เมื่อคนอ่านชวนซื้อ "เปลื้องผ้าและไม่ไทยเลย"


A Freedommind Cat

มุมขายของ 01 - เปลื้องผ้าและไม่ไทยเลย Rerun (Full review)
(ปั่นก้นไหม้มาเมื่อกี้)

"วาบแรกที่อ่าน "เปลื้องผ้าและไม่ไทยเลย" จบ ฉันรู้สึกเหมือนกับการได้นั่งอยู่ในวงเหล้าฟังเหล่าสารพัดเพื่อนสาวนั่งเล่าถึงชีวิตรักของพวกเธอ ... ด้วยความเคารพ ... อย่างเมามันส์ เกินกว่าที่วงสนทนาอื่นๆ จะ "เปลื้อง" ตนเองได้หมดจดได้สะท้อนสะท้านเยี่ยงนั้น ด้วยภาษาที่ธรรมดาๆ อาจจะดู "ห่าม" สำหรับบางคน หากภาษาแบบนี้ "เพื่อน" เท่านั้นที่จะสามารถใช้มันถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของพวกเธอได้อย่างตรงไปตรงมา แน่นอนว่าเรื่องเหล่าเธอทั้งหลายนั้นมีหลากรสชาติทั้งสุขกระสันต์ หวานหอม หากมีรสเฝื่อนจนขมปี๋ในบางชั่วขณะหรืออาจจะมีแม้กระทั่งคำถามต่อสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็ตาม ทว่าชีวิตรักของเหล่าเธอนั้นเล่า ก็เป็นวงจรชีวิตรักธรรมดาสามัญที่หลากผู้คนอาจจะกำลังประสบกับสิ่งเหล่านี้อยู่ .... 

หากมิใช่ในวง "เพื่อนสนิท" กระนั้นใครกันหรือจะกล้าเปิดเปลื้องชีวิตทุกด้านของตนเองได้หมดจดโดยเฉพาะ "เรื่องชีวิตทางเพศ" ??? ด้วยเจตนาของผู้เขียนที่ "ต้องการให้เรื่องชีวิตทางเพศเป็นเรื่องที่สามัญที่สามารถพูดกันได้อย่างตรงไปตรงมา" ส่วนแรกของหนังสือซึ่งก็คือ "เปลื้องผ้า" ได้ทำหน้าที่ประดุจเหล่าเพื่อนสาวที่แสนห่ามทว่าซื่อตรงกับการบอกเล่าเรื่องชีวิตทางเพศของตนเองทั้งๆ ที่บางเรื่องนั้นสุดจะทานทนก็ตาม .......

ขณะที่ส่วนแรกของหนังสือกระตุ้นผู้อ่านด้วยสารพัดอารมณ์ที่ชาวโลกพึงจะมี ส่วนที่สองของหนังสือ "ไม่ไทยเลย" ผู้เขียนต้องการจะนำเสนอแนวคิดและทัศนคติของตนที่ต้องการนำเสนอว่า "เรื่องเพศเป็นเรื่องที่ไม่ควรดัดจริต" หรือกล่าวได้อีกทางหนึ่งคือ สังคม (โดยเฉพาะสังคมไทย) ควรยอมรับว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องธรรมดาของชาวโลก รวมทั้งควรเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถพ้นจากกรอบอนุรักษ์นิยมทั้งหลายที่กดขี่ชีวิตทางเพศ (การรักษาพรหมจรรย์ก่อนแต่งงาน , ภาระของการทำแท้งที่กดขี่ความเป็นมนุษย์ของสตรี, การปิดโอกาสไม่ให้เพศทางเลือกมีที่ยืนในสังคมอย่างมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกับเพศของกระแสหลัก ฯลฯ) ได้เพื่อให้ที่จะให้คนเราสามารถแสดงออกทางเพศและใช้ชีวิตทางเพศได้หลากหลายให้สอดคล้องกับความต้องการของแต่ละบุคคลที่อยู่ในโลกที่มีแนวโน้มเป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น"

ป.ล ตอนเห็นภาพปกหนังสือแบบเต็มๆ กับเหล่าภาพประกอบของหนังสือเล่มนี้ฉันแบบกรี้ดแตก โทษฐานที่ว่าแซ่บมั่กๆ เกินค่า E-Book ที่มีราคาเพียง 120 บาทไปโข .........................
* * *


