18 มิ.ย. 13 (2)

ถ้าศาสนาหรือศาสดาใดสอนสั่งให้ไม่ตั้งคำถาม
ท่านจงเริ่มตั้งคำถามกับศาสนาและศาสดานั้นเถิด!

* * *
ถ้าพระไทยที่ดังๆ ทั้งหลายใช้เงินมากมายที่ได้มาจากญาติโยมไปกับการตั้งกองทุนพัฒนาพื้นที่หรือชุมชนรอบๆ วัดหรือที่ห่างไกล แทนการใช้จ่ายสุรุยสุร่ายไปกับการใช้ชีวิตไฮโซ และสินค้าแบรนด์หรู ศาสนาพุทธแบบไทยๆ ก็คงจะน่ารักและน่านับถือกว่านี้มากมายหลายเท่าทีเดียวล่ะ

ตอนนี้พระไทยจำนวนไม่น้อย ก็เป็นเพียงคนในศาสนาพุทธที่หาเงินจากการเจิมป้าย พรมน้ำมนต์ สะเดาะเคราะห์ ต่อดวงชะตา และยึดเหนี่ยวจิตใจให้กับคนไทยที่ใจไม่เข้มแข็งแต่มีกำลังจ่าย ทั้งหลายเท่านั้นเอง!


* * *

เหตุผลหนึ่งที่กูลุกขึ้นมาวิจารณ์ศาสนาและธรรมเนียมวิถีพุทธที่ขัดกับหลักปรัชญาพุทธ ไม่ใช่เพราะเป็นผู้เชี่ยวชาญศาสนาหรือปรัชญาอะไรเลย แต่เพราะกูทนอยู่กับความกลัวโน่นกลัวนี่แบบไร้เหตุผลที่สั่งสมมาตั้งแต่เด็กไม่ได้มากขึ้นนั่นล่ะ

ตั้งแต่เด็ก กูก็ถูกทำให้กลัวจินตนาการที่ไม่เคยพบเห็นด้วยตัวเอง ทั้งเรื่องผีใบตาล ผีเปรตปากเท่ารูเข็ม ระวังจะตกนรก ถูกผลักลงกะทะทองแดง ถูกไล่ทิ่มแทงให้ต้องปืนต้นงิ้ว เพราะเรื่องผิดศีลต่างๆ ที่กูก็ไม่เห็นใครส่วนใหญ่ปฏิบัติกันจริงๆ จังๆ สักอย่าง

และกูก็ตั้งคำถามเรื่องๆ กับการแต่งตัวสวยที่สุด ใส่เครื่องประดับที่มีทั้งหมดในบ้าน เพื่อไปวัดในวันพระใหญ่ เพื่อฟังพระเทศภาษาบาลีที่ไม่มีคำอธิบาย และเพื่อรอเวลาพระฉันข้าวจะได้นินทากันลั่นวัดเรื่องชาวบ้าน เสร็จแล้วก็รีบหาบกระจาด หิ้วปินโตกลับบ้านมาทำบาปกันต่อ

สี่ปีในมหาวิทยาลัยจึงเป็นสี่ปีที่มีค่ามาก เพราะนอกจากถูกใช้ไปกับการเรียนและการสอบให้ผ่านแล้ว มันถูกใช้ไปกับการดั้นด้นแสวงหาคำตอบให้กับความกลัวที่ไร้เหตุผลเหล่านี้ ทั้งหาอ่านงานด้านศาสนาและปรัชญาที่มีคำอธิบายและในภาษาที่กูเข้าใจได้ และแสวงหาศาสดาต่างๆ เพื่อคำตอบที่อาจช่วยให้หลุดจากความกลัวเหล่านี้

แต่ปรากฎว่าการขจัดความกลัวหลายเรื่องเกิดได้ เพราะมันเห็นความทุกข์ของตัวเองและของคนอื่น

ยิ่งเห็นทุกข์ ยิ่งเป็นปัจจุบันวิสัย ก็ยิ่งกลัวจิตวิตกน้อยลงไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งต้องวิพากษ์วิจารณ์วิถีธรรมเนียมและประเพณีที่ยังพยายามคุมคนให้อยู่ในความกลัวกันไม่หยุดหย่อน ไม่ว่าในรูปแบบใดมากขึ้นเรื่อยๆ ตามไปด้วยนี่ล่ะ

