3 กพ. 13

คงต้องเหนื่อยกันอีกนาน ...ไม่ได้เรื่องทั้ง กสม. และนปช.

แม่ง! ณัฐวุฒิพูดไปเองนะว่า "คนเสื้อแดงจะไม่มีการเคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลและพร้อมที่จะรับฟังความเห็นของกฤษฎีกา"

เชื่อดิ ... ถ้าผลออกมาไม่เป็นที่พอใจ ยังไงๆ ก็ต้องมีการเคลื่อนไหวต่อทั้งภายในและต่างประเทศ มันหยุดไม่ได้หรอกจนกว่าจะทำตามหลักนิติธรรมและหลักการแห่งเสรีภาพตามอารยะประเทศ  



นายแพทย์นิรันดร์ ชี้เเจงว่า... "โดยการออกแถลงการณ์แสดงจุดยืน ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นสำหรับการทำงานของกรรมการสิทธิฯแต่อย่างใด"

ขณะที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ... "พร้อมยืนยันว่ากลุ่มคนเสื้อแดงจะไม่มีการออกมาเคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลและพร้อมที่จะรับฟังความเห็นของกฤษฎีกาไม่ว่าจะออกมาในแนวทางใด"

http://news.voicetv.co.th/thailand/62069.html


* * *

คุณดวงจำปา ขุดประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์สหรัฐฯ ไทย มาให้อ่านกันหลายชิน
ขอบคุณมากๆ ฮะ 
---------------------
บทความแปล: นโยบาย (ลับ) ของประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีต่อประเทศไทย (สมัยประธานาธิบดี เจอรัลด์ ฟอร์ด)


by Doungchampa Spencer (Notes) on Saturday, 2 February 2013 at 03:13



อ้างอิง:  Memorandum From the President’s Assistant for National Security Affairs (Scowcroft) to President Ford, Washington, April 20, 1976. 

บันทึกจากผู้ช่วยฝ่ายบัญชาการกองกำลังรักษาความมั่นคงภายใน (สโกรครอฟท์) ของประธานาธิบดี ถึงประธานาธิบดีฟอร์ด, กรุงวอชิงตัน, ลงวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2519
* * *

เราเลือกนักการเมืองให้เข้าไปยืนตัวตรงในสภาอย่างสง่างามในฐานะตัวแทนประชาชน ไม่ได้เลือกให้เข้าไปกราบหมา!

* * *
เรื่องที่ต้องอัดนักการเมืองกันเรื่อยๆ เพราะว่าถึงแม้ว่าสถาบันนักการเมืองอาจจะเลวได้ไม่ต่างจากพวกสถาบันทหาร ตำรวจ ข้าราชการ นายทุน และข้าราชสำนักทั้งหลาย

แต่นักการเมืองก็เป็นคนที่มีอำนาจที่จะวางหมุดหลักแห่งหลักการ และกฎหมายในประเทศไทย เพื่อให้สถาบันอื่นๆ ต้องปรับตัวและปฏิบัติตาม

จะแก้ปัญหาประเทศชาติ นอกจากประชาชนฉลาดขึ้นแล้ว นักการเมืองต้องปฏิบัติตัวสมศักดิ์ศรีตัวแทนที่ประชาชนเลือกด้วย

ย้ำอีกที นักการเมืองต้องยืนตัวตรงอย่างสง่างามในฐานะตัวแทนประชาชน ไม่ใช่กราบไปทั่ว กราบใครก็ได้ เพื่อต่อรองอำนาจและผลประโยชน์ โดยไม่ทำหน้าที่ด้านการปรับแก้กฎหมายและนโยบายต่างๆ ที่ไม่เป็นธรรม

อำนาจในฐานะตัวแทนประชาชนมันก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ ที่จะให้นักการเมืองทำหน้าที่อย่างเข้มแข็งและสง่างาม โดยไม่ต้องกราบหมาหรือกราบคนชั่ว!
* * *

“พ่อนำชาติด้วยสมองและสองแขน พ่อสร้างแคว้นธรรมศาสตร์ประกาศศรี พ่อของข้ำนามระบือชื่อ ‘ปรีดี’ แต่คนดีเมืองไทยไม่ต้องการ”

Tone Tipayanon

การแปรอักษรที่ต้องมีการตระเตรียมหนีสันติบาลเมื่อ สามสิบปีก่อน

(จากบันทึกของ วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์)

