป็นของตัวเอง
ในประเทศที่มีพร้อมทุกอย่างเช่นประเทศไทย
ต้องล่มจมกันครั้งแล้วครั้งเล่า
ไปกับการทะเยอทยานกระหายอำนาจ
เกินความสามารถและศักยภาพที่ตัวเองมีของชนชั้นสูง
ที่เล่นเกมการเมืองเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง
ประเทศชาติเสียหายล่มจมเป็นเรื่องปกติ
รัฐบาลอย่ายอมประชาธิปัตย์
ยึดกุมสภาและหลักการไว้ให้แม่นมั่นมากที่สุด
การทำประชามติเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
การให้สัตยาบัน ICC ต้องรีบกระทำ
รัฐบาลยิ่งลักษณ์
อย่ายอมทำตามการแบล็คเมล์ของพรรคฝ่ายค้านกระหายเลือด
ที่แพ้ไม่เป็นเช่นประชาธิปัตย์
จำต้องพูดถึงพรรคขุนนางประชาธิปัตย์
ที่มา: สงครามปกป้องอภิชนาธิปไตย vs สงครามปกป้องประชาธิปไตย: ในนามต้านนิรโทษกรรม
12 พฤศจิกายน 2556
พรรคประชาธิปัตย์ที่มีกำเนิดเมื่อวันจักรี 6 เมษายน 2489 ด้วยจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นตัวแทนของราชวงศ์และขุนนางอำมาตย์ในรัฐสภา ก็ได้ทำหน้าที่อย่างแข็งขันสมกับอุดมการณ์ของพรรค เพื่อเอาชนะคู่แข่งทางการเมืองด้วยไพ่เหนือกว่าในฐานะสมาชิกราชวงศ์และบุคคลใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท ผู้พิทักษ์รักษาไว้ชื่อระบบ “อภิสิทธนาธิปไตยใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร” ที่กระทำทุกช่องทางเพื่อกุมบังเหียนการเมืองในประเทศ – ไม่ว่าจะด้วยเล่ห์เหลี่ยม กลอุบาย ทั้งในสภาและนอกสภา มาตลอด 67 ปีที่ผ่านมา
เป็นพรรคการเมืองที่อยู่ยั้งยืนยงและเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย ที่แทบจะไม่เคยชนะการเลือกตั้งได้เสียงข้างมากที่สุดจนสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เอง และนับตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา ไม่เคยชนะการเลือกตั้งได้เสียงข้างมากพอจะให้สามารถตั้งรัฐบาลได้ พรรคนี้จึงเป็นพรรคฝ่ายค้าน “ทุกรูปแบบ” ทั้งในสภา-นอกสภา ตามกติกา-นอกกติกา ไม่สนแม้จะออกหน้าสนับสนุนขบวนการล้มรัฐบาลพันธมิตรรอยัลลิสต์ หรือสนับสนุนให้ทหารทำรัฐประหาร 2549 และได้รับอานิสงส์อย่างหน้าชื่นตาบานเมื่อศาลรัฐธรรมนูญของชนชั้นสูงล้ม 3 พรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาลในปี 2551 เพื่อปูทางให้พรรคประชาธิปัตย์สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ พร้อมกับการประกาศใช้มาตรการ “เขตกระสุนจริง” เพื่อการปราบปรามคนเสื้อแดงในเดือนพฤษภาคม 2553 จนทำให้ผู้ประท้วงถูกยิงเสียชีวิตกว่า 100 คน และอีกร่วม 2,000 คนได้รับบาดเจ็บ โดยอีกกว่า 2,000 คนถูกจับกุม และยังคงอยู่ในคุก (ห้ามประกัน) จนถึงบัดนี้ร่วม 40 คน
