6 พ.ย. 13

การเลือกไม่คุยกับใครเลยในครอบครัวกว่า 3 ปี อาจจะดูโหดร้าย ..
แต่เป็นความโหดร้ายบนความรักและความคิดถึงอย่างร้ายกาจ

เพราะคิดว่าถ้าคุยกันพี่น้องท่ามกลางการเมืองเรื่องสถาบันฯ ในความรับรู้ข้อมูลที่ไม่เท่ากันหรือคิดไม่เหมือนกัน...

มันอาจจะทำลายความรักและความนับถือที่มีให้กันเสียยิ่งกว่า "การเลือกใช้ชีวิตอยู่บนความคิดถึงเพราะไม่ได้พูดและพบเจอกัน"

ขอโทษจริงๆ ฮะพี่ๆ น้องๆ ทุกคน ที่จรรยาต้องตัดสินใจเช่นนี้

รักและคิดถึงทุกคนมาก!
* * * * 

For my non-Thai speaking friends.

What I posted these days are mainly regarding the re-emerging mobilisation of Thai royalists ... mainly elites, royal blood line's families, universities' rectors, doctors and nurses, senior judges - in allying with the opposition party, the Democrat.

The royalists movement claims that the reason they oppose the blanket amnesty bill is because it's going to amnesty corruption ... true and I against this amnesty bill as well ... but ... but none of these royalists mentioned; justice for the death; bringing military and the Democrat Gov't that ordered the 'life firing zones' to courts of justice; and not mentioning corruption in the non-politician arenas, i.e. in the Thai bureaucrats, military and palaces, etc.

The Thai royalists position is not different to their 2006 - 2008 actions - is only to get rid of Thaksin and his political parties. In 2013 they action is solely because of against the returning of Thaksin to the country.

The royalists mobilisation, and the Democrat Party is now calling for the dissolving of the parliament.

Thailand is, again, in a fragile political situation, or to be precise, is actually haven't been stopped since 2006, and it's doesn't seem to have anyone - that is respected by all - who can /or willing to bring common senses back to the country.
* * * * 

แด่ อธิการบดีและอาจารย์มหาวิทยาลัยต่างๆ แพทย์และพยาบาล ตุลาการ ราชนิกูล รอยัลลลิสต์ทั้งหลายและโดยเฉพาะ ปชป. ที่ออกมาเคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาลกันตอนนี้

อันนี้ไม่น่าจะ 112 เป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่ได้ว่าในหลวง แต่ว่าพวกชอบ "อ้างรักในหลวง" เพื่อกระทำย่ำยีประชาธิปไตยทั้งหลาย
* * * *
ตรรกะง่ายๆ ใช้หัวแม่ตีนคิดก็ยังได้ว่า ...

ถ้าแม่ทัพทิ้งกองกำลังทหารของตัวเองแล้วไปกราบตีนแม่ทัพฝ่ายตรงข้าม
ราคาของแม่ทัพคนนั้นในสายตาของฝ่ายตรงข้ามจะเหลือศูนย์ในพริบตา

ฉันใดก็ฉันนั้น ...ผู้นำที่ไม่เคารพมวลชนของตัวเอง
ก็จะไม่ได้รับการเชื่อถือทั้งจากศัตรูทางการเมืองและจากมวลชนของตัวเอง

ถ้ากล้าหักหลังมวลชนตัวเอง มีหรือจะได้รับการนับถือจากศัตรู!
* * * *

ให้โอวาทศาลกันเมื่อไหร่
กูรู้สึกเย็นยะเยือกถึงสันหลังทุกที

แต่งานนี้ "ล้มปูเจอกู" นะฮะ

ตามที่ประกาศไว้มาโดยตลอดว่า
แม้ไม่ได้รักได้ใคร่ยิ่งลักษณ์และเพื่อไทย

แต่เพื่อเสถียรภาพของระบบประชาธิปไตยเลือกตั้ง
การเลือกตั้งต้องถูกทำให้ศักดิ์สิทธิ์

จะมาล้มรัฐบาลด้วยเกมเหนือกติกา
ไม่ว่าจะทำกี่ครั้ง กูก็จะต้านทุกครั้ง

* * * * 

กูว่าเมืองไทยไม่ได้ต้องการข้ามขั้นตอนไปสู่ การให้อภัยและลืมมันไปเถิด 

แต่ต้องการคำ "ขอโทษ" อย่างจริงจังจากผู้นำ ผู้ปกครอง และผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองนี้ที่ทำผิดต่อประชาชน

ถ้ารู้จักเอ่ยคำว่า "ขอโทษ" กันเสียที
ปัญหาหลายเรื่องคงไม่ยืดเยื้อและสร้างความวุ่นวายในชาติกันจนถึงบัดนี้

* * * *
ตีสองกว่าแล้ว กูยังนั่งทำงานข้อมูลเพื่อการต่อสู้ของคนงานเบอร์รี่ ...
มันเป็นพันธกิจ เป็นสิ่งที่กูจะทำได้ตอนนี้ ...
สู้จนถึงที่สุด ... เพื่อชัยชนะของคนงานเก็บเบอร์รี่กันเสียที

ที่เมืองไทยคงเป็นช่วงประมาณ 7 โมงเช้ากว่า อากาศยามเช้าในหมู่บ้านอีสานของน้องๆ พี่ๆ 50 คนที่ชัยภูมิ สกลนคร ขอนแก่น อุดรฯ และบึงกาฬ คงเย็นสบาย ...