ปี พ.ศ.๒๕๒๒ เป็นปีแรกที่ผมเข้าเป็นนักศึกษาปี ๑ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ช่วงเวลานั้นเพิ่งผ่านเหตุการณ์สังหารหมู่ใูนธรรมศาสตร์ ๖ ตลุาคม ๒๕๑๙ ได้เพียง ๓ ปี บรรยากาศในมหาวิทยาลัยยังอยู่ในช่วงฟื้นไข้จากเหตุการณ์หฤโหด กิจกรรมนักศึกษาเพิ่งกลับมาแต่ยังซบเซา ปกคลุมไปด้วยความหวาดระแวง อึมครึม มีเรื่องต้องห้ามมากมายที่ห้ามพูดห้ามเอ่ยถึงจำได้ว่าบริเวณทางเข้าประตูท่าพระจันทร์มีโปสเตอร์ตีพิมพ์จดหมายของอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ จากประเทศอังกฤษ เป็นลายมือเขียนด้วยมือซ้ายด้วยเหตุว่าท่านเพิ่งฟื้นจากอาการเส้นโลหิตในสมองแตก พูดไม่ได้ มือขวาใช้การไม่ได้ แต่ความทรงจำยังดี อาจารย์ป๋วยเขียนคำอวยพรสั้นๆ ถึงเพื่อนใหม่ที่เพิ่งเดินสู่รั้วเหลืองแดงเป็นครั้งแรก

เวลานั้นไม่มีใีครกล้าเอ่ยถงึ ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งขณะนั้นลี้ภัยอยู่ในประเทศฝรั่งเศส ชื่อนี้เป็นสิ่งต้องห้ามส าหรับสังคมไทยมานานกว่า ๓๐ ปีแล้วตั้งแต่ท่านลี้ภัยการเมืองภายหลังรัฐประหารปี ๒๔๙๐ จะมีข่าวสารเรื่องราวของท่านในสังคมก็เพียงช่วงสั้นๆ ภายหลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ แต่พอหลังเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ เรื่องราวของท่านกลับเงียบหาย แม้ในมหาวิทยาลัยที่ท่านเป็นผู้ก่อตั้งก็ยังไม่มีใครพูดถึงในที่แจ้ง หนังสือเกี่ยวกับปรีดีตามชั้นหนังสือในห้องสมุดมีแทบนับเล่มได้

ปรีดี พนมยงค์ ในเวลานั้น คนในสังคมรู้เพียงว่าเขาคือหนึ่งในคณะราษฎรที่จะล้มสถาบันกษัตริย์ เป็นผู้เกี่ยวข้องกับกรณีสวรรคตในหลวงรัชกาลที่ ๘ และเป็นคอมมิวนิสต์ เกียรติคุณของท่านในเวลานั้นรู้กันเฉพาะในหมู่คนที่สนใจศึกษา และไม่มีใครกล้าพูดกล้าแสดงความเห็นในที่สาธารณะ ชีวิตการทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัยทำให้ผมมีโอกาสได้ศึกษาเรื่องราวของอาจารย์ปรีดีเป็นประจำ จนกระทั่งปลายปี ๒๕๒๕ ผมมาช่วยเตรียมงานแปรอักษรของชุมนุมเชียร์ในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ที่จะมีขึ้นในเดือนมกราคมปีถัดไป ผมเห็นปฏิทินของสหกรณ์ธรรมศาสตร์เป็นรูปปรีดี พนมยงค์ พร้อมคำกลอนบทหนึ่งว่า “พ่อนำชำติด้วยสมองและสองแขน พ่อสร้างแคว้นธรรมศาสตร์ประกาศศรี พ่อของข้ำนามระบือชื่อ ‘ปรีดี’ แต่คนดีเมืองไทยไม่ต้องการ”

ผมได้ไปปรึกษาคุณอดุลย์ โฆษะกิจจาเลิศ ประธานชุมนุมเชียร์ซึ่งเป็นเพื่อนสนิท ว่างานบอลประเพณีฯ ที่จะมีในเดือนหน้า เราน่าจะแปรอักษรเป็นข้อความนี้ และเปิดรูปอาจารย์ปรีดีบนสแตนด์เชียร์ที่เี่ต็มพรืดด้วยนักศึกษาจำนวน ๒,๕๐๐ คน เพื่อประกาศให้โลกรู้ว่านักศึกษาธรรมศาสตร์รุ่นนี้ไม่เคยลืมอาจารย์ปรีดี