จี๊ด .... เรื่องเพศ ไม่ได้มีแค่ชายหรือหญิง เมื่อ คุณนาย ทุรมาลี ( Tikky Tourmaline ) ผู้กล้าประกาศตนว่าเป็นกะเทย และปวารณาว่าจะเกิดเป็นกะเทยอีกห้าร้อยชาติ ( ถ้าชาติภพและการเกิดใหม่มีจริง ) ลุกขึ้นมาเขียนถึง "เปลื้องผ้าและไม่ไทยเลย"

* * *

เพิ่งตัดสินใจซื้ออีบุ๊กส์ "เปลื้องผ้าและไม่ไทยเลย " มาเก็บไว้ใน ไอแพด หลังจากที่ได้อ่านจากดราฟต์ที่ผู้เขียนส่งมาให้เป็นบางส่วน

หนังสือเล่มนี้มีความน่าสนใจตรงที่ ผู้เขียนเปิดอกพูดถึงความคับข้องใจ ในฐานะเฟมินิสต์ ที่มองเรื่องเพศผ่านปัญหาสังคม ที่ยังมีความเหลื่อมล้ำทางเพศ ดังที่เราจะสังเกตได้จาก คำพูดที่ว่า ชายข้าวเปลือก หญิงข้าวสาร ที่โดยนัยยะในมุมมองของอิฉันคือ จะไปขึ้นที่ไหนก็ได้ แพร่พันธุ์ยังไงไม่มีใครว่า แต่ขณะที่ข้าวสาร เราต้องระวังทั้งมอด แมลง และ ความชื้นที่จะก่อให้เกิดการเน่า กินตัว

มันเป็นความอยุติธรรมที่สังคมไทยยอมรับกันอย่างหน้าชื่นตาบาน ดังนั้น เราจึงหนีไม่พ้นวังวนของปัญหา เมียหลวงเมียน้อย ลูกไม่มีพ่อ ดังที่เราเห็นจากละครหลังข่าวหลายๆเรื่อง และจากหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์รายวัน

อีกทั้ง เรื่องเพศ ซึ่งในมุมมองของอิฉันนั้น มันเป็นเรื่องแสนจะปกติธรรมดาสามัญ เหมือนกินข้าว กินขนม ดังนั้น เราควรจะพูดคุยเรื่องเหล่านี้กันได้อย่างเปิดอก ไม่ใช่ พอใครเปิดประเด็นเรื่องเพศขึ้นมา เหล่าชนผู้มีศีลธรรมจรรยาอันดี ยกมือทาบอก ทำตาโต อุทานว่า "บัดสี บัดเถลิง เรื่องนี้คนไทยไม่พูดกัน " โดยหารู้ไม่ว่า เรื่องเพศนั้น คนโบราณเองก็ให้ความสำคัญ แม้จะน้อยกว่าชีวิตประจำวันในด้านอื่น แต่มันก็คือส่วนเสริมที่จะเติมเต็มชีวิตให้สมบูรณ์ขึ้น แต่สิ่งที่สมบูรณ์สุดยอดคือ โลกุตระในสายตาของท่าน ดังที่นักเขียนอินเดียท่านหนึ่งกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า ไม่มีโลกียะก็ไม่มีโลกุตระ

เพศสัมพันธ์ มันมีความหมายลึกซึ้งเกินกว่า การที่จะมองแค่คนสองคนสมสู่กัน มันมีทั้งบริบททางสังคม ชนชั้น เข้ามาประกอบด้วย อีกทั้งมันไม่ควรจะมีกฏเกณฑ์ตายตัว ดังที่ผู้เขียนเขียนเอาไว้ในคำนำว่า "ปัจจุบันนี้ เซ็กส์ของกูไม่มีเพศ มีแต่มนุษย์สองคนที่รักกัน ปราถนากัน นับถือ ให้เกียรติ ห่วงใยและดูแลกันเท่าที่ทำได้ "

