11 ธ.ค. 13


* * * 

อวสานวาทกรรมขายเสียง - ในจำนวน 100 คน มีคนไทยเพียง 5 คนเท่านั้นที่เลือก เพราะได้รับเงิน* หรือจะมองอีกมุม ในจำนวน 100 คน มีคนไทยถึง 95 คน ไม่ได้ขายเสียง

วาทกรรม “ซื้อสิทธิขายเสียง” ถูกตอกย้ำและผลิตซ้ำในสังคมไทยตลอดมา ตลอดจนถูกใช้เป็นข้ออ้างสำคัญของฝ่ายไม่เอา/ไม่ประสบความสำเร็จในระบบเลือกตั้ง ที่แย่กว่านั้นยังเป็นวาทกรรมที่ถูกนำมาใช้ดูหมิ่นหยามดูแคลนเพื่อนร่วมชาติว่าเป็น “เสียงที่เห็นแก่เงินไร้คุณาพ” อีกด้วย

แต่ปัจจุบันนี้วาทกรรมดังกล่าวควรได้รับการตรวจสอบทบทวนแล้วว่ายังมีความชอบธรรมหรือไม่ เมื่อ ปริญญา เทวานฤมิตรกุล (คณะนิติศาสตร์ และดำรงตำแหน่งรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) ได้นำเสนองานวิจัย “การป้องกันและแก้ไขปัญหาการซื้อสิทธิขายเสียงในการเลือกตั้ง” ในการสัมมนาทางวิชาการของสถาบันพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้ง สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งมีข้อสรุปเกี่ยวกับการตัดสินใจล
งคะแนนเลือกตั้งและการซื้อเสียงดังต่อไปนี้

1. ยอมรับเงินจากผู้สมัคร แต่ไม่เลือกผู้สมัครรายนั้น มีร้อยละ 46.79
2. แม้ไม่ได้รับเงินก็จะเลือก มีร้อยละ 48.62
3. เลือกเพราะได้รับเงิน มีเพียงร้อยละ 4.59

นั่นหมายความว่าผู้ที่ยอมลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเพราะมีเงินเป็น “แรงจูงใจ”จริงๆ นั้นมีเพียง แค่ ร้อยละ 4.59 เท่านั้น ส่วนที่เหลืออีกราว ร้อยละ 95.41 (ในข้อที่ 1 และ 2 รวมกัน) จะเห็นได้ว่า เงินไม่ใช่แรงจูงใจหลักในการลงคะแนน

จากผลวิจัยดังกล่าว Admin จึงเห็นว่าวาทกรรม “ชนะเพราะซื้อเสียง” “ประชาชนไม่มีคุณภาพขายเสียง”ดังกล่าวไม่ได้อยู่บนฐานข้อเท็จจริงและไม่ได้มีความชอบธรรมในการใช้ในการอ้างอิงใดๆ อีกแล้ว

อนึ่ง งานวิชัยชิ้นนี้ได้สุ่มตัวอย่างผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศ จำนวน 941 คน ในการเลือกตั้งส.ส.เมื่อวันที่ 3 ก.ค.54 ที่ผ่านมา

ที่มา: http://prachatai.com/journal/2012/08/42190
การเมืองมันเปลี่่ยนไปแล้วจริงๆ 
ถ้าใส่แว่นรุ่นเก่าสมัย 20 ปีที่แล้ว
มาวิเคราะห์การเมืองในช่วงนี้
คงไม่อาจวิเคราะห์ได้ถูกต้องนัก


วาทกรรมเสียงไม่มีคุณภาพ? ขายเสียง?

"มายาคติเรื่องการซื้อสิทธิขายเสียงของคนชนบท รวมทั้งการสร้างวาทกรรมให้ภาพการซื้อเสียงมีลักษณะตื้นเขิน งอมืองอเท้า รอคอยแต่การอุปถัมภ์และไม่รู้เท่าทันนักการเมือง กลายเป็นอุปสรรคต่อการทำความเข้าใจภาวะเปลี่ยนผ่านทางการเมืองในชนบท ขณะเดียวกันหากพิจารณาวาทกรรมดังกล่าว จะพบว่าเป็นเพียงการสร้างความพึงพอใจให้กับชนชั้นกลางที่เชื่อว่าตนเองมีวุฒิภาวะทางประชาธิปไตยสูงกว่าคนในชนบท วาทกรรมการซื้อเสียงได้ลดทอนคุณค่าคะแนนเสียงในชนบท เนื่องจากมองว่าคนชนบทไร้ศีลธรรมทางประชาธิปไตย ถูกชักจูงให้เป็นฐานเสียงหรือร่วมขบวนการทางการเมืองได้ง่าย ดังนั้น สิ่งเหล่านี้จึงเป็นม่านบังตาที่ทำให้ไม่เห็นเจตจำนงหรือความปรารถนาที่แท้จริงของคนชนบท”
- ดร.จักรกริช สังขมณี รัฐศาสตร์ จุฬา
http://www.isranews.org/