เมื่อเลือกตั้งครั้งล่าสุด 3 กรกฎาคม 2554 พรรคประชาธิปัตย์แพ้การเลือกตั้ง กลายเป็นพรรคฝ่ายค้านตามระบอบการเลือกตั้งอีกครั้ง ตลอดสองปีที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ – เหมือนเช่นเคย – ทำหน้าที่อย่างเดียวคือ “ค้านทุกเรื่อง” และ “หาทางล้มรัฐบาล” ให้ได้ … เพื่อจะได้เป็นรัฐบาลอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อพรรคเพื่อไทยเพลี่ยงพล้ำเรื่อง พรบ. นิรโทษกรรมสุดซอย (ไม่ว่าจะด้วยเพราะถูกชนชั้นสูงหักหลัก หรือเพราะพรรคเพื่อไทยไม่มีหลักการที่ชัดเจนพอก็ตาม) พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเริ่มอับจนหนทางมากขึ้นเรื่อยๆ และก็สู้อย่างคนอับจนหนทางราวกับหมาจนตรอกมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ได้โอกาสใช้เรื่อง “การค้านนิรโทษกรรมให้ทักษิณ” ปลุกระดมมวลชนคนเคยใส่เสื้อเหลืองขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ซึ่งครั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์ทุ่มสุดตัว … ขนขุนพลและแกนนำพรรคหลายคน ถึงขั้นลาออกจากตำแหน่งในพรรค มาเป็นผู้ดำเนินรายในเวทีประท้วงที่ตั้งกระจายอยู่หลายจุดรอบๆ ทำเนียบรัฐบาล ยิ่งกว่านั้นแกนนำพรรคคนสำคัญส่งหนังสือลาออกจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร 9 คน เมื่อเช้าวันที่ 12 พฤศจิกายน 2556 ที่ผ่านมา
พรรคประชาธิปัตย์ตระหนักดีว่า การเล่มเกมการเมืองอิงแอบไม่ปล่อยกับ “ความรักและความเป็นเจ้าของสถาบันพระมหากษัตริย์” ของพรรคประชาธิปัตย์และอภิสิทธิชนคนชั้นสูงที่ออกหน้าโดยพรรคประชาธิปัตย์อย่างเปิดเผยครั้งนี้ เป็นโอกาสครั้งสุดท้ายของพรรค ที่จะยังคงสามารถเล่นเกมการเมืองในนามสถาบันฯ ได้เช่นนี้
พวกเขาจึงมีเป้าหมายเดียวคือ ต้อง “ชนะ” เท่านั้น และความต้องการ “ชนะเท่านั้น” ครั้งนี้อาจจะเดิมพันด้วยรัฐประหาร ด้วยเลือดเนื้อของประชาชนบนท้องถนน และด้วยการชะงักงันทางการเมือง และการพาประเทศถอยหลังไปอีก 10 หรือ 20 ปี หรือ 100 ปี … ซึ่งจะเป็นโศกนาฎกรรมอีกครั้งหนึ่งที่อีลีตเมืองไทยที่คุ้นชินกับการเมือง “อภิชนาธิปไตยใต้ร่มพระบรมโพธิสัมภาร” กระทำอย่างอำมหิตกับประเทศชาติและประชาชน โดยไม่ใส่ใจในความเสียหายทางตรงในด้านชีวิตเลือดเนื้อและทรัพย์สิน หรือในทางบรรยากาศการเมือง ทั้งในด้านการสั่นคลอนทางเสถียรภาพทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ และทางสังคม ที่จะเกิดขึ้นจากการชะงักงันของการเมืองเพียงเพื่อสนอง “อีโก้/อัตตา และโมหะจริต” ของพวกเขาเท่านั้น
--------------
หมายเหตุ
วันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ประกาศว่าพรรคมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า ส.ส. ของพรรคลาออกยกพรรค