ดังนั้น คนที่มองว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องสกปรกต่ำช้านั้น ลองตรองดูเถิด ว่าคุณโดนฝังหัวด้วยขนบวิคตอเรียนมานานแสนนาน นานจนคุณคิดว่านั่นคือส่วนหนึ่งของความเป็นไทยที่สุดแสนจะเลิศวิไลกว่าใครในโลกา และสุดท้าย ฝรั่งลูกหลานจารีตแบบวิคตอเรียนเองก็ได้คิดว่า มันไม่ถูกต้องทั้งหมด คุณค่าของมนุษย์ต่างหากที่เราควรจะให้ความสำคัญ

ใครที่มีลูกสาว มีลูกชาย ควรเตรียมพร้อมให้พวกเขาเรียนรู้และปรับตัวเรื่องนี้ เพื่อที่ว่า ปัญหาของน้องดาว แห่งฮอร์โมนส์ จะได้ทุเลาเบาบางลง และอคติทางเพศ คุณค่าของเนื้อเยื่อที่เรียกว่าพรหมจรรย์ก็จะได้ถดถอยความสำคัญลงไปพร้อมๆกันกับที่คุณค่าความเป็นมนุษย์ในตัวผู้อื่นคงจะเพิ่มปริมาณมากขึ้น

อยากรู้ก็เชิญอ่านค่ะ  http://booksoho.com/#book?id=3

 * * *

เมื่อชายหนุ่มคนรุ่นใหม่ทำงานเพื่อสิทธิมนุษยชนตามตะเข็บชายแดน แต่มีหัวใจสุดทันสมัย ก็อ่าน "เปลื้องผ้าและไม่ไทยเลย" และบอกว่าผู้ชายก็ควรจะอ่านหนังสือเล่มนี้ 

แนะนำหนังสือ "เปลื้องผ้าและไม่ไทยเลย"

โดย Rose Jovi

(ฝ้ายอ่านหนังสือของนักเขียนอีโรติก  อนาอิส นิน  ที่เขียนไว้ว่า “ Last night I wept. I wept because the process by which I have become woman was painful.”   เมื่อคืนกูร้องไห้  กูร้องไห้เพราะว่ากว่ากูจะเป็นผู้หญิงแบบกูได้นั้น  มันเจ็บปวดเหลือเกิน... )

กว่าเราจะเป็นเราในวันนี้ ต้องผ่านอะไรมาบ้าง... กว่าทั้งชาย-หญิงที่หกล้มเพราะตัดสินใจผิดพลาดกับชีวิต จะกลับมาลุกขึ้นยืนตรงได้อีกครั้ง เขาและเธอต้องใช้เวลานานเท่าไร และต้องผ่านความเจ็บปวดทุรน ต้องฝืนทนกล้ำกลืนมากเท่าไร....?

คงไม่มีคำตอบจากใครๆเป็นสูตรสำเร็จสำหรับระยะเวลาที่แต่ละคนต้องใช้ไปกับการเยียวยาจิตใจตัวเอง แต่ก็มีคำตอบที่เป็นสูตรสำเร็จตรงกันอย่างแน่นอนว่าทุกคนจะต้องเจ็บปวด ความพลั้งพลาดในชีวิตมักจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้เสมอ จะรอยลึก-ตื้น หรือใหญ่-เล็ก นั่นก็แล้วแต่ความเจ็บปวดของแต่ละคน

ความรักไม่มีสูตรสำเร็จ ไม่มีเงื่อนไขตายตัว ไม่มีใครจะคาดการณ์ได้ล่วงหน้าว่า ความรักอันแสนหวานซาบซึ้งในตอนนี้จะจีรังยั่งยืนและหวานหอมไม่ขมขื่นไปตลอด ใช่... ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้เลย โดยเฉพาะยิ่งในห้วงรัก ทุกอย่างในชีวิตยิ่งดูราวกับอยู่ในเทพนิยาย คู่รักจะเอิบอิ่มอยู่แต่ในห้วงความสุขจนละเลยลืมเลือนไปว่า ความทุกข์นั้นมีอยู่และมันก็ไม่ได้อยู่ไกลความสุขเลยแม้แต่น้อย
(เพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น  ทั้งคู่ก็ต้องเผชิญหน้ากับความตึงเครียดเรื่องการเร่งสร้างเนื้อสร้างตัวตามวิถีชนชั้นกลางผู้มีการศึกษาในมหานคร  ความคิดเรื่องความมั่นคงในทรัพย์สินหรือการพยายามเอาความเป็น ”ครอบครัว”  มาครอบคู่ชีวิตหนุ่มสาวในเวลาเร็วเกินไป  ความสัมพันธ์ก็เริ่มสั่นคลอน  การมีปากเสียงระหว่างคนดื้อทั้งสองคนก็เริ่มรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ  และบ่อยขึ้นเรื่อยๆ  เช่นกัน...)

