14 ธ.ค. 13

อย่าโยนความไม่เป็น "สุภาพบุรุษ" ของอภิสิทธิ์
ด้วยการด่าว่าเขา "หน้าตัวเมีย" หรือ "สุภาพตุ๊ด" เลยฮะ

เพราะความเป็นผู้หญิง ความเป็นตุ๊ด
ไม่ได้หมายความว่าต้องไม่เป็น "สุภาพบุรุษ"

เมื่ออภิสิทธิเขาไม่เป็น "สุภาพบุรุษ" จริง ก็ต้องกล้าใช้คำนั้น
ว่าไอ้เหี้ยนี้ไม่เป็นสุภาพบุรุษเลยไอ้ห่า

จะด่าผู้ชายที่ไม่เป็นผู้ชาย ก็ด่าตรงๆ

ผู้หญิง เกย์ ตุ๊ด ทอม ดี้ กระเทย
ไม่ใช่สัญลักษณ์เพื่อใช้แสดงความพร่องทางจริยธรรมของผู้ชาย


* * *
ถ้าทหารกล้าทำรัฐประหารครั้งนี้
กูจะประท้วงสาวไส้ไปถึงโคตรพ่อโคตรแม่มันเลย
เหนื่อยแล้วกับพวกอีแอบไอ้แอบ
มึงกล้าทำกูก็กล้าชนว่ะ
* * *

ระหว่างทำงานก็ดูคลิป ตั้ง อาชีวะไป 2 คลิป

อดชื่นชมไม่ได้ว่า เขาเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่พูดปราศัยได้ดีมาก
เป็นนักไฮปาร์คโปรเฟชชั่นนอลเลยทีเดียวล่ะ
มีทั้งท่วงทำนอง จังหวะจะโคน และน้ำเสียงที่หนักแน่น

ที่สำคัญไม่เห็นมีตรงไหนที่ตั้งพูดพาดพิงสถาบันฯ เลย

ไม่เข้าใจว่าตำรวจใช้เหตุผลอะไร
ถึงออกหมายจับเขาด้วยข้อหามาตรา 112

* * *

ความล้มเหลวที่สุดของประชาธิปไตยในประเทศไทยในช่วง 80 ปีที่ผ่านมา
อาจจะเป็นเรื่องที่ว่า ...

แม้แต่หัวใจหลักของระบอบประชาธิปไตย คือเรื่อง "หนึ่งคนหนึ่งเสียง" ยังสามารถเป็นวาระแห่งการถกเถียงระดับชาติ ในหมู่อาจารย์มหาวิทยาลัยดังๆ ทั่วประเทศไทยกันอย่างครึกโครมไปได้เช่นนี้

ไม่น่าเชื่อจริงๆ ฮะ!

* * *

ซาบซึ้งน้ำตาไหล
ที่ได้คุยกับคนงานเก็บเบอร์รี่ที่บ้านม่วง สกลนคร หลายคน (ทั้งหมู่บ้าน)
แม้จะเป็นการคุยกันผ่านสาย เพื่อบอกเล่าความคิดถึงกัน
และยืนยันยืนหยัดว่าสู้ไม่ถอย สู้เต็มที่
และดีใจที่ข้อมูลที่พยายามทำมาเป็นเดือนได้เดินทางถึงมือคนงานเก็บเบอร์รี่แล้ว

คนงานเก็บเบอร์รี่ชาว Ber-Ex 50 คนนี่สู้อย่างเข้มแข็งจริงๆ
และการต่อสู้ยกสองของเราก็กำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว
หลังฤดูกาลเก็บเกี่ยว

เบื้องบนสู้เพื่อแย่งชิงความชอบธรรมในนามสภาประชาชน

ที่หมู่บ้านพวกเราสู้เพื่อขจัดขบวนการค้าแรงงานและกินกำไรบนหลังคนงานอีสาน

พวกเราก็ประกาศ "ไม่ชนะไม่เลิก" เหมือนกันฮะ เพื่อฟื้นคืนศักดิ์ศรีให้คนงานเก็บเบอร์รี่

* * *

รู้สึกโกรธมากฮะ

วันนี้เพื่อซื้อบลูเบอร์รี่จากซุปเปอร์ของบริษัทที่นำเข้าคนงานไทยมาเก็บ

โดยคนงานไทยต้องใช้เงินคนละ 160,000 เพื่อการมาและการอยู่ตลอดฤดูกาล 2 เดือนที่ฟินแลนด์และสวีเดน