คุณอดุลย์เห็นด้วย และบอกว่าพวกเราอยู่ปี ๔ กันแล้ว น่าจะทำอะไรเป็นการตอบแทนผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในบั้นปลายชีวิตของท่าน เมื่อสืบจนพบว่าคนเขียนกลอนบทนี้เป็นเพื่อนคณะนิติศาสตร์ชื่อเล่นว่า เทียน เราก็ได้ขออนุญาตนำกลอนของเขามาแปรอักษร ต่อมาจึงประกาศให้ทีมงานบางคนทราบว่าการแปรอักษรครั้งนี้จะเป็นครั้งประวัติศาสตร์ที่ลูกแม่โดมจะเผยแพร่รูปอาจารย์ปรีดีสู่สาธารณชนเป็นครั้งแรก เนื่องจากสถานีโทรทัศน์ช่อง ๙ ถ่ายทอดสดตลอดรายการ

เราตกลงกันว่าการแปรอักษรนี้จะเป็นความลับ รู้กันไม่กี่คนไม่บอกอาจารย์หรือศิษย์เก่าใดๆ เพราะกลัวว่าจะถูกผู้ใหญ่บางคนห้ามปรามด้วยความหวาดกลัว

เวลานั้นพวกเราวางแผนกันว่า หากแปรอักษรไปแล้วเกิดมีตำรวจหรือสันติบาลมาถามหาก็นัดแนะกันว่าจะหนีไปทางไหน และจะไม่ซัดทอดกัน หากมีการจับก็ให้มีคนโดนจับน้อยที่สุด

พอถึงวันที่ ๒๙ มกราคม พ.ศ.๒๕๒๖ งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ครั้งที่ ๓๙ เริ่มขึ้น ณ สนามศุภชลาศัย เราวางแผนเตี๊ยมกับทางโฆษกสนาม ขณะที่ขบวนพาเหรดล้อการเมืองเข้าสู่สนามได้สักพัก พอได้เวลาถ่ายทอดสดเราก็วิทยุไปยังโฆษกบอกผู้ชมให้ตั้งใจดูหน้าสแตนด์เชียร์ธรรมศาสตร์เพราะจะได้พบปรากฏการณ์ครั้งแรกและให้กล้องโทรทัศน์เตรียมจับภาพ บนอัฒจันทร์เริ่มแปรอักษรเป็นคำกลอนพร้อมกับที่โฆษกสนามอ่านกลอนบทนี้ดังก้องสนามศุภชลาศัย ปิดท้ายด้วยภาพอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ มีฉากหลังเป็นรูปโดม สัญลักษณ์ของ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

เมื่อโฆษกสนามพูดบทกลอนซ้ำอีกครั้ง ในสนามเงียบก่อนที่เสียงปรบมือจะดังลั่น ศิษย์เก่าธรรมศาสตร์ ศิษย์เก่า ต.มธก. หลายคนยืนขึ้น น้ำตาไหลด้วยความดีใจเพราะเป็นครั้งแรกในรอบ ๓๐ กว่าปีที่มีการพูดถึงอาจารย์ปรีดีชัดเจนในที่สาธารณะ ขณะที่นักศึกษาบนอัฒจันทร์โห่ร้องด้วยความยินดีที่ตนในฐานะลูกแม่โดมได้ทำอะไรบางอย่างเพื่อผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยแห่งนี้

พอแปรอักษรรูปนี้เสร็จ พวกเราที่อยู่ด้านล่างทำ หน้าที่ควบคุมสแตนด์เชียร์ต่างสวมกอดกันด้วยความดีใจที่สามารถทำให้อาจารย์ปรีดีออกมาสู่พื้นที่สาธารณะได้เป็นครั้งแรก ไม่กี่สัปดาห์ต่อมาชุมนุมเชียร์ก็ได้รับจดหมายจากอาจารย์ปรีดีส่งตรงจากประเทศฝรั่งเศส ความว่ามีคนส่งภาพการแปรอักษรครั้งนี้ไปให้ท่านดู จึงเขียนจดหมายมาขอบใจคนที่เกี่ยวข้องทุกคนที่ยังรำลึกถึงท่าน

* * *
อย่างฮา ...