และนั่นก็คือปฐมบทที่ทำให้ฝ้ายต้องเผชิญกับนรกบนโลกมนุษย์ไปอีกหลายปี ตราบจนถึงวันที่เธอตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ก้าวออกมาจากขุมนรกแห่งชีวิตคู่นั้นด้วยตัวเธอเอง.....
สำหรับจี๊ดแล้วก็ไม่ต่างกันกับฝ้าย เพียงแต่จี๊ดมีความมั่นใจในตัวเองสูงจึงทำให้เธอลุกขึ้นได้เร็วกว่าฝ้าย เมื่อเธอเห็นว่า ความสัมพันธ์ในรักสามเส้า(หรือกว่านั้น)กับชายหนุ่มชาวต่างชาติผู้โรแมนติกผู้นี้ มันเจ็บปวดเกินฝืนทนต่อไป เธอก็ตัดสินใจเลือกที่จะลุกออกมาเอง แม้จะเจ็บปวดใจ แต่เธอก็มีกาลเวลาที่จะคอยช่วยเยียวยาและรักษาให้เธอหายจากความเจ็บปวดนั้น


“เปลื้องผ้า และไม่ไทยเลย” เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นและบทความที่กลั่นออกมาจากชีวิตจริงๆของผู้คนจริงๆ ที่ผู้อ่านอาจจะรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเคยเห็นผู้คนที่เป็นตัวละครในเรื่อง ซึ่งในชีวิตจริงเราอาจจะไม่รู้ว่าพวกเขาเหล่านั้นเจ็บปวดเท่าไหร่? คิดเห็นอย่างไร? และเยียวยาตนเองอย่างไร? กว่าจะกลับมาลุกขึ้นยืนได้อีกครั้งในวันนี้ แต่ในรวมเรื่องสั้นเล่มนี้ จะฉายภาพให้เราได้เห็นกันว่าผู้หญิงที่ต้องตกอยู่ในห้วงทุกข์ยากลำบาก ทั้งในชีวิตคู่และความสัมพันธ์ทางเพศ ภายใต้บริบทของสังคมจารีตที่กดขี่และตราหน้าผู้หญิงให้ต่ำต้อยด้อยกว่าชาย ว่าพวกหล่อนมีวิธีคิดอย่างไร มีวิธีเยียวยาตนเองอย่างไรเพื่อจะได้หลุดพ้นจากกรอบอันบีบคั้นเหล่านั้น

สังคมจารีตใช่แต่จะกดขี่ผู้หญิงในการใช้ชีวิตคู่เท่านั้น แต่ยังลงลึกไปถึงความสุขหรือไม่สุขสมในเพศสัมพันธ์อีกด้วย โดยที่พวกเธออาจจะไม่รู้ตัวเองเลยด้วยซ้ำ ว่าเพศสัมพันธ์ที่ผ่านไปในทุกค่ำคืนนั้น เป็นความสุขแล้วหรือไม่...?

ใช่แต่สังคมที่อิงศาสนาอย่างเข้มงวดเท่านั้นที่สร้างกรอบบีบบังคับขืนใจหญิงเช่นนี้ สังคมจารีตของไทยก็เช่นกัน ซ้ำบางทีอาจจะทำงานได้อย่างเข้มแข็งกว่าสังคมอิงศาสนาเสียด้วย เพราะสังคมจารีตของไทยไม่เปิดโอกาสให้ใครท้าทายหรือไถ่ถามถึง ขนบ ประเพณีที่เป็นมาของมันเลย การแกล้งทำลืม ละเลือน ยิ่งทำให้หญิงไทยต้องตกอยู่ภายใต้ความทุกข์ทน และความไร้สุขในชีวิตคู่และเพศสัมพันธ์มากขึ้น มากขึ้น ตลอดมา และอาจจะตลอดไป หากพวกหล่อนไม่เรียนรู้ที่จะรู้จักลุกขึ้นมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขด้วยตัวของเธอเอง

