30 พ.ค. 13

(1)

การเมืองไทยในช่วงทักษิณและหลังรัฐประหารมาจนถึงปัจจุบัน มันก็ยังอยู่กับการช่วยกันย้ำกับสังคมให้เข้าใจเรื่องพื้นฐานแห่งการอยู่และเคารพกันในสังคม ของการเป็นมนุษย์ที่ต้องอยู่ร่วมกันและต่อรองและประสานประโยชน์ของกันและกัน โดยทุกฝ่ายมีเป้าหมายที่การเข้าไปยึดครองรัฐสภาไว้ให้ได้ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า "รัฐสภา" และ "รัฐบาล" เป็นศูนย์กลางอำนาจที่ตามครรลองที่ไม่อาจปฎิเสธได้ในการเมืองโลกปัจจุบัน

และแน่นอนว่า การวิเคราะห์แบบคนจน "โง่" และ "ถูกนักการเมืองจูงจมูก" แบบเก่ามันใช้ไม่ได้อีกต่อไป

แต่กระนั้น สังคมก็ยังย้ำย่ำกันอยู่ในเรื่องการพยายามให้ทั้งสังคมยอมรับในหลักการเหล่านี้กันจนถึงบัดนี้

ย้ำและย่ำกันเพื่อหาความหมายแ่หงนิยามใหม่ หาคำอธิบายใหม่ต่อปรากฎการณ์ทางการเมืองของไทย ให้คนเข้าใจว่าคนมันก็ไม่โง่กันตลอดชีวิต และคนทุกชนชั้นโดยเฉพาะการลุกขึ้นของคนเสื้อแดง ก็มีเรื่องการลุกขึ้นมาปกป้องและเรียกร้องผลประโยชน์เพื่อกลุ่มตัวเองด้วยเช่นกัน ไม่ใช่แค่เป็นพลังมวลชนที่ไม่ประสีประสาอีกต่อไป

สิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยตอนนี้ ซึ่งเป็นสภาวะปกติของพัฒนาการทางการเมือง ก็คือ การต่อรองอำนาจมันเกิดขึ้นทุกระดับ ทั้งในการเมืองวิถี "บนลงล่าง" และ การต่อรองจาก "ล่างขึ้นบน"

แต่จะพบกันตรงจุดไหน จะสำเร็จแค่ไหน มันก็ขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของการต่อรองของแต่ละกลุ่ม

แต่ที่แน่ๆ กลุ่มที่พยายามต่อรองโดยใช้อำนาจปืนกดทับจากด้านบนลงมายังข้างล่าง ต่อไปด้วยฐานคิด "ล่างโง่และไม่รู้เรื่อง" กำลังเป็นปรากฎการณ์ที่ล้าสมัยและต้องพ่ายแพ้ไปในที่สุด
* * *

(2)

บทเรียนที่สำคัญยิ่งต่อคนไทยนับตั้งแต่เกิดปรากฎการณ์พันธมิตรเมื่อปี 2548 คือ เมื่อสถาบันพระประมุข (ในประเทศไทยคือสถาบันพระมหากษัตริย์) ไม่ฉลาดพอ และลงมาแย่งชิงอำนาจนำกับรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง ด้วยวิถีการที่ขัดกับกฎิกาประชาธิปไตยด้วยการทำลายและโค่นอำนาจรัฐสภาด้วยการรัฐประหารหรือด้วยบารมีสั่งยุบพรรคการเมือง

การตัดตอนครรลองประชาธิปไตยแบบนี้ มันได้ส่งผลทำลายล้างและสร้างความชะงักงันต่อการพัฒนาประเทศอย่างมหาศาล และมันคือปัจจัยสำคัญยิ่งที่นำสู่การถดถอยทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การเมือง นั่นหมายถึงการสั่นคลอนทางด้านเสถียรภาพในทุกด้านของประเทศ ...ซึ่งเป็นอุปสรรคที่แท้จริงต่อพัฒนาการของชาติให้ทัดเทียมกับชาวโลก