ไม่หัดอ่านประวัติศาสตร์กันบ้างเล๊ยพวกมึงเนี่ย

พ่อขุนเผด็จการสฤษดิ์ ที่ขุนครอบครัวตัวเองและของอนุภรรยา 50-60 คน จนอ้วนพี มีกฎหมายมาตรา 17 อยู่ในมือสั่งประหารชีวิตใครก็ได้ รับงบลับจากสงครามต้านคอมมิวนิสต์จากสหรัฐจนอื้อซ่า และยังใช้ตำแหน่งหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์อีกมากมาย

ตอนตายนี่มีที่ดินร่วม 20,000 ไร่ ทรัพย์สินกว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ส่วนใหญ่ถือว่าได้มาจากการคอรัปชั่น และรัฐบาลถนอมทำเรื่องพอเป็นพิธียึดคืนมาได้เพียง 600 กว่าล้านบาทเท่านั้น!

แม่ง! สลิ่มทนไม่ไหวเอ๋ย กูก็อยากให้พวกมึงอ่านหนังสือประวัติศาสตร์กันมากกว่านี้จังเลย!!!


กลุ่มประชาชนทนไม่ไหว
กลุ่มประชาชนทนไม่ไหว
ในหลวง กับ จอมพลสฤษดิ์
จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เจ้าของวาทะอมตะ "ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว" และ "พบกันใหม่เมื่อชาติต้องการ"

ก่อนวันอสัญกรรมเมื่อวันที่ ๘ ธค. ๒๕๐๖ ยังคงตรากตรำทำงานอย่างหนักในฐานะผู้นำประเทศ โดยไม่ยอมพักผ่อนตามความเห็นของแพทย์ รวมถึงการทำหน้าที่ประธานในพิธี กระทำสัตย์ปฏิญาณต่อธงไชยเฉลิมพล ที่ต้องยืนท่ามกลางแดดนานถึง ๓ ชั่วโมง

โดยกล่าวว่า "สัญญากับลูกน้องไว้แล้วว่าจะไป ถึงจะตายก็ขอไปตายกับทหาร" ผลของการตรากตรำได้ทำให้อาการป่วยทรุดหนักลง จนต้องไปพักรักษาตัวที่แหลมแท่น บางแสน

และในวันที่ ๒๗ พย. ๒๕๐๖ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จไปทรงเยี่ยม จอมพลสฤษดิ์ ได้ขอพระบรมราชานุญาตจับพระหัตถ์ของพระองค์นำมาทูนไว้เหนือศีรษะ เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความจงรักภักดีจนวาระสุดท้ายของชีวิต

ภาพที่ปรากฏต่อสายตาชาวไทยในเวลานั้น ได้สร้างความประทับใจไปทั่วประเทศ...
ขอบคุณข้อมูลภาพ นายบวร ยสินทร แกนนำกลุ่มราษฎรอาสาปกป้อง 3 สถาบัน หนึ่งในเครือข่ายกลุ่มองค์การพิทักษ์สยามและนายดินสอไม้ ณ. ไข่มุกอันดามันค่ะ
--------------



ผมล่ะขำไม่หาย ที่จู่ๆ คนรักเจ้าบางคน เกิดแสดงความชืนชมสฤษดิ์ ขึ้นมา (แหม อย่างว่านะ พวกนี้ เห็นภาพ สฤษดิ์ ใกล้ชิดในหลวง ก่อนตาย เอาพระหัตถ์มาวางไว้ทีหัว ก็ซาบซึ้งกันใหญ่ ดูตัวอย่างที่นี่ https://www.facebook.com/photo.php?fbid=408575175900428&set=a.336061146485165.77241.336041063153840&type=1&ref=nf)
* * *

พวกแกนนำ นปช. เป็นอะไรกันนักหนาหรือ ทำตัวราวกับคนไร้วุฒิภาวะ ได้ข่าวว่าแถลงข่าวและปราศัยรายวันถล่มกิจกรรม " 29 มกราฯ 10,000 ปลดปล่อย" กันไม่เลิกลา 

กูถามจริงๆ พวกคุณ/ท่าน/มึงทั้งหลายเป็นเจ้าของคนใส่เสื้อแดง และกิจกรรมการเมืองที่ทำกันในหมู่คนที่ใช้สัญลักษณ์สีแดงกันตั้งแต่เมื่อไรวะ? 