“เปลื้องผ้าและไม่ไทยเลย” จะเปิดเผยถึงเส้นทางชีวิตของผู้หญิงไร้สุขที่ต้องตกอยู่ภายใต้กรอบจารีตของสังคมในหลายๆมุมและหลายๆสถานการณ์ และฉายให้เห็นว่าพวกเธอเหล่านั้นทำอย่างไรจึงได้หลุดพ้นจากชีวิตที่ไร้สุขในกรอบจารีตมาสู่ชีวิตที่มีความสุขเปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นตนเองในชีวิตไร้กรอบจารีต

คำว่าเปลื้องผ้าพร้อมภาพหน้าปกที่โป๊เปลือยอาจทำให้หลายคนหลงคิดไปว่าหนังสือเล่มนี้จะมีเพียงความอีโรติก รักๆไคร่ๆในเรื่องเซ็กส์เท่านั้น โดยละเลยที่จะมองไปถึงความหมายที่ว่า “เปลื้องผ้า” นั้นก็คือ การปลดเปลื้องมายาแห่งจารีตที่ปิดกั้นห่อคลุมจิตใจผู้หญิงทั้งหลายออกไปด้วย เมื่อผู้คนสามารถทำลายมายาภาพที่ถูกปลูกฝังกล่อมสมองมานานได้แล้ว ก็ย่อมจะทำให้เขาได้เห็นตัวเอง และได้รู้จักตนเอง ผู้คนที่รู้จักตนเองก็ย่อมจะสามารถเลือกได้ว่าตนจะเดินไปในทางใดที่เป็นความสุข ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตัวของเขาเอง

และแม้เนื้อเรื่องและภาพใน “เปลื้องผ้าและไม่ไทยเลย” จะกล่าวถึงผู้หญิงเสียเยอะ ก็ใช่ว่าผู้ชายจะอ่านไม่ได้ หรืออ่านแล้วจะไม่ได้เรียนรู้อะไร เพราะในสังคมจารีตที่สร้างกรอบสำหรับควบคุมพลเมืองอย่างเข้มแข็ง แน่นหนา ของสังคมไทย แม้ผู้ชายก็ยังติดยึดในกรอบที่ถูกฝังหัวมาเช่นกัน และพวกเขาก็ยังพยายามคงคุณค่าทั้งรักษากรอบจารีตนั้นไว้โดยมิพักฉุกคิดหรือสงสัยว่า กรอบที่ตนยึดมั่นว่าสูงส่งและเพียรพยายามรักษาอยู่นั้นมันทำให้คนที่ตนรักเจ็บปวดหรือเปล่า? มันสร้างการกดขี่และข่มขู่คนอื่นอยู่หรือเปล่า? โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรอบที่ว่า “ความดี ความเป็นคนดี" ในสังคมจารีตของไทย

ในนามแห่งความดี ความเป็นคนดีของไทย เราจะเห็นพวกเขาใช้กรอบอันนี้มาวางกฎระเบียบ ทั้งใช้บังคับ ตีค่าหรือตราหน้าคนอื่นๆที่ไม่ยอมอยู่ในแบบแผนจารีตที่พวกเขาพยายามวางครอบงำสังคมไว้เสมอ และสังคมจารีตที่เข้มข้นอย่างสังคมไทยนี้มันก็มีพฤติการณ์ที่แปลกประหลาดอันหนึ่งคือ เมื่อมีใครคนใดคนหนึ่งหรือสถาบันอันใดอันหนึ่งยกชูคุณค่าบางอย่างที่เขาชอบมาว่าเป็นความดี เขาก็จะสามารถใช้คุณค่าดังกล่าวนั้นมากดขี่ ขู่บังคับและข่มคนอื่นๆในสังคมได้เลยทันที โดยที่ไม่มีการถามหรือปรึกษากันก่อนเลยว่า คุณค่าความดีงามที่เขายกย่องเชิดชูนั้นในความเห็นของคนอื่นๆ คิดว่าเป็นเช่นไร? มันดีจริงๆ หรือมันไม่ดี? มันมีคุณค่าน่ายกย่องหรือมันไร้ค่าจนหาสาระไม่ได้...??

