อย่าโยนความไม่เป็น "สุภาพบุรุษ" ของอภิสิทธิ์
ด้วยการด่าว่าเขา "หน้าตัวเมีย" หรือ "สุภาพตุ๊ด" เลยฮะ
เพราะความเป็นผู้หญิง ความเป็นตุ๊ด
ไม่ได้หมายความว่าต้องไม่เป็น "สุภาพบุรุษ"
เมื่ออภิสิทธิเขาไม่เป็น "สุภาพบุรุษ" จริง ก็ต้องกล้าใช้คำนั้น
ว่าไอ้เหี้ยนี้ไม่เป็นสุภาพบุรุษเลยไอ้ห่า
จะด่าผู้ชายที่ไม่เป็นผู้ชาย ก็ด่าตรงๆ
ผู้หญิง เกย์ ตุ๊ด ทอม ดี้ กระเทย
ไม่ใช่สัญลักษณ์เพื่อใช้แสดงความพร่องทางจริยธรรมของผู้ชาย
รู้สึกโกรธมากฮะ
วันนี้เพื่อซื้อบลูเบอร์รี่จากซุปเปอร์ของบริษัทที่นำเข้าคนงานไทยมาเก็บ
โดยคนงานไทยต้องใช้เงินคนละ 160,000 เพื่อการมาและการอยู่ตลอดฤดูกาล 2 เดือนที่ฟินแลนด์และสวีเดน
และปีนนี้คนงานขายเบอร์รี่ในราคากดต่ำสุดเพียง กิโลละ 1.4 หรือ 1.5 ยูโรเท่านั้น
แต่ราคาบลูเบอร์รี่ป่าของฟินแลนด์ที่แพคขายในห้างวันนี้คือ 15 ยูโรต่อกิโล
บริษัทได้เบอร์รี่ 3-4 ตันจากคนงานไทย 1 คนในแต่ละฤดู ซึ่งถ้าเก็บได้แค่นี้ ถือว่าคนงานทำงานฟรี และกลับบ้านโดยไม่เหลือเงินอะไรหลังจากหักค่าใช้จ่าย
นี่คือการส่งคนงานไทยมาเป็นแรงงานทาสปีละเป็นหมื่นคน เพียงเพื่อสร้างผลกำไรให้กับธุรกิจเบอร์รี่ที่สแกนดิเนเวียเท่านั้นเอง ที่มีกำไรก้าวกระโดดกันทุกปีๆ ละ 100-200 เท่า - เพราะไม่ต้องจ่ายต้นทุนแรงงานอะไร ... มีบริษัทค้าแรงงานจากไทยพาทาสมาทำงานให้พวกเขาฟรีๆ ทุกปี
ยิ่งเห็นก็ยิ่งโมโหในความโง่เขลาและมัวเมาในเงินใต้โต๊ะของข้าราชการกระทรวงแรงงานไทย
ที่ไม่เคยศึกษาปัญหาเรื่องนี้ และก็หยิ่งยะโส ดูถูกคนอีสานว่า "โง่ให้เขาหลอกเอง" โดยไม่เคยสนใจความเดือดร้อนของชาวบ้าน และพากันบ้าไปทั้งกระทรวง ไปกับการช่วยส่งเสริมงานเก็บเบอร์รี่ให้กับบริษัทค้าแรงงาน ให้หลอกลวงคนงานให้ต้องมาทำงานฟรีกันเช่นนี้ทุกปี ...
และไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ด้วย เป็นหมื่นคนทุกปี โดยรู้ทั้งรู้ว่าค่าใช้จ่ายสูงมากถึง 160,000 บาท กับงาน 2 เดือน ก็ยังไม่พากันเอะใจแม้แต่น้อย
โมโหจริงๆ นะฮะ!