ชีวิตประจำวันของทุกครัวเรือนก็คงจะเริ่มต้นตั้งแต่ย่ำรุ่ง

ยิ่งทำข้อมูลการต่อสู้ของพวกเขาทั้ง 50 คน ก็ยิ่งคิดถึงชีวิตหมู่บ้านที่อีสาน และน้ำใจของพี่น้องชาวอีสานทุกบ้าน ทุกหมู่บ้าน ในทุกจังหวัดที่ภาคอีสาน ที่กูเคยไปเยี่ยมเยียนและพักอาศัยเหลือเกินยามนี้

ถ้าอีสานได้รับการดูแลที่ดีจากแผนพัฒนาของรัฐบาลไทย คนอีสานที่มากน้ำใจม มารยาทงาม และเป็นสุภาพชน คงไม่ต้องถูกผลักให้ออกจากพื้นที่ "ไปตายเอาดาบหน้า" กันมาหลายสิบปีเช่นนี้!

ยิ่งคิดยิ่งต้องสู้เพื่อชัยชนะของคนงานอีสานให้ได้!!!
* * * *

การทำงานกับชาวบ้าน คนงาน คนสู้เพื่อชีวิตความอยู่รอด ดิ้นรนไปหางานทำทั่วทุกภูมิภาคในประเทศไทยหรือทุกประเทศที่ไปได้ ...

สิ่งหนึ่งที่ตระหนักชัดคือ ชีวิตของพวกเขานั้นไม่ใช่สีขาว ...

เป็นเรื่องล้าสมัยแห่งยุคโรแมนติก ที่คิดว่าชาวบ้านใสซื่อบริสุทธิ์ ท่ามกลางกระบวนการทำนาบนหลังพวกเขาฟรีๆ (ที่ฮัวกันตั้งแต่นายทุนเงินกู้ บริษัทจัดหารงาน นายจ้างที่ต่างแดน เจ้าหน้าที่รัฐ และบางทีก็นักการเมืองทุกระดับ พ่วงเข้าไปด้วยอีก) คิดเป็นเงินก็มากถึง 50% ของรายได้ที่พวกเขาสมควรจะได้จากหยาดเหงื่อแรงงานที่เมืองนอก ...

หรือในรายที่ขาดทุนก็ถึงทำงานฟรี และต้องกลับมาใช้หนี้และดอกเบี้ยกันจนหัวโต ...

หลายครั้งที่คนหางานต่างประเทศ ...ต้องยอมตามน้ำไปกับกระบวนการหลอกลวง จนถูกเจ้าหน้าที่ผู้ดีที่กระทรวงแรงงานหมายหัวเหมารวมคนงานทุกคนที่ลุกขึ้นสู้ว่า "ที่ทับล่ะไม่ร้อง ที่ท้องจะมาให้รับ" ...

และก็พากันผลักเรื่องราวปัญหาและการร้องเรียนของพวกเขาทิ้งถึงขยะไปทันที่ที่พวกคนงานก้าวออกจากกระทรวง หรือสำนักงานแรงงานจังหวัด

เมื่อคิดเรื่อง "ความสีเทา" ของคนงานที่ได้ร่วมสู้ด้วยอย่างภาคภูมิใจ กูก็ตระหนักดีว่า กูรักชีวิตสีเทาของพวกเขาจริงๆ พับผ่าซิ!

ผู้คนสีเท่า สีแดง ที่ต่างก็ยอมเสียสละความสุขส่วนตัว ไปลำบากต่างแดนเพื่อหาเงินส่งมาเลี้ยงดูครอบครัวและสร้างฐานะ

ชีวิตของคนขายแรง ที่พากันดิ้นรนเพื่ออยู่ให้รอดท่ามกลางการต่อสู้แย่งชิงอำนาจของเมืองหลวง ...

กูรักและนับถือชีวิตสีเทาเหล่านี้มากกว่า "ชีวิตที่ถูกทาสีขาว" ของผู้คนจำนวนไม่น้อย ที่เราไม่อาจรู้เลยว่า ชีวิตจริงๆ ของเขานั้นสีอะไร?