อภิสิทธิ์กับสุเทพ เรียกร้องตลอดว่าให้ "คืนอำนาจให้ประชาชน"
คืนอำนาจให้ประชาชนประสาอะไรวะ ไม่ยอมรับการยุบสภาและการเลือกตั้งใหม่
แต่ดันขอเป็นคนตั้งรัฐบาลเอง
นี่มันไม่ใช่การคืนอำนาจให้ประชาชนโว๊ย
แต่เป็น "การกบฎ" และ "ปล้นอำนาจประชาชน"
คนที่ไม่ต้องจบปริญญาก็ยังเข้าใจเลย
แต่ไม่เข้าใจว่าทำไม ส.ส.ประชาธิปัตย์และคนกรุงเทพจำนวนหนึ่งถึงไม่เข้าใจ
ถ้าได้ครองสภาแล้วละก็
พรรคประชาธิปัตย์เกาะเก้าอี้แน่นยิ่งกว่ากาวตราช้างซะอีก
แม้จะไม่ได้คะแนนเสียงมากที่สุด พรรคนี้ก็ดันชวนขึ้นเป็นนายกจนได้ในปี 2540 และก็ไม่ยอมปล่อยตำแหน่งง่ายๆ แม้จะถูกฝ่ายค้านประท้วงลาออกยกพรรค
แม้จะยิงคนเสื้อแดงตายไปร่วม 100 ศพ บาดเจ็บร่วม 2,000 คน อภิสิทธิ์ที่แย่งรัฐบาลมาจากสมชาย เพราะคนเสื้อเหลืองช่วยยึดสนามบิน และศาลรัฐธรรมนูญช่วยประกาศยุบ 3 พรรคร่วมรัฐบาลในปี 2551 (หลังจากส่งเสริมรัฐประหาร 2549 แล้วก็ยังไม่ชนะการเลือกตั้งอยู่ดี) ... ก็เลยกอดเก้าอี้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแน่นไม่ยอมปล่อย ยื้อจนเกือบครบวาระ
ถ้าคราวนี้อภิสิทธิ์ได้ครองรัฐบาลโดยไม่ต้องชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง สงสัยจะกอดตำแหน่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีจนตายแน่ๆ
นับตั้งแต่อภิสิทธิ์เป็นรัฐบาลในปี 2551
รัฐบาลไทยต้องกู้เงินต่างประเทศและในประเทศปีละประมาณ 400,000 ล้านบาท (สี่แสนล้านบาท) ทุกปี
แม้แต่ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ประเทศไทยก็ยังไม่สามารถหยุดกู้เงินต่างประเทศเพื่อมาโป๊ะงบประมาณแผ่นดินที่ขาดดุล และเพื่อใช้ในโครงการต่างๆ ของทั้งสองรัฐบาลมาจนถึงบัดนี้
ตราบใดที่การเมืองยังไม่นิ่ง
ไม่ว่ายิ่งลักษณ์จะไป
หรืออภิสิทธิจะมา
ประเทศไทยก็เสียหายปีละหลายแสนล้านบาททุกปี
และก็ไม่มีทีท่าว่าจะตั้งหลักได้ด้วยตัวเองในสภาวะการเมืองไร้เสถียรภาพเช่นนี้
อย่ามัวแต่ถามหาเงินสี่หมื่นล้าน (ที่ก็ได้มาแล้ว) กันอยู่เลยครับ
มาช่วยกันคิดดีกว่าว่า...
จะทำยังไงไม่ให้ประเทศไทยเสียหายปีละหลายแสนล้านบาทกันทุกปี
ดีกว่านะครับ!
ถ้านักธุรกิจที่หนุนม๊อบกบฎอยู่ตอนนี้ อยากเอาชนะชินวัตรจนสามารถลุกมาถือไมค์และนำม๊อบกันอย่างไม่กลัวผิวเสียกันเช่นนี้
ผมว่าหลายตระกูลรวยกว่าชินวัตรอีก อย่าเล่นนอกกติกาเลยนะฮะ
มาตั้งพรรคการเมืองแข่งกับชินวัตรเถอะนะฮะ สนุกกว่าและสง่างามกว่าการยอมเป็นเครื่องมือให้พรรคการเมืองที่หมดอนาคตและทำตัวเป็น "หมาบ้าจนตรอก" เช่นประชาธิปัตย์ในขณะนี้มากมายนัก
The lesson learn from Thailand's chaos, that have been going on for 7 years, is that NGOs and trade unions do not understand and do not care about democracy.