ไม่มีเลยที่สังคมไทยจะมีการไถ่ถามถึงความหมายในคุณค่าความดี-งามต่างๆเช่นนี้ มีแต่โยนลงมาและบังคับใช้กับผู้คนในสังคมเลยเท่านั้น สิ่งนี้บ่มเพาะและปลูกฝังมานานจนเรียกได้ว่าเป็นวัฒนธรรมไทยไปเสียแล้ว และตรงนี้มันก็บอกถึงความเป็นสังคมจารีตที่เข้มแข็งเข้มข้นของสังคมนี้ว่าอยู่ในระดับสูงเพียงใด...

(...การติดอันดับโลกของไทยทั้งด้านการท้องก่อนวัย  การทำแท้ง  การติดโรคทางเพศ  และเอดส์   ควรจะทำให้รัฐบาลและสังคมตระหนักว่าที่ผ่านมา  นโยบายในเรื่องสุขภาวะทางเพศที่มีปัญหา ได้นำสู่แนวนโยบายที่ผิดทาง  ที่มุ่งไปที่การควบคุมและคุมเข้มเรื่องการห้ามการมีเพศสัมพันธ์  มากกว่าการให้ทุกสถาบัน  และทุกเพศทุกวัยในสังคมตระหนักถึงความเป็นจริงและความเชื่อมโยงแห่งเสรีภาพวิถีเพศกับการดูแลตัวเองได้อย่างเข้มแข็ง ปลอดภัย และมีความสุข
ทั้งนี้  รัฐควรจะส่งเสริมให้คนในสังคม  รู้จักเซ็กส์ที่ปลอดภัย  และไม่อายที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับศิลปะแห่งชีวิตคู่และเซ็กส์ที่สุขสม
 
ต้องหยุดการห้ามเยาวชนมีเซ็กส์ด้วยข้ออ้างอนุรักษ์นิยม  ด้วยทัศนคติที่มองว่าเยาวชนเป็นกลุ่มเสี่ยง  เป็นกลุ่มที่นำมาซึ่งปัญหาสังคม  จึงต้องถูกสอดส่องในวันสำคัญต่างๆ  อาทิ   วาเลนไทน์  วันลอยกระทง  ทำกันราวกับว่าเยาวชนหญิง-ชายเป็นดั่งอาชญากร 
รัฐต้องเปิดรับเรื่องการทำแท้งได้อย่างเสรี  เพื่อผู้หญิงที่มีครรภ์ในสภาวะไม่พึงประสงค์และไม่อยู่ในสภาวะที่จะดูแลบุตรได้  ทั้งทางเศรษฐกิจและสถานภาพในสังคม  ไม่ใช่เฉพาะด้านสุขภาพเท่านั้น 
เปิดเสรีภาพการเลือกวิถีเพศ  การเลือกคู่ครอง  ปรับแก้กฎหมายให้มีกระบวนการรับรองสิทธิการเลือกเหล่านั้น  ไม่ว่าจะเรื่องเพศ  และการใช้ชีวิตคู่ที่ไม่ว่าจะระหว่างเพศหรือเพศเดียวกัน
เปิดรับข้อเสนอด้านนโยบายที่ก้าวหน้าทั้งหลาย  เพื่อคุ้มครองผู้ได้รับผลกระทบจาก  “ความรุนแรงในครอบครัว” ทั้งมี “มาตรการป้องปรามการทารุณเด็กและการค้าประเวณีเด็กและผู้หญิง” ที่มีประสิทธิภาพ 
 
ส่งเสริมแนวนโยบายให้สังคมตระหนักในเรื่อง  “เซ็กส์ที่มีความสุข”  “เซ็กส์ด้วยความรับผิดชอบ”  และ “เซ็กส์บนฐานของการเข้าใจมัน”  เคารพตนเองและคู่ครองหรือคู่นอน และไม่ใช้กำลังบังคับการมีเพศสัมพันธ์...)