อยากให้มีสักประเทศหนึ่งในโลกนี้จริงๆ ที่ประกาศรับรองนักกิจกรรมที่ต้องลี้ภัยการเมือง 112 จากประเทศไทย
สงสารคนที่ต้องทนอยู่ในเมืองไทยพร้อมกับความกลัวว่า เมื่อไรจะถูกจับ หรือจะถูกตำรวจออกหมายจับ
เซ็งรัฐบาลเพื่อไทยก็ตรงนี้นั่นล่ะ ที่น่าจะรู้ว่าทำดีแค่ไหนก็ไม่มีทางบริหารได้อย่างราบรื่นอยู่แล้ว ยกเลิก 112 ตั้งแต่เข้ามาบริหารปีแรกเสียก็สิ้นเรื่อง
มาตรา 112 จะได้ไม่ถูกนำมาทำร้ายประชาชนกันอยู่เช่นนี้
I am sorry to my Non-Thai friends for posting many comments today, much of it around Thai berry pickers and the current debate about whether Thailand will have a military coup or a ballot box.
ขอโทษนะฮะ วันนี้อัดหลายโพสต์ ตลอดทั้งวันเลย ถ้าไม่อยากอ่านก็ unfriend กันได้ตามอัธยาศัยนะฮะ
ด้วยการด่าว่าเขา "หน้าตัวเมีย" หรือ "สุภาพตุ๊ด" เลยฮะ
เพราะความเป็นผู้หญิง ความเป็นตุ๊ด
ไม่ได้หมายความว่าต้องไม่เป็น "สุภาพบุรุษ"
เมื่ออภิสิทธิเขาไม่เป็น "สุภาพบุรุษ" จริง ก็ต้องกล้าใช้คำนั้น
ว่าไอ้เหี้ยนี้ไม่เป็นสุภาพบุรุษเลยไอ้ห่า
จะด่าผู้ชายที่ไม่เป็นผู้ชาย ก็ด่าตรงๆ
ผู้หญิง เกย์ ตุ๊ด ทอม ดี้ กระเทย
ไม่ใช่สัญลักษณ์เพื่อใช้แสดงความพร่องทางจริยธรรมของผู้ชาย
* * *
ถ้าทหารกล้าทำรัฐประหารครั้งนี้
กูจะประท้วงสาวไส้ไปถึงโคตรพ่อโคตรแม่มันเลย
เหนื่อยแล้วกับพวกอีแอบไอ้แอบ
มึงกล้าทำกูก็กล้าชนว่ะ
* * *
ระหว่างทำงานก็ดูคลิป ตั้ง อาชีวะไป 2 คลิป
อดชื่นชมไม่ได้ว่า เขาเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่พูดปราศัยได้ดีมาก
เป็นนักไฮปาร์คโปรเฟชชั่นนอลเลยทีเดียวล่ะ
มีทั้งท่วงทำนอง จังหวะจะโคน และน้ำเสียงที่หนักแน่น
ที่สำคัญไม่เห็นมีตรงไหนที่ตั้งพูดพาดพิงสถาบันฯ เลย
ไม่เข้าใจว่าตำรวจใช้เหตุผลอะไร
ถึงออกหมายจับเขาด้วยข้อหามาตรา 112
ความล้มเหลวที่สุดของประชาธิปไตยในประเทศไทยในช่วง 80 ปีที่ผ่านมา
อาจจะเป็นเรื่องที่ว่า ...
แม้แต่หัวใจหลักของระบอบประชาธิปไตย คือเรื่อง "หนึ่งคนหนึ่งเสียง" ยังสามารถเป็นวาระแห่งการถกเถียงระดับชาติ ในหมู่อาจารย์มหาวิทยาลัยดังๆ ทั่วประเทศไทยกันอย่างครึกโครมไปได้เช่นนี้
ไม่น่าเชื่อจริงๆ ฮะ!