บทเรียนจากประเทศไทยจากสภาวะยุ่งเหยิงทางการเมืองในช่วง 7 ปีที่ผ่านมาคือ NGOs และสหภาพแรงงานไม่เข้าใจประชาธิปไตยและไม่สนใจมันด้วย
เพิ่งจะสร้างกันเมื่อทศวรรษ 2480 นี้เอง
โดยที่กระบวนการสร้างชาติไทย
กระทำกันอย่างบ้าคลั่ง
บนการเชิดชูวิถึชีวิตคนกรุงเทพเมืองหลวง
และอัดฉีดกระบวนการสร้างวัฒนธรรม "ไทย" ขึ้นใหม่
ที่ดูถูกเหยียดหยามจนถึงขั้นทำลายวิถีชีวิตและวัฒนธรรม
ของภูมิภาคและชาติพันธุ์อื่นๆ
และยังบังคับให้คนในภูมิภาคอื่นๆ
ต้องปฏิบัติตามและร่วมเชิดชูในนาม "ชาติไทย"
ถ้าชาติไทยยังอยู่ในนิยามนี้
ผมว่าเรากลับไปใช้ชื่อ "ชาติสยาม"
พร้อมทั้งกระจายอำนาจสู่หัวเมืองต่างๆ
จะดีกว่านะครับ
- - - -
จากติสต์จบจากศิลปากรคนหนึ่ง ถึง เพื่อน พี่ น้องศิลปากร
เวลาเห็นเพื่อน พี่ น้อง ศิลปากร แม่งเย้วๆกับม็อบพันธมิตร จนล่าสุดกับม็อบเทือกสุบรร ณ นี่กูเข้าใจนะ แต่กุอยากบอกว่า ไอ้การบริหารประเทศนี่ แม่งมึงจะทำติสต์แบบที่มึง เรียน มึงทำงานไม่ได้นะ แม่งคนละเรื่อง
- - - -
พวกละโมบและกระหายอำนาจอย่างเห็นแก่ตัวที่สุดแห่งประชาธิปัตย์กลุ่มนี้ เป็นกลุ่มนักการเมืองที่ไม่เคยยอมรับความพ่ายแพ้
ที่โหดเหี้ยมจนพร้อมพาทั้งประเทศล่มจมไปกับการแพ้ไม่เป็นของตัวเอง
ในประเทศที่มีพร้อมทุกอย่างเช่นประเทศไทย
ต้องล่มจมกันครั้งแล้วครั้งเล่า
ไปกับการทะเยอทยานกระหายอำนาจ
เกินความสามารถและศักยภาพที่ตัวเองมีของชนชั้นสูง
ที่เล่นเกมการเมืองเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง
ประเทศชาติเสียหายล่มจมเป็นเรื่องปกติ
รัฐบาลอย่ายอมประชาธิปัตย์
ยึดกุมสภาและหลักการไว้ให้แม่นมั่นมากที่สุด
การทำประชามติเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
การให้สัตยาบัน ICC ต้องรีบกระทำ
รัฐบาลยิ่งลักษณ์
อย่ายอมทำตามการแบล็คเมล์ของพรรคฝ่ายค้านกระหายเลือด
ที่แพ้ไม่เป็นเช่นประชาธิปัตย์
- - - -
ที่มา: สงครามปกป้องอภิชนาธิปไตย vs สงครามปกป้องประชาธิปไตย: ในนามต้านนิรโทษกรรม
12 พฤศจิกายน 2556
พรรคประชาธิปัตย์ที่มีกำเนิดเมื่อวันจักรี 6 เมษายน 2489 ด้วยจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นตัวแทนของราชวงศ์และขุนนางอำมาตย์ในรัฐสภา ก็ได้ทำหน้าที่อย่างแข็งขันสมกับอุดมการณ์ของพรรค เพื่อเอาชนะคู่แข่งทางการเมืองด้วยไพ่เหนือกว่าในฐานะสมาชิกราชวงศ์และบุคคลใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท ผู้พิทักษ์รักษาไว้ชื่อระบบ “อภิสิทธนาธิปไตยใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร” ที่กระทำทุกช่องทางเพื่อกุมบังเหียนการเมืองในประเทศ – ไม่ว่าจะด้วยเล่ห์เหลี่ยม กลอุบาย ทั้งในสภาและนอกสภา มาตลอด 67 ปีที่ผ่านมา