แต่ไม่ได้หมายความว่ากูหลุดพ้นและเป็นศาสดานะ ความกลัวก็ยังมีอยู่ กิเลสตัญหาก็ยังอยู่เยอะ แต่มันไม่ได้กลัวซะจนต้องวิ่งเข้าหาไสยศาสตร์ทุกชนิดโดยไม่ตรวจทานและยั้งคิด เพื่อช่วยปลุกปลอบใจให้มีความกล้ามากขึ้นเท่านั้นเอง.
* * *

คุยหลังไมค์อยู่แล้วก็มาคิดว่า ...

วังไทยสื่อสารกับประชาชนด้านเดียว (ด้านที่อยากจะบอกเท่านั้น) มาตลอด

โดยทิ้งเงื่อนงำและข้อสงสัยให้คนทั้งประเทศและทั้งโลกต้องสงสัย และให้ต้องพยายามหาคำตอบหรือเดาคำตอบกันไปเองมากมายหลายเรื่อง(หรือเกือบจะทุกเรื่อง) จริงๆ

อยากรู้เหมือนกันว่าเมื่อไรเราจะรู้จักราชสำนักไทย ราชวงศ์ไทย อย่างคน อย่างมนุษย์ ที่ไม่ใช่อย่างเทวดาที่พยายามปลุกเสกและสร้างให้เป็นกันเสียที

* * *

ถ้าสื่อไทยมีเสรีภาพ และไม่ต้องกลัวที่จะเจอกับคดี 112 นะ แม้ไม่กล้าเขียนวิจารณ์เองก็ได้ แค่เผยแพร่ข่าว หรือตามข่าวต่างประเทศว่าสื่อต่างประเทศพูดถึงเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินไทยอย่างไรบ้างก็ยังดี

แต่นี่มีหลายครั้งที่สื่อต่างประเทศพูดถึงพฤติกรรมของเจ้าฟ้าไทยเวลาเสด็จต่างประเทศหรือเวลาใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ แต่สื่อไทยต่างพากันล็อคกุญแจปากกันอย่างเงียบกริบ ไม่แม้แต่จะแปลข่าวมาลงเสนอให้คนไทยได้ร่วมรับรู้ และก็ได้แต่ตั้งหน้าตั้งตาจัดทำสารคดีตามเสด็จเวลาไปเยือนต่างประเทศมาฉายกันด้านเดียวต่อไป

ถ้าสื่อไทยไม่ตีแผ่ความจริงอีกด้านของราชสำนักไทยหรือพยายามขุดคุ้ยความจริงอีกด้านของราชสำนักไทยกันบ้าง สังคมไทยส่วนใหญ่ก็ยังอยู่ในสภาวะปิดตาข้างเดียว และจะมีกลุ่มคนที่เชื่อข้อมูลจากการถูกอัดฉีดข้อมูลด้านเดียว จนกลายเป็นผู้คุ้มคลั่งรักเจ้าปกป้องเจ้าอย่างป่าเถื่อนโหดร้ายไปได้เช่นที่เห็นกันอยู่ในสังคมขณะนี้

* * *

ใกล้เทศกาลเก็บเบอร์รี่แล้ว ทั้งนักกิจกรรม นักวิชาการที่ฟินแลนด์ เริ่มติดต่อเข้ามาเพื่อขอบทความและชวนกันทำกิจกรรมเพื่อสร้างการตื่นรู้ในสังคมฟินแลนด์เกี่ยวกับปัญหาที่คนงานเก็บเบอร์รี่ชาวไทยต้องพบเจอ

เสียดายที่ในประเทศไทยเอง

กลับมีแต่ผู้คน ทั้งครอบครัว ญาติ นายหน้า สาย บริษัทจัดหางาน เจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงาน (ที่จำนวนมากก็ไม่เคยมาเก็บเบอร์รี่ ไม่เคยเห็นว่าสภาพการทำงานมันเป็นอย่างไง) ต่างพยายามทุกช่องทางที่ให้ข้อมูลด้านเดียว เพื่อหาคนงานให้บริษัทเบอร์รี่ที่ฟินแลนด์และสวีเดนให้ได้ตามเป้า

