10 มค. 13

ยกเลิกทรงผมเกรียนแล้ว เราก็มาดันกันต่อให้ยกเลิกเครื่องแบบนักเรียน นักศึกษากันเถอะนี่เป็นข้อเขียนเมื่อปีที่แล้ว แต่ก็ร่วมประเด็นและขออนุญาตฉายซ้ำ สำหรับท่านที่ไม่ได้อ่าน

 รวมกันรณรงค์ถอดเครื่องแบบเพื่อเปิดเสรีภาพทางความคิดในรั้วมหาวิทยาลัยกันเถอะ


by Junya Lek Yimprasert (Notes) on Thursday, 1 March 2012 at 04:44

ตื่นมายามใกล้รุ่ง ตัดสินใจเขียนประเด็นที่ค้างคาในความรู้สึกมาหลายวัน ก่อนจะกลับไปนอนต่ออีกหน่อย . .
ต้องขออนุญาตกล่าวว่า รู้สึกแย่พอสมควรที่เห็นความเห็นของอาจารย์มหาวิทยาลัยหลายท่านว่าชอบให้นักศึกษาใส่เครื่องแบบเพราะดูเรียบร้อยดี แต่ไม่ใส่ก็ไม่ว่าอะไร . . จึงขออนุญาตเขียนเรื่องเครื่องแบบอีกครั้ง หลังจากเขียนถึงมาในงานหลายชิ้นแล้ว
เล็กเป็นคนต้านระบบเครื่องแบบมาตั้งแต่เรียนมหาลัย ด้วยความที่มันไม่คล่องตัว ใส่แล้วอึดอัด ใส่เพราะถูกบังคับให้ใส่ ทำให้รู้สึกว่าไม่มีเสรีภาพที่จะเลือกใส่เสื้อผ้าได้เองขนาดอยู่มหา'ลัย (ตอนเข้ามหาวิทยาลัยนี่ ใจมันเตรียมโบยบินหนึเครื่องแบบสมัยมัธยมเต็มแก่ คิดว่าหลุดจากเครื่องแบบแล้ว แต่ที่ไหนได้มาเจอเครื่องแบบในมหา'ลัยอีก เซ็งไปเลย)

และยิ่งคิดมาคิดว่่าโตแล้ว ในวัยมีผัว มีลูกได้แล้ว และได้รับสิทธิเลือกตั้งแล้ว (มีสิทธิร่วมชี้ชะตาบ้านเมืองแล้ว) ก็ยังไม่มีสิทธิตัดสินใจด้วยตัวเองเรื่องเสื้อผ้า ยิ่งรับไม่ได้มากขึ้นกับความคิดเรื่องนักศึกษาต้องใส่เครื่องแบบเพราะ "ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย ดูดี และไม่ฟุ้มเฟื่อย (ซึ่งก็ไม่จริง)"
ทั้งนี้อาจารย์หลายคนอ้างว่า ถ้าเปิดเสรีภาพเรื่องเสื้อผ้านักศึกษาจะเแฟชั่นมาเรียนและฟุ้มเฟือยเรื่องเครื่องแต่งกายกันมาก ซึ่งดูเป็นข้ออ้างที่อาจารย์ค่ายก้าวหน้าหลายคนก็ยอมจำนนในข้ออ้างนี้ - เรื่องนี้ก็ไม่เป็นเช่นสมมติฐานนั้นกันทุกคนแน่ๆ!
ช่วงเรียนอยู่มหา'ลัย ถ้าไม่บังคับกันจริงๆ นี่เล็กจะไม่ใส่เครื่องแบบเลย ถึงบังคับบาง หลายครั้งก็ไม่ใส่เหมือนกัน - และมักจะใส่เสื้อเชิร์ต กางเกงขาก๋วย รองเท้าแตะไปเรียนตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสี่ (หลังๆ มาได้ข่าวว่าสไตล์การแต่งตัวแบบประหยัด คล่องตัว นี้ไม่เป็นที่ยอมรับเช่นกัน และการใส่รองเท้าแตะจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าห้องสมุดและห้องคอมพิวเตอร์ ยิ่งเซ็งเข้าไปอีกโข)