จึงขอสรุปอย่างตรงไปตรงมาว่า สถาบันกษัตริย์หรือสถาบันพระประมุขของไทย คือ กลุ่มบุคคลที่ต้องร่วมรับผิดชอบต่อความวุ่นวายทางการเมืองไทย โดยเฉพาะที่ชันเจนมากนับตั้งแต่ปรากฎการณ์พันธมิตรเมื่อปี 2548 (จริงๆ สาวไปได้ยาวไกลกว่านั้น)

สิ่งที่น่าตระหนกมากกว่าในสังคมไทย คือ ณ จนบัดนี้ สังคมไทย โดยเฉพาะนักการเมืองก็ไม่มีการตั้งคำถามหรือแสดงความคิดเห็นในเรื่องเหล่านี้ต่อวังกันได้อย่างตรงไปตรงมาได้ และยังพยายามปกป้องและป้องกันการตั้งคำถามเหล่านี้อย่างตรงไปตรงมากันทุกทางไม่ว่าจากรัฐบาลเองและกองกำลังที่มีอาวุธในประเทศ

จำเป็นที่คนไทยและประเทศไทยต้องพูดความจริงที่ไม่มีการเซนเซอร์
* * *

(3)

"บุญทำ-กรรมแต่ง" ในสภาพการเมืองวิถีกษัตริย์ ก็เป็นเพียงยุทธศาสตร์หนึ่งที่ใช้เพื่อคุมหัวคนให้กราบงออยู่กับพื้นเท่านั้นฮะ ...

เมื่อที่มาแห่งคำว่า "บุญกรรม" เกิดจากการกระทำของมนุษย์ มันก็จึงมีความลำเอียงเช่นกัน เช่นเดียวกับความลำเอียงอื่นๆ ที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ในประเทศไทย ณ ปัจจุบันนี้
* * *

(4)
ถ้าดูนิยาม "บุญ-กรรม" "นรก-สวรรค์" ของคนไทย กูจะจะจัดอยู่ในประเภท "สมน้ำหน้า - เห็นไหมมันด่าในหลวงมากมันจึงต้องตกนรก ไปตกทุกข์ได้ยากและลำบากลำบนจนถึงตอนนี้"

แต่ในความเป็นจริงคือ สามปีที่ผ่านมา กูได้มีเวลาอยู่กับตัวเอง มีเวลาอ่านหนังสือ มีเวลาคิดและเขียนเกี่ยวกับตัวเองและการเมืองไทยที่ไม่สามารถทำได้อย่างนี้อย่างแน่นอนถ้ายังอยู่เมืองไทย

นอกจากนี้ กูยังไม่ตาย "ภายในสามวันเจ็ดวัน" เช่นที่หลายๆ คนพากันแช่งชักหักกระดูก และอยู่มาได้อย่างดี (แม้ไม่ดีเลิศ) กว่า 3 ปีแล้ว

และที่สำคัญกูไม่คิดว่ากูตกนรก แต่กลับขอบคุณหลายสิ่งหลายๆ อย่างที่ทำให้ได้มีโอกาสเช่นสามปีที่ผ่านมาซะมากกว่า

ด้วยเหตุนี้ กูจึงไม่เชื่อ "นรก-สวรรค์และเรื่องบุญ-กรรม" ภายใต้นิยามและความหมายที่บิดเบี้ยว ที่กำหนดโดยสังคมที่บิดเบี้ยวด้วยประการฉะนี้แล!
* * *

(5)

ถ้าแก๊งอำนาจเก่าไม่กลัวผีทักษิณมากเกินไป พวกเขาจะอยู่กับความกลัวทักษิณอาจจะแค่ 8 ปี แต่เพราะความกลัวผีทักษิณกันล้นเกิน ทำให้พวกเขาเพิ่มบารมีให้ทักษิณ และอาจจะต้องอยู่กับผีทักษิณและชินวัตรกันต่อไปอีกเป็นสิบปี รวมกันแล้วก็ไม่ต่ำกว่า 20 ปี

กลัวแบบโง่ๆ ที่ทำให้ยิ่งกลัวก็ยิ่งหนีไม่พ้น!!!!