เป็นพรรคการเมืองที่อยู่ยั้งยืนยงและเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย ที่แทบจะไม่เคยชนะการเลือกตั้งได้เสียงข้างมากที่สุดจนสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เอง และนับตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา ไม่เคยชนะการเลือกตั้งได้เสียงข้างมากพอจะให้สามารถตั้งรัฐบาลได้ พรรคนี้จึงเป็นพรรคฝ่ายค้าน “ทุกรูปแบบ” ทั้งในสภา-นอกสภา ตามกติกา-นอกกติกา ไม่สนแม้จะออกหน้าสนับสนุนขบวนการล้มรัฐบาลพันธมิตรรอยัลลิสต์ หรือสนับสนุนให้ทหารทำรัฐประหาร 2549 และได้รับอานิสงส์อย่างหน้าชื่นตาบานเมื่อศาลรัฐธรรมนูญของชนชั้นสูงล้ม 3 พรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาลในปี 2551 เพื่อปูทางให้พรรคประชาธิปัตย์สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ พร้อมกับการประกาศใช้มาตรการ “เขตกระสุนจริง” เพื่อการปราบปรามคนเสื้อแดงในเดือนพฤษภาคม 2553 จนทำให้ผู้ประท้วงถูกยิงเสียชีวิตกว่า 100 คน และอีกร่วม 2,000 คนได้รับบาดเจ็บ โดยอีกกว่า 2,000 คนถูกจับกุม และยังคงอยู่ในคุก (ห้ามประกัน) จนถึงบัดนี้ร่วม 40 คน
เมื่อเลือกตั้งครั้งล่าสุด 3 กรกฎาคม 2554 พรรคประชาธิปัตย์แพ้การเลือกตั้ง กลายเป็นพรรคฝ่ายค้านตามระบอบการเลือกตั้งอีกครั้ง ตลอดสองปีที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ – เหมือนเช่นเคย – ทำหน้าที่อย่างเดียวคือ “ค้านทุกเรื่อง” และ “หาทางล้มรัฐบาล” ให้ได้ … เพื่อจะได้เป็นรัฐบาลอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อพรรคเพื่อไทยเพลี่ยงพล้ำเรื่อง พรบ. นิรโทษกรรมสุดซอย (ไม่ว่าจะด้วยเพราะถูกชนชั้นสูงหักหลัก หรือเพราะพรรคเพื่อไทยไม่มีหลักการที่ชัดเจนพอก็ตาม) พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเริ่มอับจนหนทางมากขึ้นเรื่อยๆ และก็สู้อย่างคนอับจนหนทางราวกับหมาจนตรอกมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ได้โอกาสใช้เรื่อง “การค้านนิรโทษกรรมให้ทักษิณ” ปลุกระดมมวลชนคนเคยใส่เสื้อเหลืองขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ซึ่งครั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์ทุ่มสุดตัว … ขนขุนพลและแกนนำพรรคหลายคน ถึงขั้นลาออกจากตำแหน่งในพรรค มาเป็นผู้ดำเนินรายในเวทีประท้วงที่ตั้งกระจายอยู่หลายจุดรอบๆ ทำเนียบรัฐบาล ยิ่งกว่านั้นแกนนำพรรคคนสำคัญส่งหนังสือลาออกจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร 9 คน เมื่อเช้าวันที่ 12 พฤศจิกายน 2556 ที่ผ่านมา
พรรคประชาธิปัตย์ตระหนักดีว่า การเล่มเกมการเมืองอิงแอบไม่ปล่อยกับ “ความรักและความเป็นเจ้าของสถาบันพระมหากษัตริย์” ของพรรคประชาธิปัตย์และอภิสิทธิชนคนชั้นสูงที่ออกหน้าโดยพรรคประชาธิปัตย์อย่างเปิดเผยครั้งนี้ เป็นโอกาสครั้งสุดท้ายของพรรค ที่จะยังคงสามารถเล่นเกมการเมืองในนามสถาบันฯ ได้เช่นนี้
พวกเขาจึงมีเป้าหมายเดียวคือ ต้อง “ชนะ” เท่านั้น และความต้องการ “ชนะเท่านั้น” ครั้งนี้อาจจะเดิมพันด้วยรัฐประหาร ด้วยเลือดเนื้อของประชาชนบนท้องถนน และด้วยการชะงักงันทางการเมือง และการพาประเทศถอยหลังไปอีก 10 หรือ 20 ปี หรือ 100 ปี … ซึ่งจะเป็นโศกนาฎกรรมอีกครั้งหนึ่งที่อีลีตเมืองไทยที่คุ้นชินกับการเมือง “อภิชนาธิปไตยใต้ร่มพระบรมโพธิสัมภาร” กระทำอย่างอำมหิตกับประเทศชาติและประชาชน โดยไม่ใส่ใจในความเสียหายทางตรงในด้านชีวิตเลือดเนื้อและทรัพย์สิน หรือในทางบรรยากาศการเมือง ทั้งในด้านการสั่นคลอนทางเสถียรภาพทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ และทางสังคม ที่จะเกิดขึ้นจากการชะงักงันของการเมืองเพียงเพื่อสนอง “อีโก้/อัตตา และโมหะจริต” ของพวกเขาเท่านั้น