ทั้งชักจูง ลากชวนกันมาเก็บเบอร์รี่ด้วย propaganda คำโฆษณาว่า "ถ้าสู้งานหนัก ขยัน อดทน ได้เงินกลับบ้านเป็นแสนแน่นอน"

แต่ไม่ได้ย้ำจริงๆ ว่าที่บอกว่า "งานหนัก ต้องขยัน ต้องอดทน" นั้นกว่าครึ่งทุกปีก็ไม่ได้แสน ได้แต่แสนสาหัสกลับบ้าน ... เพราะมันมีหลายปัจจัยที่มาเกี่ยวข้อง

และท้ายที่สุด ไม่มีการให้ข้อมูลให้พวกคนงานได้ถกกันอย่างจริงจังว่า การทำงานวันละ 12-20 ชั่วโมงไม่ได้พักเลยตลอด 75 วัน ในสภาพอากาศหนาวตั้งแต่ 10-20 องศาในเดือนแรกและ 0-10 องศาในเดือนที่สอง ทั้งลุยหนอง เดินเขา ท่ามกลางฝน ยุง และสภาพป่าที่ไม่คุ้นชินนั้น ด้วยค่าใช้จ่ายทั้งฤดูกาล 140,000 บาท มันเป็นการลงทุนที่สูงและเสี่ยงมากแค่ไหนกับเวลาเพียง 2-3 เดือน และในความเป็นจริง สภาพการทำงาน ที่พัก และการกิน ที่ต้องมาอยู่กันนั้น มันแย่เกินจินตนาการของคนที่คิดแต่ว่าจะได้ไปเมืองนอกเท่านั้นอย่างไรบ้าง

มันก็เช่นเดียวกับหลายเรื่องในเมืองไทย ซึ่งสิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหาใหญ่มากคือ

ประเทศไทยใช้วิถีการทำการค้า การประชาสัมพันธ์ โดยการโหมโฆษณาด้านเดียวกันอย่างหนัก
ในเกือบทุกด้าน ทั้งเรื่องสถาบันกษัตริย์ เรื่องการเมือง และการหาเงินกันทุกรูปแบบ จากการขายฝัน เช่าความเชื่อ และค้าความหวังกันเยอะ อย่างไร้จริยธรรมและไม่ใส่ใจต่อความถูกต้องอย่างถึงที่สุด .. .

ด้วยวิธีการพูดจริงส่วนหนึ่งแล้วพูดโน้มน้าวสัก 3 ส่วนเพื่อกลบปัญหาที่จะต้องพบเจอให้ดูบางเบาราวขนนก ... แต่จริงๆ แล้วมันได้สร้างความทุกข์ยิ่งกว่าหินผาให้กับผู้คนมามากมายด้วยการรู้เท่าไม่ถึงการหรือการไม่คิดให้ลึกและรอบด้าน

ไม่รู้ว่าปีนี้จะมีคนมาเก็บเบอร์รี่กี่พันคน และจะต้องมีคนเสียหายกันกี่ร้อยกี่พันคน!!!

* * *


Estimates range between 100,000 and 1,000,000 in the streets of Rio Brazil now. The root of the protest seems to be the corruption involved in building football stadiums instead of helping the people...
LIVE
http://www.livestream.com/anonymousBR
http://aovivo.folha.uol.com.br/2013/06/17/2630-aovivo.shtml

Background on Brazil Protests
Change Brazil https://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=AIBYEXLGdSg

http://copaemcuiaba.com.br/

คนบราซิลกว่าแสนเดินขบวนเมื่อคืน ต้านการใช้เงินจำนวนมากสร้างสเตเดี้ยม World Cup 2014 เรียกร้องว่าให้รัฐบาลนำเงินมาจัดสรรสวัดิการด้านสุขภาพและการศึกษาให้ประชาชน