ข้างบนคือข้อเสนอที่กลั่นออกมาจากประสบการณ์การทำงานช่วยเหลือสังคมอย่างยาวนานของผู้เขียน “เปลื้องผ้าและไม่ไทยเลย” ต่อผู้มีอำนาจในรัฐบาล เพื่อที่จะปฏิรูปสังคมไทยให้หลุดพ้นจากการเป็นสังคมจารีต อนุรักษ์นิยมที่ดัดจริตและตอแหลสร้างภาพโกหกตัวเอง เพื่อที่สังคมนี้จะได้กลายเป็นสังคมที่ยืนอยู่กับความเป็นจริง เป็นสังคมที่เรียนและรู้จักตนเองอย่างแท้จริง รู้สถานภาพของตนในสังคมโลก และรู้ว่าตนจะนำพาสังคมก้าวเดินไปในแนวทางใดจึงจะทำให้สังคมนี้เป็นสังคมที่พัฒนาแล้วอย่างเท่าเทียมกับประเทศที่เจริญแล้วในโลก

หลายคนคงประหลาดใจว่าทำไม ข้อเสนอเพื่อปฏิรูปสังคมจากหนังสือ “เปลื้องผ้าและไม่ไทยเลย” ที่ผมยกมาจึงเป็นเรื่องราวของเซ็กส์และเพศสัมพันธ์ ที่จริงแล้วข้อเสนอเพื่อปฏิรูปสังคมจากหนังสือเล่มนี้นั้นมีหลากหลายแง่มุม(ผู้สนใจควรจะเข้าไปศึกษาเองจากในเล่ม) แต่ที่นำเสนอการปฏิรูปเรื่องเซ็กส์ก็เพราะ เรื่องนี้เป็นพื้นฐาน เป็นเรื่องสามัญธรรมดาที่อยู่คู่กับมนุษย์ เป็นเรื่องอารมณ์พื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนต่างก็มีความรู้สึกต่อมันด้วยกันทั้งนั้น

แต่... ด้วยความที่อยู่ในสังคมจารีตจึงทำให้คนในสังคมถูกกด ถูกปิดการรับรู้และเรียนรู้กับเรื่องพื้นๆของมนุษย์เช่นนี้ไป ทำให้การรับรู้ในเรื่องเซ็กส์และเพศวิถีของผู้คนในสังคมจารีตแห่งนี้บิดเบี้ยวและเกิดความเข้าใจผิดๆต่อๆกันมา และเป็นต้นธารให้เกิดความรุนแรงในหลากหลายมิติขึ้นในสังคม จากความเก็บกดในจิตใจของผู้คนในสังคม การจะปฏิรูปสังคม เราย่อมหลีกไม่พ้นที่จะต้องเรียนรู้ที่จะรู้จักสังคมที่ตนอยู่อย่างถูกต้อง และก่อนที่จะรู้จักสังคมของตนได้อย่างถูกต้องก็ย่อมจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะต้องรู้จักตนเองให้ถ่องแท้เสียก่อน


      ความน่าอ่านของหนังสือ  “เปลื้องผ้าและไม่ไทยเลย”  คือ การที่หนังสือเล่มนี้ช่วยสะท้อนภาพสังคมพร้อมทั้งตัวตนของเราออกมาอย่างชัดเจน  ตรงไปตรงมา  และเปลื้องเปลือย  เพื่อที่เราจะได้รู้จัก  ได้เรียนรู้ตนเอง  เรียนรู้สังคม  จะได้เข้าใจตนเองและสังคม  เพื่อจะได้ช่วยกันทลายกรอบกฎเกณฑ์ที่มันกดขี่  บีบคั้น  และบังคับความเป็นคน  ความเป็นมนุษย์ของเราให้หมดสิ้นหรืออย่างน้อยก็ลดน้อยลงไป  เพื่อที่เราจะได้อยู่ในสังคมมนุษย์ที่เทียมหน้าเสมอภาค  เข้าใจตนเอง  เข้าใจผู้อื่น  และเข้าใจสังคมร่วมกัน  

* * *

หาซื้อหนังสือได้ที่นี่นะฮะ http://booksoho.com/#home