--------------
หมายเหตุ
วันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ประกาศว่าพรรคมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า ส.ส. ของพรรคลาออกยกพรรค
- - - -
คืนอำนาจให้ประชาชนประสาอะไรวะ ไม่ยอมรับการยุบสภาและการเลือกตั้งใหม่
แต่ดันขอเป็นคนตั้งรัฐบาลเอง
นี่มันไม่ใช่การคืนอำนาจให้ประชาชนโว๊ย
แต่เป็น "การกบฎ" และ "ปล้นอำนาจประชาชน"
คนที่ไม่ต้องจบปริญญาก็ยังเข้าใจเลย
แต่ไม่เข้าใจว่าทำไม ส.ส.ประชาธิปัตย์และคนกรุงเทพจำนวนหนึ่งถึงไม่เข้าใจ
- - - -
พรรคประชาธิปัตย์เกาะเก้าอี้แน่นยิ่งกว่ากาวตราช้างซะอีก
แม้จะไม่ได้คะแนนเสียงมากที่สุด พรรคนี้ก็ดันชวนขึ้นเป็นนายกจนได้ในปี 2540 และก็ไม่ยอมปล่อยตำแหน่งง่ายๆ แม้จะถูกฝ่ายค้านประท้วงลาออกยกพรรค
แม้จะยิงคนเสื้อแดงตายไปร่วม 100 ศพ บาดเจ็บร่วม 2,000 คน อภิสิทธิ์ที่แย่งรัฐบาลมาจากสมชาย เพราะคนเสื้อเหลืองช่วยยึดสนามบิน และศาลรัฐธรรมนูญช่วยประกาศยุบ 3 พรรคร่วมรัฐบาลในปี 2551 (หลังจากส่งเสริมรัฐประหาร 2549 แล้วก็ยังไม่ชนะการเลือกตั้งอยู่ดี) ... ก็เลยกอดเก้าอี้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแน่นไม่ยอมปล่อย ยื้อจนเกือบครบวาระ
ถ้าคราวนี้อภิสิทธิ์ได้ครองรัฐบาลโดยไม่ต้องชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง สงสัยจะกอดตำแหน่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีจนตายแน่ๆ
- - - -
รัฐบาลไทยต้องกู้เงินต่างประเทศและในประเทศปีละประมาณ 400,000 ล้านบาท (สี่แสนล้านบาท) ทุกปี
แม้แต่ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ประเทศไทยก็ยังไม่สามารถหยุดกู้เงินต่างประเทศเพื่อมาโป๊ะงบประมาณแผ่นดินที่ขาดดุล และเพื่อใช้ในโครงการต่างๆ ของทั้งสองรัฐบาลมาจนถึงบัดนี้
ตราบใดที่การเมืองยังไม่นิ่ง
ไม่ว่ายิ่งลักษณ์จะไป
หรืออภิสิทธิจะมา
ประเทศไทยก็เสียหายปีละหลายแสนล้านบาททุกปี
และก็ไม่มีทีท่าว่าจะตั้งหลักได้ด้วยตัวเองในสภาวะการเมืองไร้เสถียรภาพเช่นนี้
อย่ามัวแต่ถามหาเงินสี่หมื่นล้าน (ที่ก็ได้มาแล้ว) กันอยู่เลยครับ
มาช่วยกันคิดดีกว่าว่า...
จะทำยังไงไม่ให้ประเทศไทยเสียหายปีละหลายแสนล้านบาทกันทุกปี
ดีกว่านะครับ!
- - - -
ผมว่าหลายตระกูลรวยกว่าชินวัตรอีก อย่าเล่นนอกกติกาเลยนะฮะ
มาตั้งพรรคการเมืองแข่งกับชินวัตรเถอะนะฮะ สนุกกว่าและสง่างามกว่าการยอมเป็นเครื่องมือให้พรรคการเมืองที่หมดอนาคตและทำตัวเป็น "หมาบ้าจนตรอก" เช่นประชาธิปัตย์ในขณะนี้มากมายนัก
- - - -
เพิ่งรู้ว่า "มวลมหาประชาชน" ของม๊อบเทพนี่
คือคน "ขี่เครื่องบินมาม๊อบ นอนพลาซ่าแอนธินี และถือกระเป๋าปราด้า" เท่านั้นนะฮัฟ
คนอื่นไม่เกี่ยว กลับบ้านได้ฮัฟ!
- - - -
บทเรียนจากประเทศไทยจากสภาวะยุ่งเหยิงทางการเมืองในช่วง 7 ปีที่ผ่านมาคือ NGOs และสหภาพแรงงานไม่เข้าใจประชาธิปไตยและไม่สนใจมันด้วย