"อย่ามาพูดว่าแพ้เพราะเงิน เลือกตั้งหลังสุดอาจเป็นเพราะเราใช้เงินมากกว่าเขาด้วยซ้ำไป"
- อลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
http://www.youtube.com/watch?v=A50Ok_9bq8g#t=1956
http://pic.twitter.com/MT2eSktIPe.

อ้างอิงข้อมูล infographic
- งบประมาณการเลือกตั้ง 2554 ของ แต่ละพรรค ของ กกต
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9550000001713
http://www.ect.go.th/

-----------------------------------------
จากข้อมูลของ กกต. การเลือกตั้งปี 3 ก.ค. 2554
ประชาธิปัตย์ใช้เงินไป 165,420,868.94 บาท
พรรคเพื่อไทย ใช้เงินไป 93,846,296.45 บาท

ที่มา: http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx...
http://www.ect.go.th/

-----------------------------------------
จากงานวิจัยการเลือกตั้ง 2554 ของ ดร. สิริพรรณ นกสวน สวัสดี คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯระบุว่า

- ผู้หญิงส่วนใหญ่ เลือกพรรคประชาธิปัตย์ ขณะที่ ผู้ชายส่วนใหญ่ เลือกพรรคเพื่อไทย
- คนมีการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี เลือกพรรคเพื่อไทย มากกว่า พรรคประชาธิปัตย์
- คนรุ่นใหม่ เลือกพรรคเพื่อไทย มากกว่า พรรคประชาธิปัตย์
- คนภาคกลาง และ ภาคใต้ รับเงินซื้อเสียงและไปเลือกพรรคที่ซื้อเสียง มากกว่า คนภาคเหนือ และ ภาคอีสาน

ข้อมูลการเลือกตั้งในระดับการศึกษา
- การศึกษาระดับประถมการศึกษา เลือกพรรคเพื่อไทย 55.2 % เลือกปชป. 35.6%
- การศึกษาระดับมัธยม และอาชีวศึกษา เลือกพรรคเพื่อไทย 54.5 % เลือกปชป. 34.7%
- การศึกษาระดับปริญญาตรี เลือกพรรคเพื่อไทย 40.1 % เลือกปชป. 46.5%
- การศึกษาระดับสูงกว่าปริญญาตรีขึ้นไป เลือกพรรคเพื่อไทย 50.3 % เลือกปชป. 32.3%

http://www.youtube.com/watch?v=W6RSB3mckEM
http://news.voicetv.co.th/thailand/33643.html

----------------------------------------
ผลวิจัยการเลือกตั้งปี 2554 ของอาจารย์ปริญญา เทวานฤมิตรกุล (คณะนิติศาสตร์ และดำรงตำแหน่งรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) ได้นำเสนองานวิจัย “การป้องกันและแก้ไขปัญหาการซื้อสิทธิขายเสียงในการเลือกตั้ง” ในการสัมมนาทางวิชาการของสถาบันพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้ง สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งมีข้อสรุปเกี่ยวกับการตัดสินใจลงคะแนนเลือกตั้งและการซื้อเสียงดังต่อไปนี้

1. ยอมรับเงินจากผู้สมัคร แต่ไม่เลือกผู้สมัครรายนั้น มีร้อยละ 46.79
2. แม้ไม่ได้รับเงินก็จะเลือก มีร้อยละ 48.62
3. เลือกเพราะได้รับเงิน มีเพียงร้อยละ 4.59