ซาบซึ้งน้ำตาไหล
ที่ได้คุยกับคนงานเก็บเบอร์รี่ที่บ้านม่วง สกลนคร หลายคน (ทั้งหมู่บ้าน)
แม้จะเป็นการคุยกันผ่านสาย เพื่อบอกเล่าความคิดถึงกัน
และยืนยันยืนหยัดว่าสู้ไม่ถอย สู้เต็มที่
และดีใจที่ข้อมูลที่พยายามทำมาเป็นเดือนได้เดินทางถึงมือคนงานเก็บเบอร์รี่แล้ว
คนงานเก็บเบอร์รี่ชาว Ber-Ex 50 คนนี่สู้อย่างเข้มแข็งจริงๆ
และการต่อสู้ยกสองของเราก็กำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว
หลังฤดูกาลเก็บเกี่ยว
เบื้องบนสู้เพื่อแย่งชิงความชอบธรรมในนามสภาประชาชน
ที่หมู่บ้านพวกเราสู้เพื่อขจัดขบวนการค้าแรงงานและกินกำไรบนหลังคนงานอีสาน
พวกเราก็ประกาศ "ไม่ชนะไม่เลิก" เหมือนกันฮะ เพื่อฟื้นคืนศักดิ์ศรีให้คนงานเก็บเบอร์รี่
อดชื่นชมไม่ได้ว่า เขาเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่พูดปราศัยได้ดีมาก
เป็นนักไฮปาร์คโปรเฟชชั่นนอลเลยทีเดียวล่ะ
มีทั้งท่วงทำนอง จังหวะจะโคน และน้ำเสียงที่หนักแน่น
ที่สำคัญไม่เห็นมีตรงไหนที่ตั้งพูดพาดพิงสถาบันฯ เลย
ไม่เข้าใจว่าตำรวจใช้เหตุผลอะไร
ถึงออกหมายจับเขาด้วยข้อหามาตรา 112
* * *
ความล้มเหลวที่สุดของประชาธิปไตยในประเทศไทยในช่วง 80 ปีที่ผ่านมา
อาจจะเป็นเรื่องที่ว่า ...
แม้แต่หัวใจหลักของระบอบประชาธิปไตย คือเรื่อง "หนึ่งคนหนึ่งเสียง" ยังสามารถเป็นวาระแห่งการถกเถียงระดับชาติ ในหมู่อาจารย์มหาวิทยาลัยดังๆ ทั่วประเทศไทยกันอย่างครึกโครมไปได้เช่นนี้
ไม่น่าเชื่อจริงๆ ฮะ!
* * *
ที่ได้คุยกับคนงานเก็บเบอร์รี่ที่บ้านม่วง สกลนคร หลายคน (ทั้งหมู่บ้าน)
แม้จะเป็นการคุยกันผ่านสาย เพื่อบอกเล่าความคิดถึงกัน
และยืนยันยืนหยัดว่าสู้ไม่ถอย สู้เต็มที่
และดีใจที่ข้อมูลที่พยายามทำมาเป็นเดือนได้เดินทางถึงมือคนงานเก็บเบอร์รี่แล้ว
คนงานเก็บเบอร์รี่ชาว Ber-Ex 50 คนนี่สู้อย่างเข้มแข็งจริงๆ
และการต่อสู้ยกสองของเราก็กำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว
หลังฤดูกาลเก็บเกี่ยว
เบื้องบนสู้เพื่อแย่งชิงความชอบธรรมในนามสภาประชาชน
ที่หมู่บ้านพวกเราสู้เพื่อขจัดขบวนการค้าแรงงานและกินกำไรบนหลังคนงานอีสาน
พวกเราก็ประกาศ "ไม่ชนะไม่เลิก" เหมือนกันฮะ เพื่อฟื้นคืนศักดิ์ศรีให้คนงานเก็บเบอร์รี่
* * *
วันนี้เพื่อซื้อบลูเบอร์รี่จากซุปเปอร์ของบริษัทที่นำเข้าคนงานไทยมาเก็บ