พอทำการรณรงค์เรื่องแรงงาน และศึกษาปัญหาเมืองไทยมากขึ้น ในระยะหลังนี่ถึงกับรู้สึกสยองทีเดียว เมื่อเห็นนักสึกษาใส่เครื่องแบบ กัดและเหน็บน้องๆ นักกิจกรรมนักศึกษาตลอดเวลาเห็นพวกเขาใส่เครื่องแบบมาเยี่ยมในที่ประท้วงของคนงาน หรือมาร่วมเดินขบวนกับมวลชนว่า ทำไมต้องใส่เครื่องแบบ และมันไม่จำเป็นเลยที่จะต้องแสดงสัญลักษณ์ความแตกต่างอันโดดเด่นและเห็นชัดของการเป็นนักศึกษามาร่วมขบวนทางการเมือง
ช่วงแรกๆ น้องๆ มักตอบว่าใส่เพื่อเป็นสัญลักษณ์ให้เห็นว่า สนนท. นักศึกษาอยู่ในขบวนด้วย
เล็กก็ดันต่อว่าทำไมมันต้องแสดงสัญลักษณ์แห่งความแตกต่างล่ะ การเรียนต้องทำให้คนยิ่งตระหนักในปัญหาเมืองไทย ยิ่งต้องพยายามยกเลิกวิถีการแสดงถึงความแตกต่างทางชนชั้นและความเป็นอภิสิทธิชนไม่ใช่หรือ?
ช่วงหลังยิ้มและดีใจทุกครั้งที่เห็นภาพน้องๆ นักศึกษาในเวทีการเมืองด้วยเสื้อผ้าธรรมดามากขึ้นและใส่เครื่องแบบกันน้อยลง
ขอฟันธงว่า ถ้าจะทำให้สังคมไทยรู้จักประชาธิปไตย เคารพความแตกต่าง รักและหวงแหนเสรีภาพ รรู้จักเคารพในกติกาแห่งสิทธิมนุษยชนและความเป็นมนุษย์ของคนอื่นๆ ต้องถอดเครื่องแบบ ถอดสัญลักษณ์ที่คุมและครอบความคิด - ที่สร้างมนุษย์พิมพ์เดียว และสร้างความเป็นอภิสิทธิชนให้กับนักศึกษา - ออกจากการบังคับใส่ตั้งแต่ระดับประถม มัธยม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ควรมีเครื่องแบบหรือมีการบังคับใส่ทั้งสิ้นในระดับมหาวิทยาลัยโดยเด็ดขาด
ถ้าไม่ไว้ใจว่าคนไม่ว่าจะวัยใด สามารถเลือกสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุด ที่พวกเขาต้องอยู่กับมันทั้งวัน ทุกวันคือ "เสื้อผ้า" ได้เอง จะคาดหวังให้เขารู้จักกับเสรีภาพ เคารพความแตกต่างของมนุษย์คนอื่นได้อย่างไร ในเมื่อเขาไม่ได้โตมากับความแตกต่างเลย . . โตมากับพิมพ์เดียวกัน เครื่องแบบเดียวกัน และกรอบคิดที่ถูกป้อนแบบเดียวกัน
อยากเห็นประเทศก้าวหน้า รู้จักเสรีภาพ เคารพความคิดต่าง ก็ต้องถอดเครื่องแบบออกจากการศึกษาเป็นอันดับแรก ..
การจะถอดเครื่องแบบออกจากการศึกษาในทุกระดับ นักศึกษาทำตามลำพังไม่ได้แน่นอน จำต้องมีอาจารย์จำนวนไม่น้อยที่เห็นด้วยและร่วมผลักดัน
ขออนุญาตแนะนำอาจารย์ทั้งหลายว่า ลองบังคับให้นักศึกษาไม่ใส่เครื่องแบบมาเรียนสักอาทิตย์หนึ่ง แล้วสังเกตปฏิกริยาของนักศึกษาและความรู้สึกของอาจารย์ในระหว่างการเรียนการสอน ก็เป็นการทดลองที่น่าสนใจไม่น้อย
ถ้าเล็กสอนหนังสือ ก็คงจะบอกอย่างจริงจังกับนักศึกษาว่า ไม่ต้องการเห็นนักศึกษาใส่เครื่องแบบมาเรียนในวิชาที่ตัวเองสอน . .
------------------------

ณ ยามนี้ พวกเราไม่ควรตั้งคำถามแค่เรื่องทรงผมเกรียนแต่ควรเปิดประเด็นที่เลยไปจากเรื่องทรงผม ไปยังเรื่องเครื่องแบบนักเรียน-นักศึกษา และระบบโซตัสในมหาวิทยาลัยซึ่งจำเป็นจะต้องถูกยกเลิกทั้งหมด!

* * *

เห็นข่าวนักกิจกรรมถูกอุ้ม นักการเมืองอุดมการณ์ถูกฆ่า ผู้ปกป้องชุมชนถูกลอบยิง แล้วกูนึกตลอดว่า "มันเป็นกูได้ทุกเมื่อเช่นกัน"

ในการเมืองที่กฎเถื่อน(ที่หนุนด้วยเผด็จการการเมืองและเผด็จการทางเศรษฐกิจ) ยังคงใช้กันเพื่อปิดปากคนพูดความจริง สู้เพื่อความถูกต้อง และสู้เพื่อความเท่าเทียมในสังคม

มันยังมีไม่กี่ประเทศที่ยังใช้กฎเถื่อนเหล่านี้ปิดปากผู้คนอยู่ นั่นรวมทั้งไทยและเพื่อนบ้านในอินโดจีนและอาเซียนด้วย

ที่นักกิจกรรม นักสู้ ก็ยังต้องเลือกเสี่ยงชีวิตการทำงาน กับโอกาสในการเผชิญหน้ากับกฎเถื่อนเหล่านี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
--------------

ตามข่าวเรื่องอ้ายสมบัติ สมพอน กันหน่อย!

เป็นห่วงเรื่องนี้จริงๆ ไม่รู้ว่าชะตากรรมของอ้ายสมบัติจะเป็นเช่นไร
ขอเอาใจช่วยให้อ้ายสมบัติถูกปล่อยตัวกลับมาอย่างปลอดภัย

อ่านรายละเอียดข่าว