หรือสรุปได้ว่า ในจำนวน 100 คน มีคนไทยเพียง 5*คนเท่านั้นที่เลือกเพราะได้รับเงิน หรือจะมองอีกมุม ในจำนวน 100 คน มีคนไทยถึง 95 คน ไม่ได้ขายเสียงลงคะแนนเลือกตั้ง และจำนวนผู้ที่ขายเสียงมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะการเลือกตั้งใหญ่ ที่คนเลือกที่พรรคตามอุดมการณ์ตัวเอง

ที่มา: http://prachatai.com/journal/2012/08/42190
https://www.facebook.com/boythakae/posts/468315289871967
- - - -

อย่าถามหาความจริง เหตุผล และความหมายจากม๊อบเทพ
ทุกอย่างเป็นเพียงเกมและกลยุทธเพื่อเป้าหมายที่ต้องการเท่านั้น

ซึ่งก็มีเพียงเป้าหมายเดียว คือ ต้องการกุมอำนาจการเมืองไว้ให้อยู่ในมือขั้วอำนาจเก่าเพื่อดำรงวิถีศักดินาอภิสิทธิชนชั้นสูงไว้ในสังคมไทยต่อไป

แม้จะออกหน้าโดยสุเทพ เทือกสุบรรณและพรรคประชาธิปัตย์ แต่กองหนุนเบื้องหลังคือกลุ่มอำนาจเก่า ที่ไม่เคยยอมรับกติกาประชาธิปไตยมาตั้งแต่ต้น

- - - -

ตามลิงก์ไปดูเพจคนรักเจ้า มวลชนม็อบเทพ
เลยเห็นความร่วมของพวกเขาและเธอ

ที่ดูช่างเป็นคนดี ยึดมั่นในหลักธรรมกันมากเหลือเกิน

ทั้งเชื่อมั่นและภาคภูมิใจในความเป็นคนดีของตัว จนต้องเที่ยวสั่งสอนคนอื่นให้เข้าวัดปฏิบัติธรรม และประพฤติปฎิบัติตัวตามทำนองครองธรรม

แม้แต่นายกรัฐมนตรีก็ไม่ยกเว้น ไล่ให้นายกฯ ลาออกไปเลี้ยงลูกและเข้าวัดปฏิบัติธรรม

เฮ้อ ... ก็หวังจริงๆ ว่าพวกท่านไม่ได้เป็นพวก "สอนจระเข้ว่ายน้ำ" นะฮะ

- - - -

ผู้หญิงเยอะด้วยนะฮะ
ที่ชอบกระแหนะกระแหนผู้หญิงด้วยกันเอง ...

ในกรณียิ่งลักษณ์นี่ก็เหมือนกัน

ผู้หญิงก็ต้องมีสติกันมากๆ นะฮะ

ความอิจฉาริษยา มันมีกันได้ทุกคน
แต่เราต้องคุมมันให้อยู่ในขอบเขตที่พองาม
และด้วยเหตุด้วยผลกันหน่อยนะฮะ

ผู้ชายขี้อิจฉาน่ารังเกียจเช่นไร
ผู้หญิงขี้อิจฉาก็น่ารังเกียจเช่นนั้น

มนุษย์ไม่ว่าเพศใดมันเท่าเทียมกันในศักดิ์ศรีและความเป็นคน

- - - - 

ต้องอ่านฮะ

บทความ นิค นอสติทซ์ ที่เล่าเรื่องค่ำคืนวันที่ 30 พ.ย. ได้อย่างละเอียด

- - - -

มันเป็นเรื่องที่คนไทยต้องกล้าพูดกันอย่างตรงไปตรงมาว่า

ถ้าวังและสถาบันกษัตริย์ของไทย ไม่ลงมาส่งเสริมและเรียกร้องให้คนในสังคมไทย เคารพกติกาการอยู่ร่วมกันภายใต้หลักการแห่งเสรีภาพและประชาธิปไตย คนเท่ากัน และประกาศว่าจะปรับเปลี่ยนวิถีราชสำนักให้เป็นสากลมากขึ้น รวมทั้งเรียกร้องให้ลดธรรมเนียมวิถีมากชนชั้นในสังคมไทยลงไปบ้าง

การปล่อยให้คนในประเทศรบกันเองเพื่อก้าวพ้นวิถี "เหยียดชนชั้น" ในประเทศ เป็นเรื่องที่จะมีความเจ็บปวดและเสียหายแน่นอน ...