และปีนนี้คนงานขายเบอร์รี่ในราคากดต่ำสุดเพียง กิโลละ 1.4 หรือ 1.5 ยูโรเท่านั้น

แต่ราคาบลูเบอร์รี่ป่าของฟินแลนด์ที่แพคขายในห้างวันนี้คือ 15 ยูโรต่อกิโล

บริษัทได้เบอร์รี่ 3-4 ตันจากคนงานไทย 1 คนในแต่ละฤดู ซึ่งถ้าเก็บได้แค่นี้ ถือว่าคนงานทำงานฟรี และกลับบ้านโดยไม่เหลือเงินอะไรหลังจากหักค่าใช้จ่าย

นี่คือการส่งคนงานไทยมาเป็นแรงงานทาสปีละเป็นหมื่นคน เพียงเพื่อสร้างผลกำไรให้กับธุรกิจเบอร์รี่ที่สแกนดิเนเวียเท่านั้นเอง ที่มีกำไรก้าวกระโดดกันทุกปีๆ ละ 100-200 เท่า - เพราะไม่ต้องจ่ายต้นทุนแรงงานอะไร ... มีบริษัทค้าแรงงานจากไทยพาทาสมาทำงานให้พวกเขาฟรีๆ ทุกปี

ยิ่งเห็นก็ยิ่งโมโหในความโง่เขลาและมัวเมาในเงินใต้โต๊ะของข้าราชการกระทรวงแรงงานไทย

ที่ไม่เคยศึกษาปัญหาเรื่องนี้ และก็หยิ่งยะโส ดูถูกคนอีสานว่า "โง่ให้เขาหลอกเอง" โดยไม่เคยสนใจความเดือดร้อนของชาวบ้าน และพากันบ้าไปทั้งกระทรวง ไปกับการช่วยส่งเสริมงานเก็บเบอร์รี่ให้กับบริษัทค้าแรงงาน ให้หลอกลวงคนงานให้ต้องมาทำงานฟรีกันเช่นนี้ทุกปี ...

และไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ด้วย เป็นหมื่นคนทุกปี โดยรู้ทั้งรู้ว่าค่าใช้จ่ายสูงมากถึง 160,000 บาท กับงาน 2 เดือน ก็ยังไม่พากันเอะใจแม้แต่น้อย

โมโหจริงๆ นะฮะ!

* * *

และที่น่าโมโหยิ่งกว่าคือ ตอนนี้ปัญหาแรงงานเบอร์รี่เป็นประเด็นที่มีคนสนใจเยอะ ก็เลยมีนักแรงงาน นักสหภาพและ NGOs เริ่มสนใจ แต่พวกนี้ก็ไม่เคยทำงานเกาะติดเรื่องนี้ มีแต่อ่านข้อมูลที่ส่วนมากก็ทำโดยจรรยา หรือมาขอข้อมูลจากจรรยา ซึ่งแทบจะเป็นคนเดียวเลยที่เกาะติดและตามให้ความช่วยเหลือคนงานมาตั้งแต่ปี 2009 ทำงานโดยที่ไม่มีองค์กรหรือสหภาพไหนให้ทุนทำงานหรือสนับสนุนการต่อสู้อย่างต่อเนื่องมาตลอด 3-4 ปี

และยิ่งแย่ไปกว่านี้คือ แม้แต่แม่ง! ขนาดคนงานประท้วงก็ไม่เคยลงมาเยี่ยมมาพูดคุย แต่คิดโครงการจะวางมาตราการเรื่องการคุ้มครองคนงานเก็บเบอร์รี่ โดยไม่เคยรู้เท่าทันขบวนการค้าแรงงานเหล่านี้ และโดยที่ไม่เคยลงพื้นที่ถามคนงานหรือคนทำงานเรื่องนี้เลย

จริงๆ แล้วพวกนี้ก็ไม่กล้าคุยกับจรรยาโดยตรงด้วย แอบไปงุบงิบเขียนโครงการหาทุนทำเรื่องนี้ อ้างตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้กันอย่างหน้าไม่อาย ...