โดยคนงานไทยต้องใช้เงินคนละ 160,000 เพื่อการมาและการอยู่ตลอดฤดูกาล 2 เดือนที่ฟินแลนด์และสวีเดน
และปีนนี้คนงานขายเบอร์รี่ในราคากดต่ำสุดเพียง กิโลละ 1.4 หรือ 1.5 ยูโรเท่านั้น
แต่ราคาบลูเบอร์รี่ป่าของฟินแลนด์ที่แพคขายในห้างวันนี้คือ 15 ยูโรต่อกิโล
บริษัทได้เบอร์รี่ 3-4 ตันจากคนงานไทย 1 คนในแต่ละฤดู ซึ่งถ้าเก็บได้แค่นี้ ถือว่าคนงานทำงานฟรี และกลับบ้านโดยไม่เหลือเงินอะไรหลังจากหักค่าใช้จ่าย
นี่คือการส่งคนงานไทยมาเป็นแรงงานทาสปีละเป็นหมื่นคน เพียงเพื่อสร้างผลกำไรให้กับธุรกิจเบอร์รี่ที่สแกนดิเนเวียเท่านั้นเอง ที่มีกำไรก้าวกระโดดกันทุกปีๆ ละ 100-200 เท่า - เพราะไม่ต้องจ่ายต้นทุนแรงงานอะไร ... มีบริษัทค้าแรงงานจากไทยพาทาสมาทำงานให้พวกเขาฟรีๆ ทุกปี
ยิ่งเห็นก็ยิ่งโมโหในความโง่เขลาและมัวเมาในเงินใต้โต๊ะของข้าราชการกระทรวงแรงงานไทย
ที่ไม่เคยศึกษาปัญหาเรื่องนี้ และก็หยิ่งยะโส ดูถูกคนอีสานว่า "โง่ให้เขาหลอกเอง" โดยไม่เคยสนใจความเดือดร้อนของชาวบ้าน และพากันบ้าไปทั้งกระทรวง ไปกับการช่วยส่งเสริมงานเก็บเบอร์รี่ให้กับบริษัทค้าแรงงาน ให้หลอกลวงคนงานให้ต้องมาทำงานฟรีกันเช่นนี้ทุกปี ...
และไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ด้วย เป็นหมื่นคนทุกปี โดยรู้ทั้งรู้ว่าค่าใช้จ่ายสูงมากถึง 160,000 บาท กับงาน 2 เดือน ก็ยังไม่พากันเอะใจแม้แต่น้อย
โมโหจริงๆ นะฮะ!
* * *
และที่น่าโมโหยิ่งกว่าคือ ตอนนี้ปัญหาแรงงานเบอร์รี่เป็นประเด็นที่มีคนสนใจเยอะ ก็เลยมีนักแรงงาน นักสหภาพและ NGOs เริ่มสนใจ แต่พวกนี้ก็ไม่เคยทำงานเกาะติดเรื่องนี้ มีแต่อ่านข้อมูลที่ส่วนมากก็ทำโดยจรรยา หรือมาขอข้อมูลจากจรรยา ซึ่งแทบจะเป็นคนเดียวเลยที่เกาะติดและตามให้ความช่วยเหลือคนงานมาตั้งแต่ปี 2009 ทำงานโดยที่ไม่มีองค์กรหรือสหภาพไหนให้ทุนทำงานหรือสนับสนุนการต่อสู้อย่างต่อเนื่องมาตลอด 3-4 ปี
และยิ่งแย่ไปกว่านี้คือ แม้แต่แม่ง! ขนาดคนงานประท้วงก็ไม่เคยลงมาเยี่ยมมาพูดคุย แต่คิดโครงการจะวางมาตราการเรื่องการคุ้มครองคนงานเก็บเบอร์รี่ โดยไม่เคยรู้เท่าทันขบวนการค้าแรงงานเหล่านี้ และโดยที่ไม่เคยลงพื้นที่ถามคนงานหรือคนทำงานเรื่องนี้เลย
จริงๆ แล้วพวกนี้ก็ไม่กล้าคุยกับจรรยาโดยตรงด้วย แอบไปงุบงิบเขียนโครงการหาทุนทำเรื่องนี้ อ้างตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้กันอย่างหน้าไม่อาย ...