และผลกระทบก็จะสะเทือนถึงทุกสถาบันในไทย รวมทั้งสถาบันพระประมุขด้วย

การเดินหน้าฝ่าวิกฤตชาติ ที่ง่ายและเสียหายน้อยที่สุด คือ สถาบันกษัตริย์ประกาศหนุนระบบประชาธิปไตย

- - - -

ตามคดี 112
ไปให้กำลังใจเคนจิ กันพรุ่งนี้นะฮะ
20.20 - พรุ่งนี้ ขอเชิญเพื่อนๆ ไปร่วมให้กำลังใจ "่เคนจิ" แห่งบ้าน IF ผู้ต้องหาคดี 112 ที่จะตัดสินคดีในวันพรุ่งนี้.. ณ ศาลอาญา รัชดา เวลา 9.00 น.

งานนี้อาจได้พบกับมิติใหม่ ของ ม. 112 นั่นคือ นั่นคือข้อหา #พยายามหมิ่นฯ นี่อาจเป็นครั้งแรกในประเทศไทย !!

แล้วพบกันนะครับ ^^

ดูข้อมูลของคดีนี้เพิ่มเติมได้ที่: 
http://freedom.ilaw.or.th/case/490

- - - -

This is insane.
นี่มันบ้าคลั่งกันเกินไปจริงๆ ล่ะ

- - - -

สงสารชาว LGBTQIAs ที่อินเดียฮะ
ผมเป็นคนรักมนุษย์ทั้งสองเพศนะฮะ หรือเอาเข้าจริง คือ ผมไม่ติดยึดเรื่องเพศมากกว่าความเป็นมนุษย์ของคนๆ นั้น และผมส่งเสริมให้มนุษย์รักกันและมีคู่ครองไม่ว่าจะกับคู่ต่างเพศ หรือคู่เพศเดียวกัน

เพราะชีวิตนั้นสั้นยิ่งนัก มนุษย์จะยอมให้ตัวเองทนเปลี่ยวเหงาโดดเดี่ยวเดียวดายทั้งชีวิต กับชีวิตภายใต้กฎกติกาอนุรักษ์และคับแคบ ที่ไม่ยอมรับการเลือกใช้ชีวิตอย่างมี "ความสุข" ของเขา และของผู้คนในสังคมและประเทศชาติกระนั้นหรือ?

ผมสนับสนุนสิทธิการมีคู่ครอง การเลือกคู่ครอง และการใช้ชีวิตแบบคู่ครองไม่ว่าจะในรูปแบบใดถ้าเกิดขึ้นโดยความสมัครใจและไม่ได้ถูกบังคับขืนใจ

- - - - 

ชีวิตนี้ผมเลือกแฟนด้วยตัวเองมาตลอด ดีบ้างเลวบ้างก็คิดว่ากูเลือกเอง และก็เลือกที่ความเป็นมนุษย์ของเขาก่อนความเป็นเพศของเขามากขึ้นเรื่อยๆ

ผมจึงไม่เคยเข้าใจตรรกะของสังคมคนหัวเก่าอนุรักษ์นิยม

ที่ไม่ยอมรับ ... หรือถึงขั้นลุกมาคุกคาม หรือถึงกับต้องใช้กฎหมายมาทำร้ายคนเลือกคู่เพศเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นเกย์ ทรานส์ เลสเบี้ยน หรือไม่ว่าจะนิยามว่าอย่างไรก็ตาม

ก็ในเมื่อพวกเขาเป็นคน เป็นพลเมือง เป็นคนทำงาน เป็นผู้บริโภค เป็นคนเสียภาษีให้กับสังคมเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ในสังคม

เมื่อเขาเลือกคู่ด้วยตัวของเขาเอง โดยที่มันก็ไม่ได้มาก่อความเดือดร้อนใดๆ ทั้งสิ้นกับสังคม ทำไมสังคมจึงต้องเดียจฉันท์พวกเขาเหล่านั้น ที่เป็นเกย์ ทอม ดี้ กระเทย หรือคนเลือกวิถีเพศที่แตกต่างเหล่านั้น

และผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมรับรองชีวิตคู่ของพวกเขาในทางกฎหมายไม่ได้

ผมเข้าใจไม่ได้จริงๆ นะฮะ ถึงตรรกะวิธีคิดของคนอนุรักษ์วิถีคู่ต้องผัวเมีย (หญิงชาย) เท่านั้น!