เห็นข่าวแต่ละครั้งก็เศร้าใจทุกทีเหมือนกัน เพราะเห็นว่ายิ่งพวกนี้ NGOs เข้ามา โดยไม่เข้าใจ ยิ่งทำให้ไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ตรงจุดมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะพวกเขามีแนวโน้มเข้าข้างธุรกิจมากกว่าเข้าข้างคนงาน

* * *


เห็นตั้งพรรคการเมืองกันมากขึ้น
นี่ก็เป็นแผนนโยบายพรรคการเมือง
ที่ถ้าผมได้กลับไทย
ผมก็คงพยายามจะตั้งหรือผลักดันให้มีการนำนโยบายเหล่านี้ไปปฏิบัติ

อ้อ ยกเลิกมาตรา 112 และกฎหมายที่คุ้มครองอภิสิทธิชนคนชั้นสูงในสังคมไทย อยู่ในแผนนโยบายข้อ 1 เลยนะขอรับ

* * *

อ่านภาษาปฏิรูปของนักวิชาการแล้วทำเอาคนงงได้เหมือนกันนะฮะ

มีการคิดคำศัพท์แสงใหม่ๆ เพื่อสร้างความมึนงงให้สังคมกันเก่งจริงๆ

อาทิคำว่า "ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง" ที่เริ่มเห็นใช้กัน

คำว่า "ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง" มันเป็นไปไม่ได้ในรูปธรรม

ถ้าจะเป็นก็จะต้องมีการทำ "ปฏิวัติรัฐประหาร" ให้สำเร็จเสียก่อน

คำนี้เป็นการเลี่ยงความหมายที่แท้จริงของมันคือ "ปฏิวัติก่อนการเลือกตั้ง"

* * *

3-4 ปีที่ตามการเมืองอย่างมากกว่าปกติ
สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือ
การต้องตีความคำพูดหรือข้อเขียนระหว่างบรรทัด
ของนักวิชาการ นักการเมือง ชนชั้นสูง และนักปราศรัยการเมือง
กันอยู่ตลอดเวลา ไปกับวาทะกรรม "ถึงตายก็พูดไม่ได้"

นอกจากความรู้สึกเหนื่อย
ไม่มั่นใจว่าตีความถูกหรือเปล่าวะแล้ว

สิ่งหนึ่งที่ส่งผลต่อกูมากเหมือนกันคือ
ทำให้กูไม่ไว้ใจคำพูดของใครง่ายๆ ไปด้วย
และทำให้มองอะไรตรงๆ ตามคำพูด โดยอดระแวงและพยายามตีความว่า
มึงต้องการจะสื่อถึงอะไรวะ หรือต้องการจะสื่อถึงอะไรหรือเปล่า
ไม่ได้ไปด้วยเหมือนกัน

การเมืองทำให้เราต้องเป็นการเมืองกันไปด้วยเหมือนกันนะฮะ

* * *

โอ่! ชัดแจ๋วจริงๆ
นี่มันเป็นการไปเรียกร้องให้ทหารปฏิวัติชัดๆ
ทำกันแบบเปิดเผยออกสื่อชนิดไม่ต้องแอบประชุมลับกันอีกต่อไป

ไม่ใช่ประเทศที่มีสถิติรัฐประหารสูงที่สุดในโลก ทำไม่ได้เด็ดขาด!

* * *

อยากให้มีสักประเทศหนึ่งในโลกนี้จริงๆ ที่ประกาศรับรองนักกิจกรรมที่ต้องลี้ภัยการเมือง 112 จากประเทศไทย

สงสารคนที่ต้องทนอยู่ในเมืองไทยพร้อมกับความกลัวว่า เมื่อไรจะถูกจับ หรือจะถูกตำรวจออกหมายจับ

เซ็งรัฐบาลเพื่อไทยก็ตรงนี้นั่นล่ะ ที่น่าจะรู้ว่าทำดีแค่ไหนก็ไม่มีทางบริหารได้อย่างราบรื่นอยู่แล้ว ยกเลิก 112 ตั้งแต่เข้ามาบริหารปีแรกเสียก็สิ้นเรื่อง

มาตรา 112 จะได้ไม่ถูกนำมาทำร้ายประชาชนกันอยู่เช่นนี้

* * *

I am sorry to my Non-Thai friends for posting many comments today, much of it around Thai berry pickers and the current debate about whether Thailand will have a military coup or a ballot box.

ขอโทษนะฮะ วันนี้อัดหลายโพสต์ ตลอดทั้งวันเลย ถ้าไม่อยากอ่านก็ unfriend กันได้ตามอัธยาศัยนะฮะ