เห็นข่าวแต่ละครั้งก็เศร้าใจทุกทีเหมือนกัน เพราะเห็นว่ายิ่งพวกนี้ NGOs เข้ามา โดยไม่เข้าใจ ยิ่งทำให้ไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ตรงจุดมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะพวกเขามีแนวโน้มเข้าข้างธุรกิจมากกว่าเข้าข้างคนงาน
เห็นตั้งพรรคการเมืองกันมากขึ้น
นี่ก็เป็นแผนนโยบายพรรคการเมือง
ที่ถ้าผมได้กลับไทย
ผมก็คงพยายามจะตั้งหรือผลักดันให้มีการนำนโยบายเหล่านี้ไปปฏิบัติ
อ้อ ยกเลิกมาตรา 112 และกฎหมายที่คุ้มครองอภิสิทธิชนคนชั้นสูงในสังคมไทย อยู่ในแผนนโยบายข้อ 1 เลยนะขอรับ
อ่านภาษาปฏิรูปของนักวิชาการแล้วทำเอาคนงงได้เหมือนกันนะฮะ
มีการคิดคำศัพท์แสงใหม่ๆ เพื่อสร้างความมึนงงให้สังคมกันเก่งจริงๆ
อาทิคำว่า "ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง" ที่เริ่มเห็นใช้กัน
คำว่า "ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง" มันเป็นไปไม่ได้ในรูปธรรม
ถ้าจะเป็นก็จะต้องมีการทำ "ปฏิวัติรัฐประหาร" ให้สำเร็จเสียก่อน
คำนี้เป็นการเลี่ยงความหมายที่แท้จริงของมันคือ "ปฏิวัติก่อนการเลือกตั้ง"
3-4 ปีที่ตามการเมืองอย่างมากกว่าปกติ
สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือ
การต้องตีความคำพูดหรือข้อเขียนระหว่างบรรทัด
ของนักวิชาการ นักการเมือง ชนชั้นสูง และนักปราศรัยการเมือง
กันอยู่ตลอดเวลา ไปกับวาทะกรรม "ถึงตายก็พูดไม่ได้"
นอกจากความรู้สึกเหนื่อย
ไม่มั่นใจว่าตีความถูกหรือเปล่าวะแล้ว
สิ่งหนึ่งที่ส่งผลต่อกูมากเหมือนกันคือ
ทำให้กูไม่ไว้ใจคำพูดของใครง่ายๆ ไปด้วย
และทำให้มองอะไรตรงๆ ตามคำพูด โดยอดระแวงและพยายามตีความว่า
มึงต้องการจะสื่อถึงอะไรวะ หรือต้องการจะสื่อถึงอะไรหรือเปล่า
ไม่ได้ไปด้วยเหมือนกัน
การเมืองทำให้เราต้องเป็นการเมืองกันไปด้วยเหมือนกันนะฮะ
โอ่! ชัดแจ๋วจริงๆ
นี่มันเป็นการไปเรียกร้องให้ทหารปฏิวัติชัดๆ
ทำกันแบบเปิดเผยออกสื่อชนิดไม่ต้องแอบประชุมลับกันอีกต่อไป
ไม่ใช่ประเทศที่มีสถิติรัฐประหารสูงที่สุดในโลก ทำไม่ได้เด็ดขาด!
และยิ่งแย่ไปกว่านี้คือ แม้แต่แม่ง! ขนาดคนงานประท้วงก็ไม่เคยลงมาเยี่ยมมาพูดคุย แต่คิดโครงการจะวางมาตราการเรื่องการคุ้มครองคนงานเก็บเบอร์รี่ โดยไม่เคยรู้เท่าทันขบวนการค้าแรงงานเหล่านี้ และโดยที่ไม่เคยลงพื้นที่ถามคนงานหรือคนทำงานเรื่องนี้เลย
จริงๆ แล้วพวกนี้ก็ไม่กล้าคุยกับจรรยาโดยตรงด้วย แอบไปงุบงิบเขียนโครงการหาทุนทำเรื่องนี้ อ้างตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้กันอย่างหน้าไม่อาย ...