ยิ่งเกเร โจมตีกลุ่มแดงอิสระมากเท่าไร คนที่เสียหายคือ นปช. นะฮะ ไม่ใช่เสรีชนคนรักประชาธิปไตยที่ใส่เสื้อแดงทั้งหลาย
* * *
พวกแกนนำ นปช. เป็นอะไรกันนักหนาหรือ ทำตัวราวกับคนไร้วุฒิภาวะ ได้ข่าวว่าแถลงข่าวและปราศัยรายวันถล่มกิจกรรม " 29 มกราฯ 10,000 ปลดปล่อย" กันไม่เลิกลา 

กูถามจริงๆ พวกคุณ/ท่าน/มึงทั้งหลายเป็นเจ้าของคนใส่เสื้อแดง และกิจกรรมการเมืองที่ทำกันในหมู่คนที่ใช้สัญลักษณ์สีแดงกันตั้งแต่เมื่อไรวะ? 

ยิ่งเกเร โจมตีกลุ่มแดงอิสระมากเท่าไร คนที่เสียหายคือ นปช. นะฮะ ไม่ใช่เสรีชนคนรักประชาธิปไตยที่ใส่เสื้อแดงทั้งหลาย
* * *
เหตุผลของสองไม่เอาแต่รับได้ในหลักการ "ชนะเลือกตั้งตามกระบวนการประชาธิปไตย" แต่ไม่เอาตรรกะระหว่าง "อำมาตย์ดีกว่าทุนสามานย์" หรือ "ทุนโกงกินดีกว่าผู้ดีสามานย์ เพราะยังแบ่งให้บ้าง"

ก็เพราะเรารู้ว่า ...

ไม่ว่าจะช่วยอำมาตย์รบชนะนายทุน(ที่ไม่ใช่พวก) หรือ

ช่วยนายทุนชิงการสนับสนุนจากอำมาตย์ (จากทุนอีกพวก)

ประชาชนก็ยังต้องรบกับผู้ชนะจากทั้งสองค่ายกันอีกพักใหญ่

และไม่ว่าใครจะชนะ วังก็ยังอยู่เหนือการเมืองไม่เปลี่ยนแปลง

เพราะการคงอำนาจวังไว้หนือการเมือง มันช่วยเอื้อประโยชน์กับนักการเมืองนายทุนโลกาภิวัตน์ ที่แสวงหาความมั่งคั่งบนฐานทรัพยากรอันจำกัดมากขึ้นเรื่อยๆ จึงต้องอ้างพระราชดำริกันตลอดเวลาเพื่อปิดปากเสียงประท้วงต่างๆ

นายทุนที่เข้าสู้หรือหนุนการเมือง หรือวังที่ต้องยุ่งเกี่ยวกับการเมือง เพราะต่างก็ต้องการขยายการค้ากำไรสู่พื้นที่ทรัพยากรที่ยังเหลืออยู่ ที่จำต้องปะทะแย่งชิงกับประชาชนในท้องถิ่นที่มีความตื่นตัวเรื่องสิทธิมากขึ้นเรื่อยๆ

พวกผู้มีอำนาจ หรือผู้กุมอำนาจ - ไม่ว่าในประเทศใด - ถ้าไม่มีกฎหมายที่ควบคุมเข้มแข็ง ก็ไม่ชอบการรวมตัวเรียกร้องอยู่แล้ว ไม่ว่าจากคนจน คนงาน หรือคนชั้นกลาง ไม่ว่าจะด้วยเรื่องใดๆ ก็ตาม

เมื่อนายทุนยังเป็นกลุ่มคุมนโยบายการเมืองหลักในวิถีความศักดิ์สิทธิ์แห่ง "อันล่วงละเมิดมิได้" และ "มึงรู้ไหมว่ากูเป็นใคร" การต่อสู้บนท้องถนนและในพื้นที่ก็ยังไม่มีทางหายไป

ประชาธิปไตยไม่ว่าจะในนาม "นายทหาร" หรือ "นายทุน" อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มันจึงปิดกั้นเรื่องเสรีภาพ และบังคับให้ประชาชนเลือกกันที่นโยบายว่า ค่าจ้าง "ปิดปาก และ ปิดเสรีภาพ" นั้นเป็นที่พอใจหรือไม่

ถ้าเลี้ยงดูประชาชนกันดีก็ทำให้เงียบเสียงกันไปได้สักระยะหนึ่ง
* * *
บางทีก็อยากทำตัวน่ารัก ดัดจริตนิดๆ พองาม เพื่อจะมีคน Like แอนด์ Love มากขึ้น แต่ แม่ง FB ก็ไม่ค่อยเป็นใจ มีเรื่องให้กูแรงงงงส์ ได้ทุกวัน!!!
* * *