เห็นข่าวแต่ละครั้งก็เศร้าใจทุกทีเหมือนกัน เพราะเห็นว่ายิ่งพวกนี้ NGOs เข้ามา โดยไม่เข้าใจ ยิ่งทำให้ไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ตรงจุดมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะพวกเขามีแนวโน้มเข้าข้างธุรกิจมากกว่าเข้าข้างคนงาน
* * *
นี่ก็เป็นแผนนโยบายพรรคการเมือง
ที่ถ้าผมได้กลับไทย
ผมก็คงพยายามจะตั้งหรือผลักดันให้มีการนำนโยบายเหล่านี้ไปปฏิบัติ
อ้อ ยกเลิกมาตรา 112 และกฎหมายที่คุ้มครองอภิสิทธิชนคนชั้นสูงในสังคมไทย อยู่ในแผนนโยบายข้อ 1 เลยนะขอรับ
* * *
มีการคิดคำศัพท์แสงใหม่ๆ เพื่อสร้างความมึนงงให้สังคมกันเก่งจริงๆ
อาทิคำว่า "ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง" ที่เริ่มเห็นใช้กัน
คำว่า "ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง" มันเป็นไปไม่ได้ในรูปธรรม
ถ้าจะเป็นก็จะต้องมีการทำ "ปฏิวัติรัฐประหาร" ให้สำเร็จเสียก่อน
คำนี้เป็นการเลี่ยงความหมายที่แท้จริงของมันคือ "ปฏิวัติก่อนการเลือกตั้ง"
* * *
3-4 ปีที่ตามการเมืองอย่างมากกว่าปกติ
สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือ
การต้องตีความคำพูดหรือข้อเขียนระหว่างบรรทัด
ของนักวิชาการ นักการเมือง ชนชั้นสูง และนักปราศรัยการเมือง
กันอยู่ตลอดเวลา ไปกับวาทะกรรม "ถึงตายก็พูดไม่ได้"
นอกจากความรู้สึกเหนื่อย
ไม่มั่นใจว่าตีความถูกหรือเปล่าวะแล้ว
สิ่งหนึ่งที่ส่งผลต่อกูมากเหมือนกันคือ
ทำให้กูไม่ไว้ใจคำพูดของใครง่ายๆ ไปด้วย
และทำให้มองอะไรตรงๆ ตามคำพูด โดยอดระแวงและพยายามตีความว่า
มึงต้องการจะสื่อถึงอะไรวะ หรือต้องการจะสื่อถึงอะไรหรือเปล่า
ไม่ได้ไปด้วยเหมือนกัน
การเมืองทำให้เราต้องเป็นการเมืองกันไปด้วยเหมือนกันนะฮะ
* * *
นี่มันเป็นการไปเรียกร้องให้ทหารปฏิวัติชัดๆ
ทำกันแบบเปิดเผยออกสื่อชนิดไม่ต้องแอบประชุมลับกันอีกต่อไป
ไม่ใช่ประเทศที่มีสถิติรัฐประหารสูงที่สุดในโลก ทำไม่ได้เด็ดขาด!
* * *
อยากให้มีสักประเทศหนึ่งในโลกนี้จริงๆ ที่ประกาศรับรองนักกิจกรรมที่ต้องลี้ภัยการเมือง 112 จากประเทศไทย
สงสารคนที่ต้องทนอยู่ในเมืองไทยพร้อมกับความกลัวว่า เมื่อไรจะถูกจับ หรือจะถูกตำรวจออกหมายจับ
เซ็งรัฐบาลเพื่อไทยก็ตรงนี้นั่นล่ะ ที่น่าจะรู้ว่าทำดีแค่ไหนก็ไม่มีทางบริหารได้อย่างราบรื่นอยู่แล้ว ยกเลิก 112 ตั้งแต่เข้ามาบริหารปีแรกเสียก็สิ้นเรื่อง
มาตรา 112 จะได้ไม่ถูกนำมาทำร้ายประชาชนกันอยู่เช่นนี้
* * *
ขอโทษนะฮะ วันนี้อัดหลายโพสต์ ตลอดทั้งวันเลย ถ้าไม่อยากอ่านก็ unfriend กันได้ตามอัธยาศัยนะฮะ